Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความเชื่อเรื่อง กัป อสงไขยกัป กลเม็ดสร้างกำลังใจในการปฏิบัติ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2005, 12:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเห็นว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว เห็นผลการปฏิบัติกันพอสมควร กำลังใจจึงมีเปี่ยมล้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กลเม็ดนี้นะครับ ถือว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน แต่สำหรับผู้เริ่มสนใจฝึกหัดใหม่ นี่เป็นกลเม็ดสำคัญ ทำให้เรามีกำลังใจปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว เอ๊ะมันเกี่ยวกันตรงไหนหรือ ก็ลองติดตามจากความคิดเห็นของผมได้เลยครับ



ความรู้เรื่อง กัป อสงไขยกัป เป็นความรู้ที่มีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่น หรือความเชื่อใดๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในศาสนาอื่นๆ เชื่อในเรื่องเกิดชาติเดียวตายชาติเดียว ตายแล้ว ก็ไปรอการพิพากษาจากพระผู้เป็นใหญ่เลย หรือ ความเชื่ออื่นๆ ที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ ดังนั้นระบบการนับเวลาเป็นวัน เดือน ปี ก็เพียงพอแล้ว เพราะคนเรามีอายุอย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 100-200 ปี ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องกัป อสงไขยกัป (ครั้งหนึ่ง นางอินทิรา คานธี เคยถามพ่อว่า "กัป" เค้ามีไว้นับอะไรหรือพ่อ ซึ่งพ่อก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกันลูก)



แต่พระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์เราที่ยังไม่เข้าพระนิพพาน ต่างเวียนว่ายตายเกิดมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ถ้วน ถ้านำน้ำตาของคนคนเดียวที่ร้องไห้ในสังสารวัฏ นำมารวมกัน ยังมีมากมายยิ่งกว่า น้ำในมหาสมุทรรวมกันเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่า เราเวียนว่ายตายเกิดกันมานานแสนนานมากแล้ว การนับเวลาเป็นปี จึงไม่เพียงพอ ที่จะนับอายุบารมีของมนุษย์ได้ การนับเวลาเป็น กัป อสงไขยกัป จึงเกิดขึ้น ดังนั้น ถ้าคนใหม่ๆ เชื่อมั่นในเรื่องนี้ ก็แสดงว่า เราเชื่อมั่นว่า มนุษย์มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราเชื่อมั่น เราก็จะมีกำลังใจปฏิบัติธรรม สั่งสมคุณความดีของเราไปเรื่อยๆ ชาตินี้ไม่ได้ ก็ไปต่อชาติหน้า



แต่ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็จะไม่มั่นใจในการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไม่มั่นใจ เราก็จะไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ หรือ อาจเลิกปฏิบัติไปเลย เพราะเมื่อเราไม่มั่นใจ เราอาจจะคิดว่า เอ หรือ คนเราตายแล้วสุญ ถ้าอย่างนั้น เราจะปฏิบัติธรรม ไปเพื่ออะไร สู้ตั้งหน้าตั้งตา ทำมาหากิน มีเงินแล้วก็เอาไปเสพสุข เหมือนเศรษฐีทั่วๆ ไปไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่อปฏิบัติธรรมไป ตายแล้วก็สูญ ไม่ปฏิบัติธรรมตายแล้ว ก็สูญ



กำลังใจของเราจะไม่ตั้งมั่นครับ หากเราไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่หากเราเชื่อ อ้อ ถ้าประมาทมัวแต่เสพสุข ก็ยิ่งห่างไกลการบรรลุธรรม ภพชาติต่อๆ ไปจะลำบาก อย่างนี้ต้องตั้งใจปฏิบัติ กำลังใจจะเกิดขึ้นมา

ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2005, 12:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วความรู้เรื่อง กัป อสงไขยกัป เป็นอย่างไร

กัป กัปหนึ่งเป็นเวลาที่นานแสนนานมาก เราสามารถอุปมาได้ว่า สมมุติมีสระน้ำใหญ่สระหนึ่ง กว้าง 16 กิโลเมตร ยาว 16 กิโลเมตร ลึก 16 กิโลเมตร ทุกๆ ร้อยปี มีคนนำเชือกเล็กๆ เส้นหนึ่ง ไปจุ่มในสระนิดนึง แล้วยกแล้วออกมา น้ำก็จะติดเชือกออกมาหน่อยนึง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนน้ำหมดสระ (น้ำสมมุติ ไม่มีการระเหยนะครับ) เป็นเวลานานขนาดไหน เวลา 1 กัป นานยิ่งกว่านั้นอีก ผมเคยลองคำนวณเล่นดังนี้นะครับ

สระน้ำนั้นมีปริมาตร 16 x 16 x 16 = 4,096 ลูกบาศ์กกิโลเมตร ในขณะที่ถ้าเชือกจุ่มน้ำแล้ว น่าจะมีน้ำติดออกมา 0.1 ซีซี หรือ 0.1 ลูกบาศ์กเซนติเมตร ดังนั้นเวลา 1 กัปก็จะนานยิ่งกว่า 4 ล้าน ล้าน ล้าน ปี ครับ

ส่วนอสงไขยเป็นหน่วยนับแบบสิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน อสงไขย

หน่วยนับ ล้าน นั้นคือ 1 ตามด้วย 0 หกตัว คือ 1,000,000 ใช่มั้ยครับ ส่วน

หน่วยนับ อสงไขย นั้นโดยประมาณคือ 1 ตามด้วย 0 จำนวนถึง 140 ตัวครับ

ดังนั้นเวลา 1 อสงไขยกัป จึงนานเกินจินตนาการเลยทีเดียว และหลักสูตรที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้นั้น คือ

พระอรหันต์ ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 1 แสนกัป

พระอัครสาวก ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 1 อสงไขยกัป

พระปัจเจกพุทธเจ้า (เช่นพระเทวทัตในอนาคต) ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 2 อสงไขยกัป

ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 4 อสงไขยกัป และเศษอีก 1 แสนกัปครับ (แสนกัปนี่เป็นเศษนะ เมื่อไปเทียบกันอสงไขย)

หากมนุษย์เวียนว่ายตายเกิดกันมานานแสนนานแล้ว หลักสูตรที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้นี้ ผมว่าไม่นานเกินไปเลยครับ อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำครับ







 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2005, 12:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้อขอโทษพิมพ์ผิดครับ เวลา 1 กัป ก็จะนานยิ่งกว่า 40 ล้าน ล้าน ล้าน ปี ครับ
 
มาดู
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 มี.ค.2005, 4:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

...



...



..รู้แล้วนะ...ว่าไม่ง่ายน่ะ... ...



...http://www.dhamma-isara.org/death_1.html



..
 
สับสน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 6:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาเรื่องนี้แล้วได้อะไร



ปรุงแต่งกันไปก็กลายเป็นตัณหา อุปาทาน



ปรุงแต่งว่า เราเวียนว่ายตายเกิดมานานแล้ว ใกล้แล้ว เราก็ยินดี

ปรุงแต่งแล้วยินดี ก็ย่อมยินดี



ปรุงแต่งว่า ยังอีกตั้งนาน เราก็ไม่ยินดี

ปรุงแต่งแล้วไม่ยินดี ก็ย่อมไม่ยินดี



หากปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน 4 ทั้ง 4 ฐานอยู่ จะตามทันแล้วดับไปไหม



จิตตานุปัสสนา
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 7:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังที่คุณสับสนกล่าวก็ชอบแล้วล่ะครับ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมไปได้ไกลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องย้อนมามองบทเรียนเริ่มต้น ยกเว้นอยากจะเป็นครูคนหนึ่งต่อไปในอนาคตครับ ถ้าอยากเป็นครูต้องทบทวนบทเรียนต่างๆ ไปมา จนรู้ทั่วถึงทุกๆ บทเรียนแหละครับ แต่ถ้าอยากเป็นบรมครู (พระพุทธเจ้า) ต้องรู้เกินบทเรียน หรือ รู้ทั่วสรรพสิ่งแหละครับ



แต่ผู้ที่กำลังเริ่มต้น แต่กลับมองข้ามบทเรียนเริ่มต้น ไปหาบทเรียนสูงสุดเลย ถ้าก้าวหน้าเร็วเป็นขั้นๆ ก็ดีไป เนื่องจากอาจสั่งสมวาสนาบารมีแต่ปางก่อนมามาก แต่ถ้าก้าวหน้าช้า นี่แหละครับ กำลังใจจะไม่มี ถ้าไม่เชื่อว่า ชาติหน้ามี

เหมือนพระราชาในอดีตกาล กำลังแสวงหาที่พึ่งยิ่งกว่าการเป็นพระราชา ได้เตรียมอาหาร แล้วเดินทางไปหาเจ้าลัทธิต่างๆ เพื่อสนทนาถามปัญหา ถ้าถูกใจ ก็จะได้ถวายอาหารแก่เจ้าลัทธินั้นๆ ปรากฏว่า ไปเจอเจ้าลัทธิหนึ่ง พระราชาถามว่า สิ่งสูงสุดในความเชื่อของท่านคืออะไร เจ้าลัทธิตอบว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สูญหมดสิ้น กรรมดีชั่วไม่มีผล โลกนี้โลกหน้าไม่มี ทำใจปล่อยวางสิ่งลวงตาทุกสิ่งดีกว่า

พระราชาได้ฟัง แทนที่จะรู้สึกตามเจ้าลัทธิว่า ปล่อยวางทุกสิ่งดีกว่า กลับตอบว่า "กรรมดีชั่วไม่มีผล โลกนี้โลกหน้าไม่มี แล้วเราจะมาสนทนากับท่านเพื่ออะไร สู้กลับไปเป็นพระราชา เสพสุขในวัง สนมนางกำนัลเป็นร้อย ไม่ดีกว่าหรือ ปล่อยวางเพื่ออะไร ในเมื่อปล่อยวางชีวิตก็สูญ ไม่ปล่อยวางชีวิตก็สูญ จริงๆ เราก็เตรียมอาหารมาถวายท่าน เพราะฉะนั้น การถวายก็ไม่จำเป็นสำหรับท่าน ในเมื่อกรรมดีกรรมชั่วไม่มี แล้วพระองค์ก็ไปหาเจ้าลัทธิอื่นต่อไป



เพราะหนึ่งในมรรคมีองค์แปดที่จะพ้นทุกข์ที่แท้จริงได้ คือ สัมมาทิฐิครับ และหนึ่งในสัมมาทิฐิคือเชื่อว่า โลกนี้โลกหน้ามีครับ

 
สับสน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 1:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะ ไม่มีสูงหรือต่ำ ไม่มีใกล้หรือไกล



มีแต่เพียงเหตุและปัจจัย



เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ มีทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในใจเราเอง



สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตน จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป



เพราะเราปรุงแต่ง เราจึงต้องเวียนว่าย



ขอให้เจริญในธรรม







 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 2:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เหตุปัจจัยนั้นก็ถือเป็นความสูงต่ำได้ เพราะเหตุปัจจัยทำให้ธรรมะมีบาทฐาน เช่นศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา เหตุปัจจัยที่ต่างกันก็ทำให้ระดับของธรรมมีความต่างกัน จึงนำมาเรียกว่าสูงต่ำเป็นที่เข้าใจกันได้ทั่วไป
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 6:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณ คุณโอ่ที่ขยายความเพิ่มเติมให้ครับ
 
สับสน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 7:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองต่ำก็ต่ำ มองสูงก็สูง



อุปาทานนั้นมีจริง แต่สิ่งที่เห็นอยู่นั้นไม่มีจริง



ขอให้เจริญในธรรม
 
คนขี้บ่น
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 8:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม

การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (คำสอนทั้ง 3) นี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์.

....จะไปเกิดในภพใดภูมิใด สู้เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการขึ้นข้างบน หรือลงข้างล่าง แล้วก็ปฏิบัติเพื่อไม่ขึ้นบนลงล่างได้

และแก้ทุกข์ได้ในชาติปัจจุบันเฉพาะหน้าอย่างแท้จริง เป็นการเตรียมตัวตายก่อนตาย เป็นการตายเพื่อไม่ตาย









 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง