ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Kittiwat Dusitngammongkol
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 3:40 pm |
  |
การปล่อยวางไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีความสุขได้จริงหรอ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ
หรือจริงๆ แล้วมันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของเราเองที่เราต้องการหาความสุขให้กับตัวเองโดยไม่สำนึกถึงส่วนรวม ถ้ามนุษย์คนเราปล่อยวางไม่ยึดติดกันทุกคน มนุษย์คนเราจะมีการพัฒนาขึ้นมาได้หรอ ถ้าไม่ยึดติดกับสิ่งใดและปล่อยวางกันทุกคน คนเราก็จะย่ำอยู่กับที่สิ เพราะเราไม่ยึดติดกับสิ่งใดเลย วางเฉยต่อทุกสิ่ง แล้วจะมีวิวัฒนาการได้อย่างไร พ่อแม่ตายให้วางเฉย? เพราะเป็นชีวิตไม่เที่ยง หรือได้รับความสุขอะไรแล้วให้วางเฉยเพราะไม่เที่ยงอย่าไปยึดติดกับมัน งั้นมนุษย์คนเราก็ไม่ต้องมีความฝันกันแล้วสิ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ต้องวางเฉยอย่าไปยึดติดกับทุกสิ่งเด๋วมันจะทุกข์ ไม่ได้แล้วจะทุกข์... การวางเฉยผมว่ามันก็ถูกต้องนะครับ เราควรวางเฉยไม่ยึดติดกับบางเรื่องแต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ไม่งั้นมนุษย์เราก็ไม่ต่างไรจากหิน ไม่มีความรู้สึก ไม่ต้องใช้ความคิด สติปัญญาในการที่พัฒนาตนเอง คนเราจะเก่งได้ ไม่ได้เกิดจากที่เราอยากเก่งก่อนหรอ คนเราเก่งขึ้นมาได้อย่างน้อยก็ต้องมีกิเลสอยากเก่งก่อน ถ้าวางเฉยปล่อยวางไม่ยึดติด คนเราจะแสวงหาความเก่งได้อย่างไร |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 3:49 pm |
  |
เห็นไหม
พอคุณมนสิการคุณก็ได้คำตอบ
พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ใช้ปัญญา
ใช้วิจารณญาณ
ที่ว่ายึดติดคือ
อย่าเห็นแก่ตัว
แต่ตองมีวิริยะในการ
ประกอบสัมมาอาชีวะ
ประพฤติปฏิบัติธรรม |
|
|
|
   |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 5:42 pm |
  |
เป็นการเข้าใจยังไม่ถูกต้องเท่าที่ควร คำว่าไม่วางเฉยไม่ยึดติดในคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ท่านไม่ได้หมายความว่าจะต้องวางเฉยเหมือนท่านว่าเลย ท่านให้วางเฉยไม่ยึดติดในบางเรื่องที่ทำให้เราเกิดความทุกข์
อย่างที่ท่านว่าพ่อแม่ตายแล้วเรามัวแต่มานั่งโศกเศร้าโสกาอยู่โดยไม่ปล่อยวางบ้างเพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่เราไม่วางเรากับไปยึดว่ามันน่าจะอยู่กับเราไปตลอดกาล อย่างนี้เรียกว่าไม่ปล่อยวางอีกอย่างพอตัวเองจะได้ออกจากตำแหน่งที่เคยทำมาแล้วหลายปี แต่จะต้องออกไปตามกาลเวลา เราก็ยึดติดว่าตำแหน่งนี้ไม่น่าจะจากเราไปเราน่าจะอยู่ตลอดไป อย่างนี้ เรียกว่ายึดติดตำแหน่ง ไม่ยอมรับความเป็นจริงยิ่งตอนจะตาย เคยเห็นมาด้วยตาตัวเอง บอกให้คนเอาใบ น.ส 3 บัญชีธนาคารมาให้ เราไม่ยอมจะเอาไปด้วย อย่างนี้ก็เรียกว่ายึดติดอย่างมหันต์เลย ไม่ยอมรับความเป็นจริง ไม่มีใครเอาสิ่งใดไปได้แม้แต่อย่างเดียวนอกจากกรรมคือการกระทำเท่านั้นที่จะติดตัวไป
ท่านให้เราวางในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ต่างหาก ท่านว่าเป็นภาษาง่ายๆก็ตอบเป็นภาษาง่ายๆ อย่างนี้แหละ ฯ
อ้างอิง เพราะเป็นชีวิตไม่เที่ยง หรือได้รับความสุขอะไรแล้วให้วางเฉยเพราะไม่เที่ยงอย่าไปยึดติดกับมัน งั้นมนุษย์คนเราก็ไม่ต้องมีความฝันกันแล้วสิ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ต้องวางเฉยอย่าไปยึดติดกับทุกสิ่งเดี่ยวมันจะทุกข์ ไม่ได้แล้วจะทุกข์... การวางเฉยผมว่ามันก็ถูกต้องนะครับ เราควรวางเฉยไม่ยึดติดกับบางเรื่องแต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ไม่งั้นมนุษย์เราก็ไม่ต่างอะไรจากหิน ไม่มีความรู้สึก ไม่ต้องใช้ความคิด สติปัญญาในการที่พัฒนาตนเอง คนเราจะเก่งได้ ไม่ได้เกิดจากที่เราอยากเก่งก่อนหรือ คนเราเก่งขึ้นมาได้อย่างน้อยก็ต้องมีกิเลสอยากเก่งก่อน ถ้าวางเฉยปล่อยวางไม่ยึดติด คนเราจะแสวงหาความเก่งได้อย่างไร
ถูกต้องทุกสิ่งอย่างต้องได้มาด้วยความอยากเป็นอยากเด่นอยากดีก่อน
แต่ไม่ใช้ว่าไม่มีธรรมประจำใจ อยากเสียจนทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อนนั้นก็ไม่ถูก เรียกว่าโลภมากไป แต่ถ้าอยู่ในพรหมวิหารธรรม ๔ ประการท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าโลภ คือ ๑.เมตตา คือความรักใคร่ ปรารถนาอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข ๒.กรุณา คือความสงสาร คิดจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์
๓.มุทิตา คือความพลอยยินดีในเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี ๔.อุเบกขา คือความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติฉิบหายไป นี้คือหลักการของพระพุทธศาสนา แต่ธรรมทุกอย่าที่พระศาสนานำมาสั่งสอนนั้น
ถ้าคนเราเอาไปใช้ไม่เป็นก็จะเกิดปัญหาเหมือนกัน เพราะทุกสิ่งอย่างจะมีทั้งคุณและโทษถ้าผู้ใช้เข้าผิด
ยกตัวอย่างเอามาข้อหนึ่งก็แล้ว ข้อที่ ๔ วางเฉย มีคนจะมาฆ่าเราเห็นเขาถือมีดมาในมือ แล้วเราวางเฉยไม่หนีเอาตัวรอด ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ก็ต้องรู้ว่าอะไรควรวางอะไรควรยึด จะวางแบบไม่รียนเลยก็ไม่ถูกต้อง
จะยึดเสียจนกระดิกตัวไม่ได้ก็ไม่ถูก เอาง่ายๆ ก้คือทางสายกลางนั้นแหละ และมีวิจารณญาณในการพิจารณาว่าอันไหนควรไม่ควรก็เป็นอันว่าถูกต้องก็แล้วกันนะ หรือท่านใดมีเหตุผลดีกว่ามากกว่านี้ก็เชิญ ธัมมะฉากัจฉาให้ความรู้แก่กันละกันไป ก็แย้วกันนะ ฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
Kittiwat Dusitngammongkol
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 9:09 pm |
  |
ขอบคุณมากครับ ตอบได้ดีครับ ^^ |
|
|
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 9:36 pm |
  |
นี่ก็รูปแบบของการปล่อยวางชนิดหนึ่งครับ
คือเฉยๆ....แต่เมตตาแทนครับ
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 10:02 pm |
  |
อ้างอิง
Kittiwat Dusitngammongkol ขอบคุณมากครับ ตอบได้ดีครับ
ไม่ใช้ตอบได้ดีครับ ต้องว่าตอบได้ดีมากๆๆ ขอรับกระผมด้วยฮิฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 11:13 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
ไม่ใช้ตอบได้ดีครับ ต้องว่าตอบได้ดีมากๆๆ ขอรับกระผมด้วยฮิฮิฮิฮิ |
ตรงนี้ก็ต้อง"วางเฉย"นะครับ อิอิ
สาธุกับคำตอบครับ |
|
_________________ ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ |
|
  |
 |
dazeng
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 12
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 2:25 pm |
  |
ภูมิจิตพระอรหันต์คือผู้ตัดความอยากหมดสิ้นแล้วในโลกย่อมแตกต่างจากภูมิธรรมของปุถุชนที่ยังยึดดียึดชั่วอยู่ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะปุถุชนยังมีความมืดบอดในความจริงของชีวิตอยู่มาก คือพอจะรู้แต่ไม่ทั้งหมดจึงยังมืดมนในความคิดในบางแง่มุมทำให้เกิดความยึดติดหลงกอดความคิดเห็นของตนด้วยความที่อยากให้มันคงอยู่ยั่งยืนโดยลืมความไม่เที่ยงซึ่งเป็นกฎของทุกสรรพสิ่งไป อุเกบขามิให้วางเฉยแบบเสาหินตอไม้ ไม่อย่างนั้นต้นไม้หรือคนง่อยอัมพาตก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว อุเบกขาคือการวางใจเป็นกลางไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ทั้งดีและชั่วซึ่งปุถุชนไม่สามารถทำได้ สภาวะเหนือดีเหนือชั่วเป็นสภาพจิตของผู้ที่พ้นจากความยึดติดในสมมุติใดๆในโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าจิตใจเขาจะกลายเป็นก้อนหินก็หาไม่ หากแต่ว่าท่านเข้าใจสภาพที่แท้จริงของโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสตัญหาความอยากนานาประการอย่างลึกซึ้งแล้วจึงปล่อยวาง ชีวิตที่เหลืออยู่จึงไร้ซึ่งความทุกข์ทางใจเพราะไม่ยึดมั่นสิ่งใด อีกทั้งยังอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังมืดบอดอย่างสุดกำลัง แบบนี้จะเรียกว่าเป็นผู้เห็นแก่ตัวได้ลงคอหรือครับท่าน  |
|
|
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 2:49 pm |
  |
เอ้อจั่งสี้ใครแหน่เนาะ ฮิฮิฮิ บ่อแหม่นเถียงกัน จนเอ็นเป็นคอ เนาะ
เรามาหาความแตกต่าง บ่อแหม่น มาหาความแตกแยก มันบ่อถึกแน่นอน
แต่อย่างนี้แล้ว ต่างท่านต่างให้ข้อคิดดีๆทั้งน่าน ขออนุโมทนาด้วยเด้อ
ที่ท่านมีความหวังดีต่อสังคม ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะโลกทุกวันนี้เห็นแล้วก็น่าสงสารๆๆๆๆๆ
แต่ก็ได้แต่ปงลงเถอะท่านเอ่ย ฮิฮิฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ย. 2008, 11:31 pm |
  |
ทำไม ไม่ลองปฏิบัติดู แล้วจะรู้เอง
อ้อ น้องฌาณ แจ๋วจริง  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
wv
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 13 ก.ย. 2008
ตอบ: 5
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ย. 2008, 5:49 pm |
  |
ในความเข้าใจของผม
จากพุทธพจน์ เต็มๆ คือ
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราของเรา"
คำสอนนี้เป็นไปเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์
คราวนี้ ถ้าบอกว่าไม่เรียนหนังสือแล้ว เพราะไม่ยึดถือ อันนี้ผมว่า กำลังยึดถือ ในความไม่ยึดถือครับ เพราะนกก็ออกหากิน เราเรียนหนังสือก็เพื่อไปประกอบอาชีพ มาเลี้ยงตัว ครับ ถ้าเห็นอย่างนี้ จะเรียนหนังสือครับ
แต่ถ้าคิดว่า ต้องเรียนเพื่อจะเจริญก้าวหน้า ซึ่งต้องอาศัยความอยาก อันนี้ เป็นกันทั่วโลกครับ และผลของมันก็คือ ความวิบัติของโลก ไงครับ
ลองศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ทำให้เกิดสุข ทุกข์ ในใจ ก่อนไหมครับ เพราะถ้าไม่รู้ การศึกษาก็เป็นไปเพื่อหาเงิน มาป้อนความอยาก ในเวทนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้อนแล้วไม่รู้จักอิ่ม ด้วยซิ คงต้องหาเงินก้นสนุกสนานตลอดชีวิต
แต่ถ้าพบว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติของจิต ก็มีความสุขจากปัญญาขึ้นมาทันที ชีวิตที่เหลือคงมีเวลาทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างครับ เหมือนพระพุทธองค์ ที่ทำประโยชน์มหาศาล ทั้งๆ ที่ไม่ยึดมั่นในตัวเรา,ของเรา |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ย. 2008, 8:21 pm |
  |
ต้องแยกแยะ ความแตกต่าง ระหว่าง
1.ปล่อยวาง ไม่ยึดติด..ที่ พระพุทธเจ้าสอน
กับ
2.ปล่อยปละละเลย ไม่สำเหนียก... ที่ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ออกจากกันเสียก่อน
หลายท่านบอกว่าตนเองกำลังปฏิบัติข้อ1
แต่ โดยแท้แล้ว กำลังปฏิบัติข้อ2อยู่
ปล่อยวาง ไม่ยึดติด..ที่ พระพุทธเจ้าสอน คือ อุเบกขา ข้อสุดท้ายในพรหมวิหารสี่.. คือ ต้องมาทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา.... เป็นการปล่อยวาง ด้วยความรอบรู้ ด้วยความมีเมตตา ด้วยความเข้าใจ
โอวาทธรรม หลวงปู่ ชา สุภัทโท
ปุจฉา ท่านอาจารย์เคยพิจารณา "สูตรของเว่ยหล่าง" ของพระสังฆปริณายก (นิกายเซ็น) องค์ที่หกบ้างไหมครับ (ท่านเว่ยหล่าง หรือท่านฮุยเหนิง)
วิสัชนา ท่านฮุยเหนิงมีปัญญาเฉียบแหลมมาก คำสอนของท่านลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งไม่ใช่ของง่ายที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติจะเข้าใจได้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติตามศีลและด้วยความอดทน และถ้าท่านฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่านก็จะเข้าใจได้ในที่สุด
ครั้งหนึ่งลูกศิษฐ์ผมคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝก ฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และวันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนี่งเขาไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไปและผมได้ถามถึงกุฏิของเขา เขาตอบว่าเขากำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดีและเป็นอยู่ง่ายๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัว ท่านจึงจะเข้าใจซึ้งถึงปัญญาของท่านฮุยเหนิงได้ |
|
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ย. 2008, 1:11 pm |
  |
" การปล่อยวาง ไม่ยึดติด " เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หมายถึง การปล่อยวาง และไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ครับ เพราะหากยังยึดติดอยู่กับขันธ์ 5 ก็ยังต้องเป็นทุกข์อยู่ครับเพราะ " อุปปาทานขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ " |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
แวะมา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 25 ก.ย. 2008
ตอบ: 42
ที่อยู่ (จังหวัด): BKK.
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.ย. 2008, 3:54 pm |
  |
เรายังอยู่ในทางโลกไม่ได้อยู่ในร่มกาสาวพักตร์ ฉะนั้นเดินสายกลางคะ
อย่าคิดอะไรสุดโต่ง เกินไป เพราะเรายังมีบทบาทเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ และอื่นๆให้รับผิดชอบ |
|
_________________ จงระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปทำร้ายใคร |
|
  |
 |
ทานธรรม
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 ก.ย. 2007
ตอบ: 13
ที่อยู่ (จังหวัด): สุพรรณบุรี
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 9:37 am |
  |
อย่าเอาการ "วางเฉย" ของระดับพระอริยะ หรือนักบวชผู้สละทิ้งบ้านเรือน
มาปนกับการวางเฉยแบบปุถุชน เพราะมันคนละอย่างกัน
การวางเฉยที่พระพุทธเจ้าสอน มีทั้งสอนสำหรับปุถุชน ที่ยังต้องทำมาหากิน ยังต้องเสพกาม มีลูกเมีย
และชนิดที่ทรงสอนสำหรับพระภิกษุ ผู้สละทิ้งแล้ว ทิ้งลาภยศ ทิ้งบ้านเรือนได้แล้ว
การวางเฉยทั้งสองอย่าง มันต่างกันอย่างไร ไปหาศึกษาเอาเอง แล้วจะรู้แจ้ง และซาบซึ้งครับ
การศึกษาพระธรรมไม่แตกฉาน หรือรู้งูๆ ปลาๆ ก็จะไม่เข้าใจแบบนี้ล่ะครับ...
คุณต้องตั้งใจศึกษาให้แตกฉานนะ แล้วคุณจะมหัศจรรย์ใจในพระธรรม |
|
_________________ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน |
|
  |
 |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
03 ต.ค.2008, 3:52 pm |
  |
รู้สึกว่าหน้าใหม่มากันเยอะนะเนี่ย เก่งๆทั้งนั้นเลย เก่าไปใหม่มาวัฏจักรของชีวิต |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
|