ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ย. 2008, 8:35 pm |
  |
พระพุทธเจ้าเท่าที่ทราบ
พระองค์ไม่เคยประกาศตั้งศาสนาพุทธ
มีแต่ประกาศพรหมจรรย์
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า
โลกไม่ควรมีศาสนา |
|
|
|
   |
 |
ชาวมหาวิหาร
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 04 ก.ย. 2008
ตอบ: 9
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ย. 2008, 8:49 pm |
  |
ความหมายหนึ่งของคำว่า "ศาสนา" ได้แก่ "คำสอน"
ศาสนาพุทธ แปลได้ว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้นับถือศาสนาพุทธก็ได้แก่
ผู้นับถือคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง
--------------------------------------------------------------
ตัวอย่างการใช้คำว่า ศาสน ได้แก่
เราได้เล่าเรียนพระสูตรพระวินัย
อันเป็นนวังคสัตถุศาสน์ทั้งปวงแล้ว......
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=7264&Z=7319&pagebreak=0
------------------------------------------------------------- |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 12:01 am |
  |
โดยสัจจะธรรมแล้ว สัจจะธรรมมันมีก่อนศาสนานะคับ
อันนี้เรารู้กัน
ผมว่า การมี องคาพยพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายใดๆ
อันทำให้รู้ว่านี่ศาสนาไหน นิกายไหน
มันก็เหมือนการเอาใบไม้ในป่า มาแยกไว้ในกำมือ
แยกแยะให้เห้นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ศาสนานั้นสนใจ
แต่ความเป็นใบไม้ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย
พูดง่ายๆว่า กำหนดธง กำหนดสี กำหนดยี่ห้อ กำหนดขอบเขต
ให้มันชัดๆไปว่าใครสนใจอะไร
สัจจะธรรมมันก็คู่โลก เป้นสากล
แต่ส่วนของพุทธ มีขอบเขตชัดเจน
อย่างคริสต์ เขาสนใจกำเนิดของโลก
แต่ของพุทธของเราขีดวงไว้ชัดในอจินไตยสุตรว่า เราไม่ยุ่งเดี๋ยวบ้า
แต่ผมมองว่า นานๆเข้า
โลกนี้จะไม่มีศาสนาจริงๆ จะตกตะกอนเหลือแต่สัจจะธรรมล้วนๆ
ทั้งสัจจะธรรรมที่มีประโยชน์ และพวกนอกกำมือด้วย
เป็นยุคที่บรรณาธิการอย่างพระพุทธเจ้าหมดความสำคัญลง
พอเขาไปสงสัยในรกในพงกันมาก จนลืมทางเอก
มันก้เสื่อมลงไป
แต่เชื่อว่าจิตคนยุคหน้า จะมีคุณภาพกันมาก
ผมยังคิดไปเลยว่า ถ้าอนาคต
จิตใจเจริญกันจนจนมีเจโตปริยาญานกันหมด
(ดูหนังต่างดาวมากไปหน่อย)
แต่พอไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ทำให้เสื่อมลงโดยง่าย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 8:08 am |
  |
อย่างไรก็ควรมีศาสนาครับ
เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติตน
ตราบใดที่มนุษย์ยังค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิต
ตราบนั้นย่อมมีผู้ค้นคว้า และนำมาประกาศ จึงเกิดเป็นศาสนา |
|
|
|
    |
 |
อุศิณีย์
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 09 ส.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 8:53 am |
  |
เห็นด้วยกับคุณเมธีค่ะ
ศาสนาเป็นหลัก เป็นที่พึ่งของจิตใจ
ถ้าไม่มีศาสนา โลกทั้งโลกก็มืดไปหมด
เพราะไม่มีแสงสว่างคือปัญญา
มาส่องทางให้มนุษย์เดินไปอย่างถูกต้องตรงทาง
สาธุ... |
|
_________________ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำมั่วไม่เจริญ |
|
   |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 9:21 am |
  |
จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพื่อรื้อขนสัตว์โลก
อย่างนี้เรื่อยไปและตลอดไป
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะรื้อขนสัตว์โลกตามกำลังบารมีที่สะสมมาแต่ละพระองค์
ช่วงเวลาใดที่โลกว่างจากศาสนาของพระพุทธองค์
ช่วงเวลานั้นจิตใจสัตว์โลกก็อยู่ในความมืดมน
ศาสนาเป็นของเดิม หรือสัจจะธรรมเดิมที่มีอยู่แล้ว
รอผู้มาค้นพบแล้วประกาศความจริงออกมาเท่านั้น
ศาสนาแต่ละศาสนาแตกต่างกันที่
ผู้ค้นพบและผู้ประกาศศาสนานั้นมีกิเลสหรือไม่
ถ้ามีกิเลสเพราะไม่สามารถค้นพบสัจจะธรรมทั้งหมดได้ ก็ดำเนินไปตามโครงการของกิเลส
ถ้าไม่มีกิเลสเพราะค้นพบสัจจะธรรมทั้งสิ้น จึงเป็นไปตามโครงการของธรรม
ถึงแม้ว่าศาสนาควรจะมีหรือไม่ก็ตาม
แต่พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป
ก็จะทรงอุบัติขึ้นเพื่อรื้อขนสัตว์โลก
ด้วยพระเมตตาของพระองค์
อยู่อย่างแน่นอนและตลอดไปไม่ขาดสาย
ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าของเราเถิด
พระองค์ประกาศศาสนาด้วยความสิ้นกิเลส
เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เราท่านทั้งหลายโดยไม่มีข้อผิดพลาดบกพร่องใดเลย |
|
|
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 12:42 pm |
  |
พระพุทธเจ้าเท่าที่ทราบ
พระองค์ไม่เคยประกาศตั้งศาสนาพุทธ
มีแต่ประกาศพรหมจรรย์
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า
โลกไม่ควรมีศาสนา
ทำไม ขนาดมีฏกระเบียบขนาดนี้มันยังเป็นถึงขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีศาสนาไม่ฏกระเบียบมันจะไปใกลขนาดไหน ศาสนาทุกศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวเป็นหลักใหญ่(กลัวตาย) ศาสนาพุทธเกิดขึ้นเพราะพระองค์กลัวความเกิดแก่เจ็บตาย มีอีกศาสนาหน฿งเกิดขึ้นเพราะความกลัวว่าตนเองเป็นคนไม่มีพ่อ ก็เลยขึ้นไปบนภูเขาแล้วคงไปนั่งคิดอะไรไปเลื่อยเปื่อย แต่กับทำให้เกิดสมาธิ ก็เลยเกิดปัญญาขึ้น ส่วนของศาสนาอื่นไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไรบ้าง แต่ศาสนาพุทธเอาของจริงที่มีอยู่แล้วนำมาบอกกล่าวให้ผู้ที่มีกิเลสทั้งหลายให้ทราบ (สัจจธรรม) มีอยู่จริง ถึงแม้จะไม่มีศาสนา ไม่มีใครบอกกล่าว สัจธรรมความจริงก็มีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ศาสนาพุทธไม่เคยอ้างสิ่งอื่นมาทำให้คนเราเป็นไปตามคำบอกนั้น แต่ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อกรรม คือการกระทำ ใครทำกรรมไว้อย่างไรก็จะได้รับผลของกรรมนั้นๆ ยกตัวอย่าง เช่น เรารับประทานอาหารเรก็จะเป็นคนอิ่มเอง เราถูกไฟไหม้ เราก็จะรู้ว่าเราเจ็บเอง เราโดนตีหัวแตกเราก็จะรู้ว่าเราเจ็บเอง คนอื่นจะไม่สามารถรู้ว่าเราเจ็บมากขนาดไหน คนอื่นไม่สามารถรู้ว่าเราอิ่มข้าวขนาดไหน ไม่มีใครจะใช้หนี้สินแทนใครได้ ถึงมีก็เป็นพี่น้องกันเท่านั้น ไม่มีใครจะยอมตายแทนใครได้ คนไหนเจ็บป่วยเป็นไข้คนนั้นต้องตายไป คนใดคนหนึ่งบอกว่าเราจะตายแทนก็ไม่ได้ นี้เป็นสัจจธรรมความจริงที่มีอยู่และมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้อีก ของจริงความเป็นสัจจธรรมนี้ จะมีศาสนาหรือไม่ก็ตาม ความจริงที่ว่ามานี้ก็มีอยู่ตลอดกาลและมีต่อไปจนโลกนี้แตกไปก็มีความจริงอยู่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่พระพุทธเจ้าและสาวกเท่านั้นที่ท่านสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่ใช้ไปเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง ที่ท่านเปลี่ยนแปลงได้เฉพราะพระองค์และสาวก หมายความว่าท่านเปลี่ยนแปลงตัวของท่านไม่ไห้เกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป แต่พวกเรายังจะเกิดแก่เจ็บตายอยู่อีกไม่รู้ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ ยิ่งไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไรแล้วยิ่งจะไม่เห็นหนทางที่จะพ้นเกิดแก่เจ็บตายได้เลย
ขอให้ท่านสาธุชนคนดีจงใช้ความพินิจดูเอาเองเถิดท่านผู้เจริญฯ
www.supasok.com |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 1:31 pm |
  |
ท่านทั้งหลาย
ถ้าเรายึดเอาแต่หลักสัจจธรรมและหลักปฏิบัติตามพระพุทธพจน์ที่ว่า
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปาทผู้นั้นเห็นธรรม
โดยตัดคำว่าศาสนาที่เป็นอัตตาออกไป
จะเป็นปรมัตถ์ธรรมหรือไม่ครับ
ปล. อย่าเครียดครับ คุยกันไปแลกเปลี่ยนความรู้กันไป
จะได้มีเรื่องคุยกัน |
|
|
|
   |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 6:51 pm |
  |
ชาวมหาวิหาร พิมพ์ว่า: |
ความหมายหนึ่งของคำว่า "ศาสนา" ได้แก่ "คำสอน"
ศาสนาพุทธ แปลได้ว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้นับถือศาสนาพุทธก็ได้แก่
ผู้นับถือคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง
|
ท่านกล่าวได้ชอบแล้ว.... |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 7:11 pm |
  |
ถ้าเรายึดเอาแต่หลักสัจจธรรมและหลักปฏิบัติตามพระพุทธพจน์ที่ว่า
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปาทผู้นั้นเห็นธรรม
โดยตัดคำว่าศาสนาที่เป็นอัตตาออกไป
จะเป็นปรมัตถ์ธรรมหรือไม่ครับ
ปล. อย่าเครียดครับ คุยกันไปแลกเปลี่ยนความรู้กันไป
จะได้มีเรื่องคุยกัน
แปลกจริงนะ แฮะๆๆๆๆ (กาเลน ธมฺมฉากจฺฉา เอตมฺมํ คลมุตฺตมํ ฯ)
แปลเอาดองเด้อสิบอให้ ฮิฮิฮิฮิ
ทุกสิ่งอย่างที่ท่านว่ามานั้นนะไม่มีอัตตาทั้งนั้นแหละท่าน เป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้นเองที่มีตัวตน ที่ว่า (ธมฺมา อนตฺตา)นั้นนะแปลเอาเอง
ขอถามคืนนะจะ ล้อรถ พวงมะลัยรถ หลังคารถ ประตูรถ และอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับรถนั้นนะ จะเอาตรงไหนเป็นรถกันแน่จะ
หรืออีกอย่างก็ว่าคน หรือมนุษย์ ตรงไหนที่ว่าคนและมนุษย์ เห็นแต่ เรียกว่า หัว แขนศอก นิ้วมือ นิ้วเท้า หน้าแข้ง กำปั้น ฮิๆ และอีกหลายอย่างที่มีอยู่ในตัวตนคนที่เรียกว่าตัวเองเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ถ้ามีเหตุมีผลก็พอจะเรียกว่าประเสริฐ แต่หากไม่มีเหตุผล ก็จะเรียกว่าไม่ประเสริฐได้เป่า ฮิฮิฮิ
ปล.ไม่หรอกจ้า ดีเสียอีกได้เห็นความคิดที่แปลกๆๆ ไม่นึกว่าจะได้เห็นดีจังเลยที่ได้เข้ามาถูกที่ จะได้มีคำพูดไปพูดให้คนอื่นฟังจริงไหมพ่อแม่พี่น้อง ฮิฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2008, 6:37 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
พระพุทธเจ้าเท่าที่ทราบ
พระองค์ไม่เคยประกาศตั้งศาสนาพุทธ
มีแต่ประกาศพรหมจรรย์
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า
โลกไม่ควรมีศาสนา |
ท่านพุทธทาส อาจจะเห็นด้วยครับ เพราะทุกศาสนา ก็คล้าย ๆ กัน
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6960558/Y6960558.html
cp.4 พระพุทธเจ้า และ พระเยซูคริสต์ ล้วนเกิดมาเพื่อ ทำสิ่งที่ยังพร่องอยู่ให้สมบูรณ์...
พระพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์ ล้วนแต่เกิดมา
บนโลกนี้ เพื่อทำสิ่งที่ยังพร่องอยู่ให้สมบูรณ์ พระเยซู
คริสต์ได้ตรัสว่า " เรามิได้มาเพื่อยกเลิกคำสอนและบรรดา
ศาสดาอื่น ๆ เหล่านั้น แต่เรามาเพื่อให้สำเร็จตามนั้น "
-(มัดธาย ๕ / ๑๗ )
สำหรับพระพุทธเจ้านั้น ท่านได้ตรัสว่า " ตถาคต
เกิดขึ้นบนโลก เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ
ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก , เพื่อ
ประโยชน์เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุข ทั้งของเทวดา
และมนุษย์ " ( มุ.ม. ๑๒ / ๓๗ / ๔๖ ) . ใจความสำคัญ
อยู่ตรงที่มิได้เกิดมา เพื่อการกระทบกระทั่งผู้ใด หรือ
ลัทธิใด หากแต่เพื่อทำโลกให้สมบูรณ์ด้วยวัตถุประสงค์
แห่งการมีโลก ดังนั้นพระองค์ จึงมิได้ทรงกระทบกับ
ศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอยู่ก่อน
หากแต่ได้ทรงสอนสิ่งซึ่งในศาสนาเหล่านั้นยังขาด
อยู่ พร่องอยู่ หรือทรงอธิบายเสียใหม่ ในแง่ที่สูงขึ้นไป
เป็นการแสดงให้ครบทุกแบบ และทรงเปิดโอกาสให้
ทุกคนเลือกตามพอใจ ไม่มีการบังคับ ตัวอย่างเช่น เรื่อง
นรกและสวรรค์ที่สอนกันอยู่ก่อนอย่างไร ก็ไม่ทรงเลิก
ถอน แต่กลับทรงแสดงในลักษณะที่น่าสนใจกว่า จำเป็น
กว่า ใกล้ชิดกว่า เห็นได้ชัดกว่า คือนรกหรือสวรรค์ ที่
กำลังเกิดอยู่ในใจของคนจริง ๆ ในโลกนี้ มิใช่เรื่องหลัง
จากตายแล้วเป็นต้น
( จากหนังสือเรื่อง " คริสตธรรม และ พุทธธรรม " ของ
ท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ )
------------------------------------------------------
cp.6 " ผู้ประกาศสัจจธรรมของพระเจ้า " มีอยู่จริงในทุกศาสนา
ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึงการ ยินยอมผ่อนสั้นผ่อน
ยาวกันในระหว่างศาสนา โดยยอมรับหลักการที่ว่า
" มีผู้ประกาศสัจจธรรมของพระเป็นเจ้าในหมู่มนุษย์ทุก
ชาติทุกภาษา " - ( กุรอ่าน บท ๑๐ ตอน ๕ โศลกที่ ๔๗ )
เป็นข้อแรกเสียก่อน แล้วจึงจะถึงการผ่อนสั้นผ่อนยาว
อย่างอื่น ซึ่งมีความสำคัญรอง ๆ ลงไปตามลำดับ แล้ว
การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างศาสนา จักเกิดผลดีสุดที่
จะพรรณา
คำว่า " ผู้ประกาศสัจจธรรมของพระเจ้า " หรือ
APOSTLE นั้นมีอยู่จริงในทุกศาสนา แม้กระทั่งพระพุทธ
ศาสนา ข้อนี้หมายความว่า คำว่า " พระเจ้า " นั้นเป็น
ภาษาธรรม อาจจะตีความหมายได้ต่าง ๆ กันตามความ
รู้สึกของศาสนานั้น ๆ ข้าพเจ้าผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน
ทั้งหลายในที่นี้ ได้ใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า " ข้าพเจ้า "
คำคำนี้หมายความว่า " ผู้ที่เป็นข้าของพระเจ้า " แต่เรา
พูดเร็ว ๆ สั้น ๆ ว่า " ข้าพเจ้า " เมื่อเป็นดังนี้แล้วท่านที่
เป็นคริสเตียนทั้งหลายจะมีความตึงเครียดถึงกับไม่ยอม
ให้ข้าพเจ้ามีพระเจ้าเหมือนกับท่านทั้งหลายได้อย่างไร
กัน ถ้าท่านไม่ผ่อนสั้นผ่อนยาวแก่กันและกัน แม้ในลัก -
ษณะเช่นนี้แล้ว เราจะมาพูดกันให้เสียเวลาทำไม
( จากหนังสือเรื่อง " คริสตธรรม และ พุทธธรรม " ของ
ท่าน พระพุทธทาส ภิกขุ )
|
|
|
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2008, 8:08 am |
  |
ซึ่งๆ ซึ่งมากๆ มันต้องอย่างนี้ชิ มีที่มาที่ไปให้เห็น
ขอเสริมว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักประชาธิปไตยอีกด้วย
๑. ธัมมาธิปตรัย ถือธรรมเป็นที่ตั้งหรือถือธรรมเป็นใหญ่
๒. อัตตาธิปตรัย ถือตนเป็นเป็นใหญ่
๓.โลกาธิปตรัย ถือโลกเป็นใหญ่ (ไม่รู้ว่าอันไหนขึ้นก่อนลงหลัง)
เพราะไม่ได้เปิดตำราเพียงแต่จำมาตั้งนาน แย้ว?
ที่สำค้ญท่านไม่เคยบังคับข่มคู่ใครให้มานับถือท่าน มีแต่บอกกล่าวแล้วจะเชื่อหรือไม่อยู่ที่ตัวของท่านเอง ท่านเคยนับถืออะไรอยู่ก็ให้นับถือไปเพียวแต่บอกเหตุผลใหฟัง พอมาพูดมาถึงตรงนี้ก็จะมีบางท่านถามว่า แล้วตอนที่ ทรมาณชดินสามพี่น้องละจะว่าอย่างไร?
ตอนนั้นท่านก็ไม่ได้บังขับคู่เค็น เพียงท่านแสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นแก่นสารกว่ากัน ที่ชดินสามพี่น้องพากันบูชาไฟบูชาพญานาคที่มีพิษมากนั้นเป็นอันตรายต่อตนและคนอื่นด้วย เมื่อท่านแสดงให้เห็นว่าท่านสามารถทำให้พญานาคอยู่ในอำนาจของพระองค์ได้ก็เท่านั้น เอง ฮิฮิฮิ
ท่านใดมีความคิดเป็นอย่างอื่นก็เชิญธรรมฉากัจฉาได้เด้อสิบอกให้ ฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2008, 9:49 am |
  |
นิยามหนึ่งของนิพพานคือ
ไม่รู้จึงติด
เพราะรู้จึงหลุด |
|
|
|
   |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2008, 2:10 pm |
  |
เสริมเข้าให้อีกจะได้แหน่นหนาถาวรขึ้นอีกนะจะ ฮิฮิฮิฮิ
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ. ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้. ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:- พุทธอุทานคาถาที่ ๑
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ.
[๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ว่าดังนี้:- ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสเป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับเป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่าดังนี้:- พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลมตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
ว่าดังนี้:- ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อม
กำจัดมารและเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัย
ทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น. โพธิกถา จบ
อ่านหลายๆรอบ หลายๆเที่ยวนะจะ
ขอให้เจริญในธรรม ได้มรรคได้ผล
ไปหาก๊อบแก็บเขามาให้ท่านได้ศึกษาจ้า |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 5:32 am |
  |
tanaphomcinta พิมพ์ว่า: |
ซึ่งๆ ซึ่งมากๆ มันต้องอย่างนี้ชิ มีที่มาที่ไปให้เห็น
ขอเสริมว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักประชาธิปไตยอีกด้วย
๑. ธัมมาธิปตรัย ถือธรรมเป็นที่ตั้งหรือถือธรรมเป็นใหญ่
๒. อัตตาธิปตรัย ถือตนเป็นเป็นใหญ่
๓.โลกาธิปตรัย ถือโลกเป็นใหญ่ (ไม่รู้ว่าอันไหนขึ้นก่อนลงหลัง)
เพราะไม่ได้เปิดตำราเพียงแต่จำมาตั้งนาน แย้ว?
ที่สำค้ญท่านไม่เคยบังคับข่มคู่ใครให้มานับถือท่าน มีแต่บอกกล่าวแล้วจะเชื่อหรือไม่อยู่ที่ตัวของท่านเอง ท่านเคยนับถืออะไรอยู่ก็ให้นับถือไปเพียวแต่บอกเหตุผลใหฟัง พอมาพูดมาถึงตรงนี้ก็จะมีบางท่านถามว่า แล้วตอนที่ ทรมาณชดินสามพี่น้องละจะว่าอย่างไร?
ตอนนั้นท่านก็ไม่ได้บังขับคู่เค็น เพียงท่านแสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นแก่นสารกว่ากัน ที่ชดินสามพี่น้องพากันบูชาไฟบูชาพญานาคที่มีพิษมากนั้นเป็นอันตรายต่อตนและคนอื่นด้วย เมื่อท่านแสดงให้เห็นว่าท่านสามารถทำให้พญานาคอยู่ในอำนาจของพระองค์ได้ก็เท่านั้น เอง ฮิฮิฮิ
ท่านใดมีความคิดเป็นอย่างอื่นก็เชิญธรรมฉากัจฉาได้เด้อสิบอกให้ ฮิฮิ |
ชฏิล เด้อ ! บ่แม้น ชดิน ( sound track )
เห็นด้วยในการเป็นพระบรมครู ที่ยิ่งใหญ่ ของพระพุทธองค์
เวลาสอนกรรมฐาน ชฏิล ผมจำได้ว่า ก็ทรงสอน กสินไฟ มั่งครับ และยกขึ้นสู่วิปัสสนา จน ชฏิล เหล่านั้น ได้รับประโยชน์สูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ พระนิพพาน
เพิ่มเติมครับ
http://www.84000.org/tipitaka/picture/f39.html
สมุดภาพพระพุทธประวัติ
ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร
ภาพที่ ๓๙
ทรงทรมานนาคราชร้าย ขดกายพญานาคใส่บาตรให้ชฎิลดู ชฎิลก็ยังไม่เลื่อมใส
ชฎิลสามพี่น้อง โดยเฉพาะอุรุเวลกัสสปผู้พี่ชายใหญ่เป็นหัวหน้านักบวช ที่ชาวเมืองราชคฤห์นับถือมาก ท่านผู้นี้ประกาศตนเป็นผู้วิเศษ เป็นพระอรหันต์ บำเพ็ญพรตบูชาไฟ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึง และตรัสขอพักอาศัยในโรงไฟ ซึ่งพวกชฎิลถือว่าเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอันตรายแก่ผู้จะไปอยู่อาศัยภายในโรงไฟ เพราะมีพญานาค หรือพญางูใหญ่มีพิษร้ายกาจอาศัยอยู่ในนั้น ชฎิลจึงนึกในใจว่า พระพุทธเจ้าทรงอวดดีที่ไม่กลัวอันตราย
ตามท้องเรื่องในปฐมสมโพธิกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปประทับภายในโรงไฟ พญานาคก็มีจิตขึ้งเคียดทุกขโทมนัส คือ โกรธมาก จึงพ่นพิษใส่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเตโชกสินสมาบัติ (หมายถึง การเข้าฌานชนิดหนึ่ง ซึ่งบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นจากายได้) พิษของพญานาคและเปลวเพลิงจากเตโชกสินของพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นเป็นแสงแดงสว่าง ดุจเผาผลาญโรงเพลิงนั้นให้เป็นภัสมธุลี (แหลกละเอียด)
พวกชฎิลได้เห็นแสงเพลิงนั้นก็ปริวิตกว่า พระสมณะรูปนี้ (หมายถึงพระพุทธเจ้า) เห็นทีจะวอดวายด้วยพิษพญานาคคราวนี้เป็นแน่
ปฐมสมโพธิว่า "ครั้นล่วงราตรีรุ่งเช้า พระสัพพัญญูเจ้าก็ยังเดชแห่งพญานาค ให้อันตรธานหาย บันดาลให้นาคนั้นขนดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป ตรัสบอกว่า นาคนี้สิ้นฤทธิ์ด้วยเดชตถาคต..."
------------------------------------------------------------
ภาพที่ ๔๐
วันหนึ่ง ฝนตักหนัก น้ำท่วม แต่ไม่ท่วมที่ประทับ ชฎิลเห็นอัศจรรย์จึงทูลขอบรรพชา
การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องดังได้บรรยายไว้แล้ว ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือมาก ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้นและจะได้ผลรวดเร็ว
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาสำนักของชฎิลสามพี่น้องซึ่งตั้งตนว่าเป็นอรหันต์ และพระองค์ได้ทรงทรมาน คือ การแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกชฎิลไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่อ้าง คุณธรรมใดๆ ที่พวกชฎิลถือว่าพวกตนมีและว่าวิเศษ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่
ที่ถือว่าพญางูใหญ่มีพิษร้ายกาจ พระองค์ก็จับขดลงในบาตรเสีย เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ พวกชฎิลเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจมน้ำตายเสียแล้ว ต่างลงเรือพายมาดู ก็เห็นพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ภายใต้ท้องน้ำ
ปฐมสมโพธิว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากลับใจพวกชฎิลอยู่ถึงสองเดือนจึงสำเร็จ โดยชฎิลผู้หัวหน้าคณาจารย์ใหญ่ คือ อุรุเวลกัสสป เกิดความสังเวชสลดใจว่าตนมิใช่พระอรหันต์อย่างที่เคยหลงเข้าใจผิด ทั้งนี้ด้วยพุทธานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ประจักษ์เห็นได้
หัวหน้าชฎิลจึงลอยเครื่องบริขารและเครื่องบูชาไฟทิ้งลงในแม่น้ำเนรัญชรา แล้วกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้า ขอบวชยอมเป็นพระสาวก ฝ่ายน้องชายอีกสองคน ที่ตั้งอาศรมอยู่คุ้งน้ำทางใต้ลงไป เห็นบริขารพี่ชายลอยมาก็จำได้ นึกว่าอันตรายเกิดแก่พี่ชายตนก็พากันมาดู
ทั้งสองได้ทราบเรื่องโดยตลอด ก็ยอมตนเป็นพระสาวกทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโปรดชฎิลทั้งหมดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเลยมีนักบวชเป็นพระสาวกเพิ่มขึ้นใหม่อีก ๑,๐๐๐ รูป
-------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก: |
เมื่อท่านแสดงให้เห็นว่าท่านสามารถทำให้พญานาคอยู่ในอำนาจของพระองค์ได้ก็เท่านั้น เอง ฮิฮิฮิ
ท่านใดมีความคิดเป็นอย่างอื่นก็เชิญธรรมฉากัจฉาได้เด้อสิบอกให้ ฮิฮิ |
แต่มีพระ หรือ นักวิชาการสมัยใหม่ ที่ไม่เชื่อในเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์ และ ผี สางเทวดา มีจริง
ดังเช่น ท่านพุทธทาส เป็นต้น
แสดงความเห็นว่า พญานาค ก็คือ กลุ่มชนหนึ่ง เป็นคนธรรมดาเรานี่เอง
และเรื่อง ปาฏิหาริย์เหล่านี้ อาจจะแต่งเติมขึ้นในภายหลัง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความมีอำนาจ ให้กับพระพุทธศาสนา
คุณ mes ลองหาคำสอนของท่านพุทธทาสมาอ้างอิงด้วยดิ ที่บอกว่าประกอบด้วยปัญญานะ |
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 5:40 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
พระพุทธเจ้าเท่าที่ทราบ
พระองค์ไม่เคยประกาศตั้งศาสนาพุทธ
มีแต่ประกาศพรหมจรรย์
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่า
โลกไม่ควรมีศาสนา
จากคุณ mes
|
---------------------------
http://www.84000.org/tipitaka/picture/f00.html
ภาพที่ ๔๐
วันหนึ่ง ฝนตักหนัก น้ำท่วม แต่ไม่ท่วมที่ประทับ ชฎิลเห็นอัศจรรย์จึงทูลขอบรรพชา
การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องดังได้บรรยายไว้แล้ว ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือมาก ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้นและจะได้ผลรวดเร็ว
----------------------------------------
จากความเห็นส่วนตัวของคุณ mes ผมว่าขัดแย้งกับ พุทธประวัติในช่วงต้น ๆ นะ ครับ
คุณ mes ครับ อย่างไร ก็ไม่ควรคิดแทนพระพุทธเจ้า แบบที่อาจารย์ของคุณทำนะครับ บาปกรรมเปล่า ๆ |
|
|
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 7:15 am |
  |
อ้างอิง
ชฏิล เด้อ ! บ่แม้น ชดิน ( sound track )
ขออภัยมณีสีสมุทรสุดสาครเด้อ จะว่าชฏิล นี้แหละ แต่ไม่รู้ว่า ดิน ไหน
เพราะว่าภาษาไทยไม่แข็งแรงเด้อสิบอกให้ ฮิฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 8:17 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
แต่มีพระ หรือ นักวิชาการสมัยใหม่ ที่ไม่เชื่อในเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์ และ ผี สางเทวดา มีจริง
|
คุณเคยเห็นกับตาตัวเองไหม |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 8:19 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
ภาพที่ ๔๐
วันหนึ่ง ฝนตักหนัก น้ำท่วม แต่ไม่ท่วมที่ประทับ ชฎิลเห็นอัศจรรย์จึงทูลขอบรรพชา
การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องดังได้บรรยายไว้แล้ว ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือมาก ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้นและจะได้ผลรวดเร็ว ----------------------------------------
จากความเห็นส่วนตัวของคุณ mes ผมว่าขัดแย้งกับ พุทธประวัติในช่วงต้น ๆ นะ ครับ
คุณ mes ครับ อย่างไร ก็ไม่ควรคิดแทนพระพุทธเจ้า แบบที่อาจารย์ของคุณทำนะครับ บาปกรรมเปล่า ๆ
|
ข้อความนี้ใครเป็นคนเขียน
และเขียนขึ้นเมื่อไหร่ |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ย. 2008, 8:42 am |
  |
คุณเฉลิมศักดิ์
การศึกษาธรรมเพื่อต้องการกำจัดอาสวะกิเลสใช่หรื่อไม่
มีวิธีการกำจัดอย่างไรบ้าง |
|
|
|
   |
 |
|