| ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 มี.ค.2005, 8:02 pm |
  |
>คาถาที่ 7
คารโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กตัญญุตา
กาเลน ธัมมัมสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ความเคารพ 1 ความถ่อมตน 1 ความสันโดษ 1
ความกตัญญู 1 การฟังธรรมตามกาล 1 นี่เป็นอุดมมงคล.
คารโว จะ= ความเคารพ
บุคคลผู้ควรทำให้หนัก ท่านเรียกว่า ครู (คารวะ) มีมารดาบิดาเป็นต้น
อันบุตรพึงทำให้หนัก คือ ความเป็นผู้มีความเครพ ตามสมควร ฯลฯ
นิวาโต จะ= ความถ่อมตน
มีอธิบายย่อ ๆว่า
ที่ชื่อว่า นิวาตะ (นิวาโต) เพราะความเป็นผู้มีใจอ่อนน้อม ถ่อมตน ขจัดมานะความถือตัว
ความกระด้าง ฯลฯ มีวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ฯลฯ
 |
| |
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 มี.ค.2005, 8:34 pm |
  |
สันตุฏฐี จะ = ความสันโดษ 1
>สันโดษนี้ จะขอพูดให้ยาวหน่อย (พร้อมบาลีตัวอย่างด้วยถ้าจำเป็น) เพราะยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยุ่มาก
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า พุทธศาสนาสอนให้สันโดษ เมืองไทยจึงเจริญไม่ทันอารยะประเทศ ฯลฯ
เนื่องจากเข้าใจ สันโดษผิด จึงกล่าวตู่คำสอนของศาสดา
ยกบาลีสั้น ๆ ซึ่งกล่าวถึง ความไม่สันโดษก่อน จะเข้าใจความหมายคำว่า สันโดษ ง่ายขึ้น เช่น
>อสนฺตุฏฐิตา จ กุสเลสุ ธมฺเมสุ ความเป็นผู้ไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย มีทานศีลเป็นต้น ซึ่งหาโทษมิได้
(มาในตติยปัณณาสก์ ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย)
ถ้าเป็นกุศลธรรมพระองค์สอนไม่ให้สันโดษ ไม่ให้หยุดพอแค่นั้น ๆ สอนให้ทำขั้นง่าย ๆ จนถึงขั้นสุงสุด
ยกตัวในมงคลสูตรว่า
บุคคลบางคนในโลกนี้ เริ่มต้น ก็ถวายปักขิกภัต (ภัตรประจำปักข์) บ้าง สลากภัตบ้าง
เขาไม่สันโดษด้วยการถวายนั้น จึงถวายธุวภัต (ภัตรประจำ) สังฆภัต (ภัตรเพื่อสงฆ์) ผ้าจำนำพรรษา สร้างอาวาส ถวายปัจจัย 4 เพิ่มขึ้น เป็นผู้ไม่สันโดษแม้ในการถวายนั้น ย่อมรับสรณะ สมาทานศีล 5 เป็นผู้ไม่สีนโดษ แม้ในการกระทำนั้น ย่อมบวช ครั้นบวชแล้ว ย่อมเรียนนิกายหนึ่ง 2 นิกาย พุทธวจนะคือพระไตรปีฏก ย่อมยังสมบัติ 8 ให้เกิด เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมถือเอาพระอรหัต จำเดิมแต่การบรรลุพระอรหัต ย่อมชื่อว่า
เป็นผู้สันโดษใหญ่.
>ความสันโดษ ได้แก่
>ผู้มีใจยินดีในสิ่งที่ตนมี ที่ตนได้....
>ไม่สันโดษ คือ
>มีความรู้สึกไม่ยินดีในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนได้
...เป็นคฤหัสถ์ ไม่สันโดษด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ตนได้ ๆ
....ดู ตัวอย่าง แล้วนำไปเทียบกับความรู้สึกและสภาพแวดล้อมประจำวันดู
...เริ่มว่า จริงอยู่ วัตถุที่ตนได้แล้ว แม้เป็นของประณีต ก็ย่อมปรากฎแก่ ผู้ปรารถนาเกิน (ไม่สันโดษ) ดุจของเลว.
วัตถุที่คนอื่นได้ แม้เป็นของเลว ก็ย่อมปรารกฏดุจของประณีต.
...ความปรารถนาเกิน (ไม่สันโดษ) นี้ ย่อมมีได้ทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ทั้งสัตว์ดิรัจฉาน.
(คิดว่า คงเห็นเลาๆ ว่า ความสันโดษ และความไม่สันโดษบ้างแล้ว)
 |
| |
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
20 มี.ค.2005, 8:51 pm |
  |
กตัญญุตา = ความเป็นผู้รู้อุปการที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน (หาโอกาสตอบแทน กตเวที)
บุคคล 2 จำพวกที่หาได้ยาก คือ
บุพพการี 1
กตัญญู กตเวที 1
...หาได้ยาก ไม่ใช่หาได้ง่าย เหมือนบุคคลผู้อตัญญู เพราะว่า บุคคลอตัญญูมีมาก.
กาเลน ธัมมัสสะวะนัง = การฟังธรรมตามกาล
ในกาลใด จิตพล่านไปด้วยความฟุ้งซ่าน หรือ ถูกอศุลสวิตกเป็นต้นครอบงำเอา
การฟังธรรมเพื่อบรรเทาวิตกเหล่านั้น ชื่อว่า การฟังธรรมตามกาล.
เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
คุณธรรมมีความเคารพ เป็นต้น นี่ เป็นมงคลอย่างสุด.
ย่นย่อ คาถาที่ 7 จบ
 |
| |
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 มี.ค.2005, 3:53 pm |
  |
คาถาที่ 8
ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ความอดทน 1 ความเป็นผู้ว่าง่าย 1 การเห็นสมณะ 1
การฟังธรรมตามกาล 1 นี่เป็นอุดมมงคล.
ความอดทน ชื่อว่าขันติ
ความเป็นบุคคลผู้ว่าง่าย ชื่อว่า โสวะจัสสะตา
การเห็นสมณะ คือ การเพ่งมองดูท่านผู้มีกิเลสระงับแล้ว
ขันติที่ท่านประสงค์ในมงคลสูตรนี้คือ อธิวาสนขันติ (ความอดทนคืออดกลั้นอย่างยิ่ง)
ท่าน...ผู้อดทนต่อถ้อยคำของผู้สูงกว่า...ไม่ชื่อว่า อธิวาสนขันติ (นี้ อดทนเพราะความกลัว)
...ผู้อดทนต่อถ้อยคำของผู้ เสมอกัน...ไม่ชื่อว่า อธิวาสนขันติ (นี้ อดทนเพราะกลัวการตอบโต้)
..ผู้อดทนต่อถ้อยคำของผู้ต่ำกว่า โดยชาติ ตระกูล เป็นต้น ท่านเรียกว่า อธิวาสนขันติ
...ความเป็นผู้ว่าง่าย ได้แก่ ผู้ที่บัณฑิตตักเตือนด้วยเหตุด้วยผล หรือชี้ทางผิดทางถูกให้ ก็ยอมรับฟังด้วยดี ว่า ดีล่ะขอรับ.
...การเห็นสมณะ..ได้แก่..
ผู้...ที่เข้าไปหา แล้วบำรุง ระลึกถึง การได้ยิน และการเห็น บรรพชิตผู้มีกิเลสสงบแล้ว
ผู้มี กาย วาจา จิต ถูกมรรคปัญญาอบรมแล้ว คือ ท่านผู้ประกอบด้วยการฝึกอย่างสูง
...การสนทนากัน หรือ การคุยกันแห่งบุคคล ตามกาลนั้นๆ เพื่อชำระจิตที่หดหู่ฟุ้งซ่าน และถูกวิจิกิจฉา (ความสงสัย) ครอบงำ ชื่อว่า การสนทนาธรรมตามกาล.
การสนทนากันนั้น ชื่อว่า เป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งคุณทั้งหลายมีความฉลาดในพระสูตรเป็นต้น.
เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
คุณธรรมมีความอดทนเป็นต้นนี่ เป็นมงคลอย่างสูงสุด.
ย่นกล่าวคาถาที่ 8 จบ |
| |
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
24 มี.ค.2005, 6:04 pm |
  |
คาถาที่ 9
ตะโป จะ พรัหมะจริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
นิพนานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
ตปะ 1 พรหมจรรย์ 1 การเห็นอริยสัจ 1
การกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน 1 นี่เป็นมงคลอย่างสูงสุด.
ธรรม (มีขันติเป็นต้น) เป็นเครื่องเผาผลาญบาปธรรม ชื่อว่า ตปะ (ตะโป จะ)
พรหมจรรย์มี 10 อย่าง (พรัหมะจริยัญจะ)
1 ทาน=อามิสทาน และธรรมทาน
2 เวยาวัจจะ = ความขวนขวยในธุระที่เป็นส่วนรวม
3 เบญจศีล = ศีล 5
4 อัปปมัญญา = เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (บำเพ็ญ(เจริญในสัตว์ไม่มีประมาณคือไม่เจาะจงเรียกว่าอัปปมัญญา)
5 เมถุนวิรัติ = เว้นจากเมถุนธรรม
6 สทารสันโดษ = สันโดษยินดีแต่คู่ครองของตน
7 วิริยะ = ความเพียรประกอบด้วยองค์ 4 คือ ตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ทำจริงๆ แม้หนัง เอ็น กระดูก เป็นต้นจงเหลือลงก็ตามที
8 องค์อุโปสถ = อุโบสถกรรม 8 (ศีล 8 ) ท่านแบ่งเป็น 3 ขั้น คือ ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง ชั้นสูง คือ ผู้รักษาศีล 8 แล้วเจริญวิปัสสนาจนบรรลุพระอรหัต
9 อริยมรรค = ได้แค่มรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
10 ศาสนา = คำสอนทั้งสิ้น
(อะริยะสัจจานะทัสสะนัง= การเห็นอริยสัจ)
...อริยสัจ (ของจริงของพระอริยะ) มี 4 คือ
1 ทุกข์ = คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
2 สมุทัย = เหตุให้เกิดทุกข์
3 นิโรธ = ความดับทุกข์
4 มรรค ปฏิปทา = ข้อปฏิบัติที่ยังผู้ปฏิบัติธรรมให้ถึงความดับทุกข์
การรู้อริยสัจ(แทงตลอด ด้วยจิตดวงเดียว (ขณะจิตเดียวไม่ใช่เห็นที่ละอย่างทีละข้อ) ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
> ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย (ภิกษุ)
> ผู้ใดย่อมเห็นทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ผู้นั้นย่อมเห็นทั้งเหตุให้ทุกข์เกิด (สมุทัย) ทั้งความดับทุกข์ (นิโรธ) ทั้งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรคปฏิปทา)
> ผู้ใดเห็นเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ผู้นั้นย่อมเห็นทั้งทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ทั้งความดับทุกข์ (นิโรธ) ทั้งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรคปฏิปทา)
> ผู้ใดย่อมเห็นความดับทุกข์ (นิโรธ) ผู้นั้นย่อมเห็นได้ทั้งทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ทั้งเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ทั้งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค ปฏิปทา)
> ผู้ใดย่อมเห็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ (มรรค ปฏิปทา) ผุ้นั้นก็เห็นทั้งทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ทั้งเหตุให้ทุกข์เกิด (สมุทัย) ทั้งความดับทุกข์ (นิโรธ)
ผู้บรรลุมรรคเห็นอริยสัจ 4 ในขณะจิตเดียว คือแทงตลอดอริยสัจด้วยจิตดวงเดียว (เอกัปปฏิเวโธ)
การทำพระนิพพานให้แจ้ง (นิพนานะสัจฉิกิริยา จะ)
นิพพานมี 2 อย่าง
1 สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ = ได้แก่นิพพานที่พระอริยะได้บรรลุแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่
2 อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ = ได้แก่นิพพานที่พระอริยะได้บรรลุแล้วแต่ท่านดับขันธ์ไปแล้ว
การกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน พึงทราบว่า เป็นมงคล เพราะเป็นเหตุแห่งการอยุ่เป็นสุขในปัจจุบันชาตินี้.
เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
คุณธรรมมีตะปะเป็นต้น นี้เป็นมงคลอย่างสูงสุด.
ย่นกล่าวคาถาที่ 9 จบ
.. |
| |
|
|
|
 |
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993
|
ตอบเมื่อ:
24 มี.ค.2005, 6:35 pm |
  |
ขอสาธุ ด้วยครับ
แต่รู้สึกว่าศัพท์แสงจะเยอะไปหน่อยนะครับ
|
| |
|
|
   |
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 มี.ค.2005, 9:30 am |
  |
คาถาที่ 10
ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อโสกัง วิริชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
จิตของผู้ถูกโลกธรรมกระทบไม่หวั่นไหว 1 ไม่โศก 1 ปลอดกิเลสดังธุลี 1
เกษม 1 นี่เป็นอุดมมงคล.
..โลกธรรมมี 8 คือ
1 มีลาภ
2 เสื่อมจากลาภ
3 มียศ
4 เสื่อมจากยศ
5 มีความสุข
6 มีความทุกข์
7 คำสรรเสริญ
8 ถูกนินทา
เมื่อจิตของผู้ถูกโลกธรรมนี้ ถูกต้องเอาแล้ว ยังหวั่นไหว เป็นโลกียะจิต
ถ้าไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก เป็นจิตเกษม เป็นโลกุตตรจิต เป็นอุดมมงคล
จิตเกษม (เขมัง) คือจิตที่ปลอดจากโยคะ 3 คือ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ
..........................
คาถาที่ 11 (คาคาสรุป)
เอตาทิสานิ กัต์วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะมุตตุมันติ.
มนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลดังกล่าวนี้แล้ว ไม่แพ้ในข้าศึกทั้งปวง ถึงความสวัสดี
ในที่ทุกสถาน นั้นเป็นมงคลอย่างสูงสุดของเขาเองแล.
ที่ท่านกล่าวว่าไม่แพ้ในข้าศึกทั้งปวง
ข้าศึกมี 4 คือ
1 ขันธมาร
2 กิเลสมาร
3 อภิสังขารมาร
4 เทวบุตรมาร
มารเป็นไฉน
ดังที่ตรัสแก่ราธะว่า มาร คือ
มารคือรูป
มารคือเทวนา
มารคือสัญญา
มารคือสังขาร
มารคือวิญญาน
ที่ได้ชื่อว่ามาร เพราะทำผู้ที่ปฏิบัติเพื่อจะก้าวล่วงวิสัยของตนให้ตาย คือ
ให้ตายจากกุศลธรรม
ผู้กำลังปฏิบัติกัมมัฏฐานอยู่ ปวดตรงนั้นเจ็บตรงนี้ เป็นต้น นี่คือ มาร มันจะทำให้เราเลิกปฏิบัติ
................
สรุปมงคล 38 ดังนี้
คาถาที่ 1-2-6 คาถาละ 3 ๆ มงคล
ในคาถา 3-4-5-8-9-10 คาถาละ4ๆ มงคล
และในคาถาที่ 7 มี 5 มงคล
รวมเป็นมงคล 38 ประการฉะนี้แล
................
จบแล้วล่ะท่านเวบมาสเตอร์
ที่ว่าศัพท์แสงเยอะก็จริง...
ถ้าไม่ขยายว่า มีอะไรบ้างให้ ก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจอีก หรือเข้าใจไปคนละแนวคิดอีก เพราะไม่ใช่ภาษาไทย....
เช่น การประพฤติพรหมจรรย์ เป็นต้น
ถ้าบอกแต่เพียงว่า การประพฤติพรหมจรรย์ ก็ได้
แต่ยังไม่หมดข้อสงสัยของผู้อ่านอีกว่าพรหมจรรย์ คือ อะไร พยายามย่นที่สุดแล้ว
จันทโชโตภิกขุ
ท้ายที่สุดมงคลนี้ขอสาธุต่อผู้จัดทำเวบและผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ คน จงเจริญในหน้าที่การงานยิ่งๆขึ้นๆไป.
|
| |
|
|
|
 |
มาเพื่อเตือนสติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 8:11 pm |
  |
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ ... ผู้ไม่รู้จักอริยสัจจ์สี่ ไม่อาจะเป็นอริยบุคคลได้..
เตือนสติผู้อ่านทุกท่านไว้ ...
ไม่ว่าทำอะไรย่อมต้องมีสติ... สติ คือ แก่นธรรม
.....
ผู้แสวงหาสาวก หากใครไม่นับถือผู้นั้นเป็นอาจารย์ คนผู้นั้น จักไม่สอนวิชาให้ ..
เนื่องด้วยเหตุไร
1. มานะว่า ใครก็ไม่รู้เท่าตน ดังนั้น ถ้าไม่นับถือตนก็ไม่สอน
2. ความหวงแหนในวิชา .. ตระหนี่ในวิชชา
3. ตัณหา มักมากในสาวก .. ต้องการการเคารพบูชา
คนเหล่านี้ ไม่อาจ เป็นอริยสาวกได้ ไม่อาจสอนพระนิพพานให้ใครได้...
เนื่องด้วยเหตุไร
1.ผู้สอนยังลุ่มหลงมัวเมา ในโลกธรรมฝ่ายดี คือ หวังในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข
ผู้ยังหลงยังมัวเมาอยู่ ยังติดอยู่ในโลก จักทราบทางออกจากโลกที่แท้จริงได้?
ถ้าทราบได้ ทำได้จะติดอยู่ได้อย่างไร?
2.พระพุทธองค์ กล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐสี่ประการนี้ เอง ที่ท่านได้พบใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
เพราะอริยสัจจ์สี่นี้ เป็นเหตุ อริยบุคคลเป็นผล
ผู้ใดสอนตรง ต้องสอนนิโรธคามีนิปฏิปทา คือ สอน อริยมรรค มีองค์ 8 ... จะสอนโดยย่อ เป็นศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่สอน แบบเต็ม ไม่ได้ ... เพราะเหตุไร?
เพราะผู้ที่จะเข้าถึงธรรม ขั้นละเอียด ก็ต้องเข้าใจ ในรายละเอียด ... ผู้สอนธรรมแบบหยาบๆ ... ก็ยังไม่พ้นวิสัยโลกอยู่ดี
...............................
พึงเคารพบุคคล ที่ควรบูชา ... ผู้แอบอ้าง ในพระธรรม .... ไม่พึงเคารพเลย
|
| |
|
|
|
 |
มาเพื่อเตือนสติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 8:16 pm |
  |
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ ... ผู้ไม่รู้จักอริยสัจจ์สี่ ไม่อาจะเป็นอริยบุคคลได้..
เตือนสติผู้อ่านทุกท่านไว้ ...
ไม่ว่าทำอะไรย่อมต้องมีสติ... สติ คือ แก่นธรรม
.....
ผู้แสวงหาสาวก หากใครไม่นับถือผู้นั้นเป็นอาจารย์ คนผู้นั้น จักไม่สอนวิชาให้ ..
เนื่องด้วยเหตุไร
1. มานะว่า ใครก็ไม่รู้เท่าตน ดังนั้น ถ้าไม่นับถือตนก็ไม่สอน
2. ความหวงแหนในวิชา .. ตระหนี่ในวิชชา
3. ตัณหา มักมากในสาวก .. ต้องการการเคารพบูชา
คนเหล่านี้ ไม่อาจ เป็นอริยสาวกได้ ไม่อาจสอนพระนิพพานให้ใครได้...
เนื่องด้วยเหตุไร
1.ผู้สอนยังลุ่มหลงมัวเมา ในโลกธรรมฝ่ายดี คือ หวังในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข
ผู้ยังหลงยังมัวเมาอยู่ ยังติดอยู่ในโลก จักทราบทางออกจากโลกที่แท้จริงได้?
ถ้าทราบได้ ทำได้จะติดอยู่ได้อย่างไร?
2.พระพุทธองค์ กล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐสี่ประการนี้ เอง ที่ท่านได้พบใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
เพราะอริยสัจจ์สี่นี้ เป็นเหตุ อริยบุคคลเป็นผล
ผู้ใดสอนตรง ต้องสอนนิโรธคามีนิปฏิปทา คือ สอน อริยมรรค มีองค์ 8 ... จะสอนโดยย่อ เป็นศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่สอน แบบเต็ม ไม่ได้ ... เพราะเหตุไร?
เพราะผู้ที่จะเข้าถึงธรรม ขั้นละเอียด ก็ต้องเข้าใจ ในรายละเอียด ... ผู้สอนธรรมแบบหยาบๆ ... ก็ยังไม่พ้นวิสัยโลกอยู่ดี
...............................
พึงเคารพบุคคล ที่ควรบูชา ... ผู้แอบอ้าง ในพระธรรม .... ไม่พึงเคารพเลย
|
| |
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 10:18 pm |
  |
น่าสงสารต่อผู้มีสัทธายิ่งนัก ....
มี...สัทธา ... แต่ขาดปัญญาเลือกเฟ้นธรรม ใครให้วิธีการอย่างไรมารับเอาเข้ามาปฏิบัติทุกอย่าง นี่คือโทษของสัทธาเกินไป
....แต่ละอย่างที่รับมา ล้วนแต่ผิดหลักการปฏิบัติทางจิตทั้งสื้น ทำไปทำมาจะกลับเป็นโรคจิตสะเอง เพราะการปฏิบัติสะนี่ เพราะทำมากอารมณ์มากอย่างเกินไป....
...เปรียบเหมือนคนไข้ ซึ่งกินยาหลายอย่าง หลายขนาน ใครว่ายาอะไรดีรับมากินหมด แทนที่จะหายจากโรค กลับเป็นโรคเพราะยา ....
เมื่อ..วินิจฉัยโรค ว่าต้องตัดยาขนานนั้น ๆ ออกไป เอาขนานเดียวก็พอซึ่งตนกินแล้ว รู้สึกดี คนไข้สั่นหน้าไม่ยอม เพราะถือตนว่า กินมามานแล้วเสียดาย ...หมอก็วางอุเบกขาธรรม...
..เป็นอุทาหรณ์อย่างดีต่อผู้เลื่อมใสทั้งหลาย ก่อน รับข้อปฏิบัติทางจิต (ใจ) จากใคร ขอให้ดูก่อนว่า ถูกจริตเราไหม ทำแล้วกิเลสตัวเก่าหมดไหม กิเลสตัวใหม่เข้ามาได้ไหม
..ถ้ากิเลสเก่า ก็ไม่หาย กิเลสตัวใหม่มาเพียบ หยุดสะเถอะอย่าฝืนทำ ต่อไปเลย...
....ถึงผู้ที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ สอนการปฏิบัติ ทั้งหลาย ถ้าตนไม่มั่นใจว่า เมื่อเกิดปัญหาอันเกิดจากการที่เขาปฏิบัติตามเรา แก้ให้เขาไม่ได้ อย่าทำเลย มันไม่คุ้มต่อการไปเสวย วิปากกรรมในอเวจีหรอก บาปมาก ๆ
.............................. |
| |
|
|
|
 |
สับสน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2005, 12:22 pm |
  |
"มาเพื่อเตือนสติ"
คิดหนอ ฟุ้งซ่านหนอ
 |
| |
|
|
|
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2006, 5:12 pm |
  |
[quote="จันทโชต"]>มัชชะปานา จะ สัญญะโม= (สำรวม) เจตนาเครื่องเว้นจากการดื่มน้ำเมา <br>
น้ำเมาเรียกว่า อบายมุข <br>
อบาย=เสื่อม+มุข = ทาง,ปาก <br>
อบายมุช=ทางแห่งความเสื่อม <br>
<br>
ดื่มน้ำเมามีโทษ 6 <br>
1) เสียทรัพย์ <br>
2) ก่อการทะเลาะวิวาท <br>
3) เกิดโรค <br>
4) เสียชื่อเสียง (บัณฑิตติเตียน) <br>
5) ไม่รู้จักอาย <br>
6) ทอนกำลังปัญญา <br>
<br>
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ=ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย <br>
ความประมาทเป็นไฉน ? <br>
<br>
..การปล่อยความคิด (จิต) ไป ในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และ ในเบญจกามคุณ ชื่อว่า ความประมาท <br>
..การทำโดยไม่เคารพ ทำไม่ติดต่อ การทำ ๆ หยุด ๆ ประพฤติย่อหย่อน หมดความพอใจ ทอดธุระ ความไม่ตั้งมั่น ไม่ประกอบเนือง ๆ ไม่เสพ ไม่เจริญ ไม่ทำให้มาก ในการบำเพ็ญกุศลธรรม ชื่อว่า ความประมาท <br>
<br>
***ธรรมะอย่างหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับความประมาทนี้ ชื่อว่า ความไม่ประมาท*** <br>
..เปรียบเหมือนกิ้งก่า วิ่งไปหน่อยหนึ่งแล้วก็หยุด ไม่วิ่งต่อไปฉันใด ผู้ประมากท็ฉันนั้น ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนา หน่อยหนึ่งแล้วก็หยุดไม่ทำเรื่อยไปฉะนั้น (ทำๆ หยุดๆทำไม่ติดต่อ) <br>
<br>
เอตัมมังคะละมุตตะมัง = การงดเว้นจากบาปเป็นอาทินี่ เป็นมงคลอย่างสูงสุด. <br>
<br>
ย่อกล่าวคาถาที่ 6 จบ <br>
<br>
<br>
<img src="pic/b34.gif"> <img src="pic/b34.gif"> <img src="pic/b34.gif">[/quote] |
| |
|
|
|
 |
|
|