ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
|
ตอบเมื่อ:
21 พ.ค.2006, 6:17 am |
  |
มรดกของท่านพุทธทาสภิกขุ
โดย พระไพศาล วิสาโล
ด้วยวุฒิการศึกษาเพียงชั้น ม.3 นักธรรมเอก และเปรียญธรรม 3 ประโยค “พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ” ภิกษุหนุ่มวัย 26 ปี ได้ริเริ่มทำสิ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของพุทธศาสนาในประเทศไทย ในทางรูปธรรมสิ่งนั้นได้แก่สวนโมกขพลาราม ในทางนามธรรมสิ่งนั้นคือพุทธศาสนาอย่างใหม่ที่สมสมัย แต่มีพื้นฐานมาจากการปฏิบัติอย่างสมัยพุทธกาล
พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ หรือที่โลกรู้จักในนามพุทธทาสภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดผู้หนึ่งซึ่งได้นำพุทธศาสนาไทยออกมาสัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลกสมัยใหม่ได้อย่างมีพลัง และสามารถนำปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาอย่างใหม่กลับไปหารากเหง้าทางภูมิปัญญาอันมีพระบรมศาสดาเป็นแรงบันดาลใจ แม้ท่านจะมีการศึกษาตามระบบไม่มากนัก แต่ก็รู้ลึกในศาสตร์สมัยใหม่ไม่ว่าวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา จนไม่เพียงเห็นจุดอ่อนของศาสตร์เหล่านั้น หากยังสามารถนำศาสตร์เหล่านั้นมาใช้อธิบายพุทธศาสนาได้อย่างจับใจปัญญาชน
ในอีกด้านหนึ่งแม้ท่านมิใช่เปรียญเอก (แถมยังสอบตกประโยค 4 ด้วยซ้ำ) แต่ก็เชี่ยวชาญเจนจัดในพระไตรปิฎก และรู้ซึ้งถึงคัมภีร์อรรถกถา จนสามารถเข้าถึงแก่นพุทธศาสน์ และนำมาอธิบายให้คนร่วมสมัยได้อย่างถึงใจชนิดที่กระเทือนไปถึง “ตัวกู ของกู” อีกทั้งยังสามารถวิพากษ์สังคมร่วมสมัย และเสริมเติมศาสตร์สมัยใหม่ให้มีความลุ่มลึกมากขึ้น
ไม่เพียงศาสตร์สมัยใหม่และภูมิปัญญาอย่างเก่าเท่านั้น ที่ท่านพุทธทาสนำมาเชื่อมโยงกันได้อย่างมีความหมาย หากท่านยังเป็นสะพานเชื่อมสิ่งที่ดูเหมือนอยู่คนละฝั่งฟากให้มาเสริมเติมกัน ปริยัติและปฏิบัติซึ่งถูกแยกจากกันมาช้านานตามอิทธิพลของพุทธศาสนาแบบลังกา จนแบ่งเป็นคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
แต่ที่สวนโมกขพลารามนั้นปริยัติได้ประสานเป็นหนึ่งเดียวปฏิบัติ ในขณะที่ใช้ชีวิตอย่างพระป่าเจริญสมาธิภาวนาท่ามกลางธรรมชาติ รวมทั้งอยู่อย่างเรียบง่าย คือ “ฉันข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง” พระเณรที่นั่นก็ศึกษาปริยัติธรรมด้วยการค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และฟังคำบรรยายจากท่านพุทธทาสภิกขุไปด้วย
ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านและน้องชายคือนายธรรมทาส พานิช ออกหนังสือ พุทธศาสนา สิ่งที่ต้องมีควบคู่กันโดยตลอดคือ ภาคพระไตรปิฎก (แปล) และภาคปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วท่านพุทธทาสภิกขุ ก็เป็นผลผลิตของการศึกษาปริยัติอย่างจริงจังและการปฏิบัติอย่างเข้มข้น ในขณะที่ท่านหลีกเร้นปฏิบัติในป่า ก็ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างเอาจริงเอาจัง จนสามารถเขียน ตามรอยพระอรหันต์ ออกมาในปีแรกที่ตั้งสวนโมกข์ และไม่กี่ปีต่อมาก็ตามมาด้วย พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ และอริยสัจจากพระโอษฐ์
ในด้านปริยัติธรรมนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุไม่ได้จำกัดการศึกษาแต่ในแวดวงของเถรวาทเท่านั้น หากยังขยายพรมแดนแห่งความรู้ของท่านไปยังแวดวงมหายานด้วยโดยเฉพาะนิกายเซน จนสามารถนำเอาคำสอนของเซนมาเป็นสื่อเพื่อนำผู้คนให้เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา นอกจากท่านจะลงมือแปลสูตรของเว่ยหล่าง และคำสอนของฮวงโป เองแล้ว ยังเอานิทานเซนและสำนวนเซนมาใช้เพื่อกระตุ้นคนให้ฉุกคิด เช่น “จิตว่างมีได้ในกายวุ่น” หรือ “แม่น้ำคด น้ำไม่คด” หรือ “ฝนอิฐเป็นกระจกเงา” และที่แพร่หลายคือนิทานเด็กตามหาวัว ไม่เพียงเท่านั้นคำสอนฝ่ายวัชรยานท่านก็นำมาเผยแพร่ด้วย ที่รู้จักกันดีคือ ภาพยักษ์แสดงปฏิจจสมุปบาท กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเชื่อมพุทธศาสนาแบบเถรวาทและมหายานให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง ท่านพุทธทาสภิกขุได้ขยายพรมแดนแห่งการปฏิบัติธรรมไปยังชีวิตประจำวัน จนเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้วย ในทรรศนะของท่าน การปฏิบัติธรรมมิได้หมายถึงการหลีกเร้นเก็บตัวอยู่คนเดียวในป่า หรือนั่งหลับตาในห้องเท่านั้น หากเรายังสามารถปฏิบัติธรรมได้จากการทำงาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเน้นว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”
ในขณะที่คนทั่วไปทำงานเพื่อหวังความสำเร็จหรือมุ่งให้เสร็จไวๆ ท่านกลับสอนให้ทำงานอย่างมีสติอยู่กับปัจจุบัน และไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ท่านเคยเปรียบกิเลสเหมือนกับเสือ ส่วนการทำงานเหมือนกับการแหย่เสือ ยิ่งเสือถูกแหย่ เราก็ยิ่งรู้จักฤทธิ์ของมัน และเห็นจุดอ่อนของมัน ทำให้สามารถปราบมันได้ด้วย ถ้าไม่ทำงาน เราก็ไม่รู้จักเสือ ดังนันจึงไม่รู้วิธีปราบและเอาชนะมันได้ เมื่อการทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน “โลก” กับ “ธรรม” ก็มิได้แยกจากกันอีกต่อไป ชาวพุทธทั่วไปนั้นมักเห็นว่า “โลก” เป็นเรื่องของคฤหัสถ์ ส่วน “ธรรม” เป็นเรื่องของพระ ใครที่เป็นคฤหัสถ์ ก็หวังความสำเร็จทางโลก ส่วนพระก็ปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่ท่านพุทธทาสภิกขุเห็นว่า แม้แต่คฤหัสถ์ ก็ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือบำเพ็ญทางจิตด้วย เพราะชีวิตทางโลกนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและวุ่นวาย หากไม่รู้จักฝึกจิตให้สงบเย็น ก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์
ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ท่านชักชวนพระในสวนโมกข์ให้ออกจากกุฏิมาทำงานแบกหามและก่อสร้างอยู่เนืองๆ นั้น ท่านก็พยายามแนะนำคฤหัสถ์ให้รู้จักทำงานด้วย “จิตว่าง” คือว่างจากกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ดังท่านได้ย้ำว่า “จะนอน จะกิน จะทำงาน จะทำอะไรก็ได้ด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วย “ตัวกู-ของกู” แล้วก็ (จะ) ไม่มีความทุกข์” ในระดับบุคคล ฉันใด ในระดับสังคม ก็ฉันนั้น จึงไม่แปลกที่ท่านจะเรียกร้องให้การเมือง เศรษฐกิจ และการพัฒนา มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ธรรมะกับการเมือง เป็นงานบรรยายของท่านอีกชิ้นหนึ่งที่ย้ำว่า “โลก” กับ “ธรรม” ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
มองให้ลึกลงไป เมื่อ “โลก” กับ “ธรรม” เป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เรียกว่า “โลกิยธรรม” กับ “โลกุตตรธรรม” ก็ไม่แยกจากกันอีกต่อไป การมีชีวิตอยู่ในโลกกับการอยู่เหนือโลกสามารถดำเนินควบคู่กันไปได้ คฤหัสถ์สามารถดำเนินชีวิตอย่างคนปกติ แต่ใจนั้นเป็นอิสระจากความทุกข์ ไม่เป็นทาสของโลกธรรม หรือสยบมัวเมาในวัตถุ แม้จะประสบความพลัดพรากสูญเสีย จิตใจก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้เท่าทันในธรรมดาโลก สภาวะเช่นนั้นคือความสงบเย็นที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง ท่านเคยกล่าวว่า “ฆราวาสธรรม มิใช่สำหรับให้ฆราวาสได้จมอยู่ในโลก หากแต่สำหรับให้ฆราวาสนั้น ได้อาศัยยกตัวเองขึ้นมาเสียจากปลักของฆราวาส พ้นทุกข์ เป็นโลกุตร เป็นนิพพานในที่สุด”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในชีวิตนี้ มิต้องรอถึงชาติหน้าเป็นเวลาช้านานที่นิพพานถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลโพ้น ส่วนโลกุตตรธรรมเป็นเรื่องของคนที่ต้องสละโลก แต่ท่านพุทธทาสภิกขุได้นำโลกุตตรธรรมและนิพพานกลับคืนสู่โลกนี้และชีวิตนี้ จริงอยู่โลกนี้ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเปลวกิเลส แต่ใช่หรือไม่ว่า “ความดับของไฟ หาพบได้ที่ไฟ ความดับของทุกข์ หาพบได้ที่ความทุกข์ นิพพาน (จึง) หาพบได้ที่วัฏสงสาร”
ท่านพุทธทาสภิกขุได้ทำให้เราตระหนักว่า วัฏสงสารกับนิพพานนั้นหาได้แยกจากกันไม่ เพราะในวัฏสงสารมีนิพพานที่รอการค้นพบจากเรา ไม่ว่า “นิพพานชั่วขณะ” หรือนิพพานที่เป็นความหลุดพ้นสิ้นเชิงก็ตาม ในโลกที่นิยมแบ่งสิ่งต่างๆ ออกเป็นขั้ว ท่านพุทธทาสภิกขุได้ประสานขั้วเหล่านั้นให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลพวงอย่างหนึ่งที่ตามมาก็คือ การที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ค้นพบว่า “พุทธะ” นั้นหาได้อยู่นอกตัวไม่ หากอยู่กลางใจนี้เอง ถึงที่สุดแล้วท่านได้นำเรากลับมารู้จัก “พุทธะ” ภายใน ซึ่งสามารถทำให้เราทุกคนเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือ “พุทโธ” ได้ สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “อริยโลกุตตรธรรมเป็นทรัพย์ประจำตัวของมนุษย์ทุกคน”
ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นปราชญ์ที่มิเพียงฟื้นฟูพุทธศาสนาไทยให้กลับมามีความรุ่มรวย ลุ่มลึก และมีความหมายกับสังคมร่วมสมัยเท่านั้น หากยังทำให้ความเป็นมนุษย์ของเรากลับฟื้นคืนเต็มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ในโลกที่มองมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจที่เห็นแก่ตัว หรือเป็นแค่เครื่องจักรมีชีวิตที่กำหนดโดยยีน การเข้าถึงศักยภาพของตนเองอย่างลึกซึ้งเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการกอบกู้ความเป็นมนุษย์ของเราคืนมาจากการปล้นสะดมของโลกวัตถุนิยม
ในวาระ 100 ปีแห่งชาตกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ มีหลายสิ่งที่น่าจดจำเกี่ยวกับท่านผู้เป็นปราชญ์ระดับโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ คำสอนของท่านที่บอกให้เรารู้ว่า เราคือใคร และมีศักยภาพเพียงใดบ้าง
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10298 |
|
|
|
    |
 |
I am
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 9:41 am |
  |
โมทนาด้วยครับ คุณสาวิกาน้อย สาธุ.. |
|
|
|
|
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 12:27 pm |
  |
นิพพานชั่วขณะสำหรับปุถุชนไม่มีในพระไตรปิฏกครับ มีแต่นิพพานของพระอนาคามีหรือ
ของพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติ เป็นการเข้าถึงสภาวะนิพพานที่แท้เป็นเวลา ๗ วัน
นิพพานมี ๒ คือ สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
อนุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพาน ของพระอรหันต์ที่ละสังขารไปแล้ว
การที่บุคคลธรรมดา เจริญสติ รู้อารมณ์ที่มากระทบและไม่ยึดมั่นนั้น ไม่เรียกว่า นิพพานชั่วขณะ |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
๛ Nirvana ๛
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 12:31 pm |
  |
ขออนุโมทนากับสิ่งที่อธิบายแล้ว มีเนื้อความตรงพระไตรปิฏก  |
|
_________________ ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน |
|
     |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
22 พ.ค.2006, 2:55 pm |
  |
อนุโมทนาด้วยค่ะ... คุณสาวิกาน้อย
 |
|
|
|
   |
 |
wanwisa
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 18 ก.ค. 2007
ตอบ: 15
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ย. 2007, 8:55 am |
  |
|
  |
 |
วีรเดช
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 01 เม.ย. 2008
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
03 เม.ย.2008, 10:28 am |
  |
สาธุ ๆ ครับ  |
|
|
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2008, 9:17 pm |
  |
ชอบแล้ว เจ้าค่ะ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152
|
ตอบเมื่อ:
24 ส.ค. 2008, 8:08 pm |
  |
สาธุจ้า
 |
|
_________________ ธรรมะคือธรรมชาติ |
|
   |
 |
|