Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เพศหญิง เพศชาย เพศโท สำคัญหรือไม่ คิดดี-ปฏิบัติดี สำคัญกว่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ธรรมวัฒนะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2005, 7:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านเห็นด้วยหรือไม่ มนุษย์เราไม่ว่าเพศหญิง หรือเพศชาย หรือเกย์
ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สำคัญที่การประพฤติตัวของแต่ละบุคคลมากกว่า

คนที่เป็นเกย์ หรือเลสเบี้ยน แต่มีธรรมะในหัวใจ
ย่อมดีกว่าชายชาตรี หรือหญิงงาม ที่ปราศจากคุณธรรม
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2005, 10:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จริงครับ เพียงแต่ ผู้ที่เป็นกระเทย เกย์หรือทอมหรือเลสเบี้ยนนั้น จะต้องหยุดการเป็นกระเทย เกย์ ทอม และเลสเบี้ยน แบบถึงขั้นนอนด้วยกันบนเตียงครับ มิฉะนั้น จะไม่ถือว่า มีธรรมะในหัวใจครับ (หนึ่งในธรรมะข้อหนึ่งก็คือ ความข่มใจ)

แต่ถ้าเพียงแสดงท่าทางว่าเป็น แต่ไม่ไปมีอะไรกับใครก็ไม่เป็นไร ถ้าหยุดได้เช่นนี้ แล้วกลับมามีธรรมะในหัวใจ ก็ได้ครับ
 
มาดู
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2005, 1:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

.... ... ...ไว้แวะมาดูใหม่นะคะ... ..สาธุค่ะ..
 
เพศปกติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2005, 2:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เห็นด้วยครับ จะเป็นอะไรไม่สำคัญ ขอเพียงมีศีลธรรมประดับใจ เพียงแค่ศีล 5 ก็นับว่าดีเลิศแล้ว โดยเฉพาะข้อ 3 เพราะปัจจุบันบรรดาท่านกะเทย ทั้งหลายไม่ว่าหญิงหรือ ชาย

มักจะทำให้ชาวบ้านครอบครัวอันอบอุ่นต้องแตกแยกเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าฉันแน่
แม้ฉันจะเป็นกะเทยก็สามารถแย่งผัว แย่งเมียเขาได้และมีความสุขเสียด้วยที่ทำสำเร็จ

ระวังกรรมยังไม่ให้ผลท่านยังกินบุญเก่าอยู่ การที่ท่านเหล่านั้นเกิดมาเป็นกะเทยในชาตินี้
นั้นหมายความว่าชาติที่แล้วท่านเป็นชู้กับผัว เมีย ของคนอื่นเขา ชาตินี้ท่านยังทำแบบเดิมอีก ท่านคงต้องเกิดเป็นกะเทยเรื่อยไป ทั้งกะเทยหญิงและกะเทยชาย
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2005, 10:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ว่าสมมติทางโลกจะให้คำจำกัดความมนุษย์ เรียกแตกต่างกันไปอย่างไร แต่ที่สำคัญทุกคนคือมนุษย์ หากทุกคนกระทำกรรมด้วยจิตใจที่เหมาะสม เพียงแค่ศีล 5 เมื่อประพฤติปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย จิตที่ละเอียด จิตที่บริสุทธิ์ ศีลก็ย่อมละเอียด ศีลก็ย่อมบริสุทธิ์ตามไปด้วย ไม่ต้องมาคอยยึด คอยถือ ให้ลำบากใจ เพราะศีลละเอียดอยู่ในจิตใจ

ทุกคนล้วนเป็นนักแสดงบนเวที หากแต่อย่านำตัวเองไปยึดติดกับบทบาทที่แสดงจนดิ้นไม่หลุด ละความยึดติดทั้งปวงที่เกิดจากอัตตา ความหลง ความแบ่งแยก สมมติทางโลกเพียงชื่อ เพียงภาษา แต่จิตเดิมแท้ไม่มีแบ่งว่าหญิงว่าชาย ว่านั่นว่านี่

ลองพิจารณาดูซิว่า การกระทำและการใช้ชีวิตในสังคมไม่ว่าสังคมใดของแต่ละบุคคล ถูกต้องดีงามเพื่อคนอื่นหรือไม่ เพื่อสังคมหรือไม่ เพื่อโลกหรือไม่ หรือแต่ละบุคคลยังหวังผลจากการกระทำของตนเองอยู่ เพียงเพื่อสร้างภาพให้แก่ตนเอง เพียงเพื่อให้ได้รับซึ่งสรรเสริญ ยกย่อง แต่ภาพสวยหรูที่ฉาบปะไว้ภายนอกมันก็ไม่สามารถบดบังกิเลสที่เกาะหนาทึบอยู่ในจิตใจได้ตลอดเวลา วันหนึ่งขยะก็จะปรากฏ...หากไม่รีบเก็บกวาดเสียแต่เนิ่นๆ


ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2005, 4:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กะเทย ในภาษาบาลีเรียกว่า "บัณเฑาะก์" ซึ่งถูกห้ามบวชในพุทธศาสนา เมื่อเป็นพุทธบัญญัติแล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัยในเหตุผลแห่งพุทธวิสัย

การเกิดมาเป็นอย่างไรนั้นย่อมเป็นไปตามกรรมของตนที่ได้ทำไว้ในอดีต กรรมนั้นจึงตามมาให้มีอุปนิสัยเป็นเช่นนั้น ถ้าสามารถฝ่าฝืนอุปนิสัยได้ก็จะไม่เป็นอย่างนั้น

ถ้าเราจะไปตำหนิกรรมของคนที่ได้ทำไว้แต่ในอดีตนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะใครจะเป็นอย่างไรก็มาแต่วิบากที่ได้ทำไว้แล้ว แต่ถ้าคนทำชั่วในปัจจุบันสมควรที่จะตำหนิ ส่วนคนที่เป็นกะเทยเมื่อเขาต้องรักอยู่ในเพศเดียวกัน ไม่ทำให้ใครอื่นเดือดร้อน ก็ย่อมเป็นสิทธิที่เขาจะใช้ชีวิตไปอย่างนั้น

สิ่งที่ควรคำนึงคือคนทุกเพศ ต่างอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมด้วยกัน ใครทำดีหรือทำชั่วก็ย่อมได้รับผลของกรรมด้วยตนเอง ผู้อื่นไม่สามารถจะไปกำหนดผลกรรมนั้นแก่ใครๆในเพศอื่นได้ ไม่ว่าจะมองหรือจะคิดอย่างไรกับบุคคลในเพศต่างๆ ความคิดนั้นเป็นแต่ความคิดภายนอก อันเป็นเรื่องนานาจิตตัง เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมด้วยกันทั้งนั้น
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2005, 9:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บางทีเพื่อนๆ ที่ได้เกิดในเพศที่ตนเองปรารถนาแล้ว อาจจะเข้าใจว่า ความรู้สึกของผู้ที่เกิดในเพศที่ตรงข้ามกับที่ตนปรารถนา คงเหมือนพวกเราทั่วๆไปนะครับ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เช่นนั้นครับ เหตุที่ผมทราบ เพราะผมเคยชมข้อมูลการให้สัมภาษณ์ คุณ เจินเจิน (เจ้าของเพลง "เป็นฉันมันผิดตรงไหน....ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง" ปัจจุบันร้องเพลงอยู่ในอเมริกา) ทางรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง และบทสัมภาษณ์ของชาวเกย์ ทอม อีกหลายท่านนะครับ ทุกคนล้วนรู้สึกตรงกันครับ เหตุใดตนถึงไม่ได้เกิดในเพศที่ตนปรารถนาตั้งแต่แรก เช่น คุณเจินเจิน อยากเป็นผู้หญิงตั้งแต่แรก แต่ต้องมาดัดแปลงเอาในภายหลัง และตนจะต้องเกิดเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน มีความรู้ได้บ้างที่จะช่วยให้ตนได้เกิดเป็นเพศที่ตนปรารถนาโดยเร็ว สิ่งเหล่านี้ อยู่ในใจเพื่อนๆ เหล่านี้ตลอดเวลา มิฉะนั้น เขาก็ไม่มาเป็นแบบนี้หรอกครับ คุณเจิน เจิน ยืนยัน

แต่หลังจากคุณเจินเจิน ได้ฟังความรู้เรื่องราวของชีวิต (กฏแห่งกรรม) จากพระภิกษุที่ตนเคารพนับถือ และความรู้ที่จะทำให้ตนพ้นจากภาวะนี้โดยเร็ว คุณเจินเจินก็เข้าใจครับ เพียงแต่ว่าการบอกกล่าวต้องไม่ใช่เชิงตำหนิติเตียนนะครับ แต่เป็นการบอกกล่าวเชิงให้ความรู้ว่า ผลอย่างนี้ มาจากเหตุอะไร จะแก้ไขได้อย่างไร ให้มีผลที่ดีต่อไปในอนาคต

ความรู้นั้นก็คือว่า ถ้าผู้ที่เกิดตรงข้ามกับเพศที่ตนปรารถนา ยังคงรักษาศีล 5 มีคู่ครองแค่คนเดียว ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็จะทำให้ไม่สร้างกรรมใหม่ แค่ใช้กรรมเก่าต่อไป คือ ต้องไปเกิดตรงข้ามกับเพศที่ตนปรารถนาอย่างนี้อีกหลายร้อยชาติ (กฏแห่งกรรมนี่ก็แปลกเหมือนกันนะครับ ทำครั้งเดียว แต่ต้องชดใช้เป็นร้อยๆชาติ)

แต่มีความรู้ที่จะช่วยให้ได้เกิดเป็นเพศที่ตนปรารถนาได้เร็วกว่านั้น สิ่งนั้นคือ การประพฤติพรหมจรรย์ รักษาศีล 8 ครับ ซึ่งเป็นคู่ปรับโดยเฉพาะกับวิบากกรรมกาเมสุมิจฉาจาร เป็นหลักเลย และส่วนเสริม ก็คือ การสนับสนุนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เช่น เป็นเจ้าภาพงานบวชพระ และถวายภัตตาหารพระ ให้ท่านมีกำลังประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป และฝึกใจตนเอง ด้วยการฝึกสติ สมาธิ แล้วแต่ถนัด เพื่อให้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน คิดกังวลกับเรื่องนี้มากนัก ถ้าทำได้บริสุทธิ์มาก อาจพ้นได้ภายในชาติเดียวก็ได้ คือชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะต้องเป็นแบบนี้

พอได้ความรู้อย่างนี้แล้ว แต่ละท่านที่เป็นอย่างนี้ ก็จะไปตัดสินใจด้วยตัวเองอีกครั้ง ว่าถ้าอยากสมปรารถนาโดยเร็วจะต้องทำอย่างไร ถ้าทำเหมือนคนปรกติจะเป็นอย่างไร คำตอบก็อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละท่านเองแหละครับ เพราะรายการโทรทัศน์วันนั้น มีชาวเกย์ ฯลฯ ฟังกันเป็นจำนวนมากเลยครับ
 
เรือนละดา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2005, 3:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านผู้ตั้งกระทู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

ตามความคิดของข้าพเจ้านั้น คนเราจะเกิดมาได้นั้น สิ่งที่ติดตัวผู้นั้นมาตั้งแต่เกิดคือ กรรม (การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา) ในชาติที่ผ่านมา และคนผู้นั้นต้องมารับกรรมที่ก่อไว้ตั้งแต่อดตีตมาจนถึงปัจจุบัน ในความคิดเห็นกับกระทู้นี้คิดว่าคนเราไม่ว่าจะเกิดมาเพศไหน หญิง ชาย กระเทย เกย์ ไบ เลสเบี้ยน ทอม นั้นพวกเขาไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วประพฤติปฏิบัติดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน (กรรมชั่ว) พวกเขาจะอยู่ได้ในสังคมทางโลกอย่างปกติ แต่ในทางธรรมนั้นข้าพเจ้าไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า ผิดอย่างไร และเป็นกรรมชั่ว (บาป)หรือเปล่าอย่างไร แบบไหน ในความคิดของข้าพเจ้านั้นการที่คนเพศเดียวกันรักกันและอยากอยู่ร่วมกัน คู่เดียวที่รักกันจริง (แต่เป็นเพศเดียวกัน) นี้จะผิดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ผู้ที่ทราบช่วยตอบข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าก็เป็นคนนึงที่สนใจในพระพุทธศาสนา คิดว่าคงไม่ผิดถ้าจะนับถือและศรัทธาในศาสนาพุทธ ศาสนาที่ยึดถือหลักของเหตุผล ข้าพเจ้ายังมีข้อคิดอีกอย่างนึงให้ขบคิดคือ เท่าที่ข้าพเจ้าเห็นในวงแคบ คือในส่วนที่ข้าพเจ้าได้ดำรงชีวิตอยู่นี้ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเบี่ยงเบนทางเพศนี้เขามีดีอยู่ข้อนึงที่น่านับถือมาก ๆ คือ ความกตัญญูพวกเขาจะมีความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณอย่างมาก เท่าที่ผมเห็นส่วนนึงนะ แต่ในสังคมโลกที่กว้างกว่านี้ผมไม่รู้ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นกรรมดีต่อพวกเขา อีกอย่างที่เป็นที่น่าสังเกตคือ พวกนี้จะมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกับพวกปกติอย่างชัดเจน เช่น เรียนเก่งกว่า ทำงานหนักกว่า ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการที่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับกรรมในอดีตนั้นสิ่งที่ติดตามเขามาในปัจจุบันน่าจะเป็น พรสวรรค์อันน่าจะเป็นกรรมดีที่เขาในสร้างสมมาในชาติอดีตก็ได้

ขนาดกวางซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานยังหมอบกราบในพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไฉนเลยคนที่มีภูมิเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่ถูกสมมติเพศให้ผิดปกติจึงจะเข้าถึงในพุทธรรมได้
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2005, 6:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ในความคิดของข้าพเจ้านั้นการที่คนเพศเดียวกันรักกันและอยากอยู่ร่วมกัน คู่เดียวที่รักกันจริง (แต่เป็นเพศเดียวกัน) นี้จะผิดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ผู้ที่ทราบช่วยตอบข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าก็เป็นคนนึงที่สนใจในพระพุทธศาสนา คิดว่าคงไม่ผิดถ้าจะนับถือและศรัทธาในศาสนาพุทธ"

ใช่ครับอยู่กันได้ไม่ผิดครับ เพียงแต่ว่า เพื่อนๆ ร่วมโลกเหล่านั้น เขาไม่ได้อยากเกิดเป็นเพศที่ตนเองเป็นอยู่นี้ตั้งแต่แรกเกิด แต่เขาอยากจะเกิดเป็นเพศตรงข้ามกับตนเองตั้งแต่แรกเกิด ก็เท่านั้นเองครับ และความรู้สึกนี้เป็นความทุกข์มากนะครับ มันไม่เหมือนกับการเราที่อยากได้ หนังสือสักเล่มมาอ่าน หรือ ของเล่นสักชิ้นมาเล่น เครื่องประดับสักชิ้นมาใส่ เพราะสิ่งของเหล่านี้ เราเก็บเงินสักหน่อยเราก็ซื้อหามาได้ แต่ภาวะของเขาที่เป็นอยู่นั้น เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ครับ ผ่าตัดแปลงเพศ ก็ได้เพียงคล้ายๆ และต้องเจ็บปวดอย่างยิ่งเลยนะครับ ยากที่คนธรรมดาทั่วๆ ไปจะเข้าใจครับ ว่าถ้าเขารู้วิธีว่าทำอย่างไร เขาจะไม่ต้องมาเป็นแบบนี้อีก (ได้เกิดสมปรารถนาตั้งแต่แรกเลย ไม่ต้องดัดแปลงภายหลัง) ผมว่าเขายินดีทำทันทีครับ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2005, 10:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เสริมอีกนิดนะครับ สำหรับความเข้าใจที่ว่า คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ นั้นเป็นเพียงความเชื่อครับ (หนึ่งในลัทธิที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ หรือมีผู้เป็นใหญ่ลิขิตชีวิตมนุษย์ จะเชื่อกันอย่างนี้) แต่ความจริง คนเราเลือกเกิดได้ครับ เราสามารถออกแบบชีวิตของเราได้ครับ พระพุทธศาสนามีหลักในการออกแบบชีวิตไว้เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่ง เพื่อนๆ ในเว็บนี้ส่วนใหญ่เลย (น่าอนุโมทนามากครับ) ออกแบบชีวิตไว้แล้วว่า จะเลือกเกิดเป็น "ขอไม่เกิดอีกต่อไป" ครับ หรือหลุดพ้นจากวงจรการเวียนว่ายตายเกิดไปเลยนั่นเองครับ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา (นั่นคือ มุ่งสูงสุดเลย)

ส่วนผมเอง ขอเลือกเกิดแบบไต่บันไดทีละขั้น ซึ่งก็สามารถทำได้ ตามเป้าหมาย 3 ระดับของพระพุทธศาสนาดังนี้ครับ

1. เป้าหมายบนดิน คือ นำหลักธรรมะของผู้ครองเรือนมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำมาหากิน ให้มีความสุขในปัจจุบัน
2. เป้าหมายบนฟ้า คือ ปฏิบัติตามหลัก ทาน ศีล ภาวนา เพื่อสั่งสมบารมี ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองไปในภพชาติเบื้องหน้า และเจริญรุ่งเรืองจนถึงเป้าหมายสูงสุด
3. เป้าหมายเหนือฟ้า เป็นเป้าหมายสูงสุด หลุดพ้นจากวัฏสังสาร หลังจากเราพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ จนทุกๆ ด้าน หลายภพหลายชาติ จนอินทรีย์แก้กล้า บารมี 10 เต็มเปี่ยม ก็จะก้าวไปสู่เป้าหมายสุดท้ายนี่แหละครับ

และทันทีที่มีผู้รู้และเข้าใจแล้วว่า ชีวิตออกแบบได้ เลือกเกิดได้ด้วย เขาก็เริ่มตั้งใจออกแบบชีวิตของตนเองกันใหม่ ทำวันนี้ให้ดี เพื่อที่ว่า วันนี้ที่ดี และดูแลวันพรุ่งนี้ดียิ่งๆ ขึ้นไปน่ะครับ
 
เรือนละดา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2005, 11:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในความคิดของผมนั้น ที่บอกว่าคนเราเลือกเกิดได้นั้น แสดงว่าเราทำอะไรในชาตินี้ ผลกรรม (กรรมดี-กรรมชั่ว) ก็จะส่งผลในชาติหน้าหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น คนเราเกิดมาในชาตินี้ เป็นยังไงแบบไหนล้วนมาจากกรรมเป็นตัวกำหนดทั้งนั้น กรรมหมุนเวียน เปรียบดังรอยเกวียนติดตามเท้าโค ฉันนั้น ดังนั้นถ้าเราอยากกำหนดว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไรนั้นก็ควรประกอบแต่กรรมดี ชาติหน้าจะได้เกิดมาแล้วมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา และอยากจะดีขึ้นอีก ก็ประกอบกรรมดี เจริญวิปัสนา ให้ดียิ่งขึ้นไป มันคล้ายกับขึ้นบันไดทีละขั้น แต่จุดหมายสูงสุดแล้ว ก็คือ การไม่เวียนว่าย ตายเกิดหรือเข้าสู่ นิพพานนั่นเอง ในขณะนี้เราเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ก็ควรจะประกอบแต่กรรมดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็คิดว่าน่าจะมีความสุขกาย สบายใจในทางโลกได้ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คือเมื่อเราประกอบกรรมดี ช่วยเหลือผู้อื่น เสมอมา มาเกิดกี่ชาติก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งใจเราจะเป็นสุข และได้บุญอย่างมากด้วย ส่วนในมุมมองที่แตกต่างกัน บางท่านก็ไม่อยากเวียนว่ายในวัฎสงสารนี้ก็เจริญวิปัสสนา ภาวนา และฝึกจิตเข้าสู่นิพพานก็ได้

ต่างคน ต่างความคิดต่างมุมมอง แต่ทุกคนก็เป็นศิษย์ของตถาคตเหมือนกัน เป็นลูกของพระพุทศาสนา

กฏแห่งกรรมยิ่งใหญ่ที่สุด

ขอธรรมะ โปรดคุ้มครองทุกท่านด้วยเถิด

 
ธเนศ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ค.2005, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



83708370.jpg


ทำอย่างไร ทำใจให้รู้ว่านี่คือผลของกรรมชนิดหนึ่งแล้วอย่าทำซ้ำ และเร่งทำกรรมดีในเรื่องการฝึกสติและปัญญา วิบากใครใครก็ต้องรู้ไม่ว่าเรื่องไหน คิดพูดทำแต่สิ่งดี นี่คือ

หลักการที่ต้องเรียนรู้กัน

ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร กรรมเป็นเรื่องกำหนด สร้างกรรมดี พัฒนาจิตใจกันให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา แค่นี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอน เชื่อไม่ใช่ไม่มีใครห้ามแต่ให้ทำใครได้ทั้งดี ทั้งชั่ว จะได้ไม่ต้องโอดครวญทำทำไมหนอ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จึงต้องเป็นเช่นนี้ รักและห่วงใครซึ่งกันและกัน
 
asmadious
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 03 ก.ค. 2005
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2005, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของความคิดเห็นที่ 1 นะครับ มีใครช่วยผมอธิบายได้ไหมครับ การมีอะไรกันของเกย์ หรือกระเทยนั้นผิด แล้วการมีอะไรกันของชาย-หญิง ผิดด้วยไหมครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ ขอความกรุณาด้วยนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2005, 8:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอบคุณ asmadious การมีอะไรกันของเกย์ หรือกระเทยนะครับ ถ้าเขารักเดียวใจเดียวกันจริงๆ ย่อมไม่ผิดศีลครับ แต่จะทำให้ไม่อาจพ้นจากการเป็นเกย์ กระเทยได้ เพราะการเป็นเกย์ หรือ กระเทย นั้น มีสาเหตุมาจากวิบากกรรม (กรรมเก่า) ของการผิดศีลข้อ 3 หลายๆ ชาติ มารวมส่งผลในคราวเดียว ดังนั้น หากไม่แก้ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ วิบากกรรม ก็จะทำให้ไปเกิดเป็นเกย์อีกหลายร้อยชาติทีเดียวครับ ดังนั้น ถ้าอยากจะพ้นวิบากกรรมเร็วๆ ก็จะต้องอดกลั้นมากกว่าปกตินั่นแหละครับ



ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนถ้าเราไม่ได้เป็นหนี้ใคร เราก็ใช้เงินไปตามปรกติได้ รายรับมากกว่ารายจ่ายนิดหน่อย เหลือเก็บไว้บ้างเราก็อยู่ได้แล้ว ใช่มั้ยครับ

แต่ถ้าเราเป็นหนี้สินอยู่ แล้วเราจะไปใช้เงินเหมือนปรกติ เราก็อาจอยู่ไม่ได้ครับ แต่เราจะต้องประหยัดมากกว่าปรกติ เราจึงจะอยู่ได้ครับ
 
ChK2
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ม.ค. 2007, 1:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่ใครสักคนเป็นเกย์ ก็เพราะพฤติกรรมของเขาเป็นเหตุ การพูด การคิด การกระทำ ของแต่ละคนทำให้คนอื่นเรียกเราว่าคนดี ว่าคนชั่ว ดังนั้นจะอ้างโน้นอ้างนี้ก็ให้ดูพฤติกรรมของตนเองก่อน

ถ้าเปลี่ยนตัวเองไม่ได้การบวชก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้สังคมสงฆ์เลวลงในสายตาของคนที่พบเห็น คิดดูว่าดีหรือไม่ดี

ถ้าอยากบวชก็ให้ค่อยๆหันหน้าพาตัวเองเข้าวัดทีละเล็กทีละน้อย ฟังธรรมะให้มากขึ้น พยายามเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น(ต้องยอมรับความจริงว่าเกย์เป็นสิ่งผิดธรรมชาติ ถ้าไม่ยอมรับความจริงก็อย่าหวังอะไรให้มากนัก) เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม(หากยังมีชีวิตอยู่) ก็บวชได้มีแต่ผลดี

เหตุผลที่ยกที่อ้าง เคยคิดบ้างไหมว่าเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ หรือเปล่า และที่สำคัญเหตุผลไม่จำเป็นต้องจริง และที่แน่ๆ เหตุผลจะยืนยันความถูกผิดไม่ได้เสมอไป เลวก็มีเหตุผล ดีก็มีเหตุผล

ที่เหลือก็คิดเอาเอง แต่ให้ยึกหลักพุทธศาสนาไว้นะครับ
 
ธรรมรักษา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 19 พ.ย. 2007
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2007, 9:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิช้านก็เปง พวกเพศที่ 3 (ทอม) แต่ไม่เคยเบียดเบียนครัยเลยคร่ะ อาจจะเคยทำอะไรไม่ดี้อาไว้ แต่ตอนนี้เริ่มหันหน้าเข้าสู่ท่างธรรมแล้วคร่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 19 ส.ค. 2008, 3:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาติที่แล้ว จับผู้หญิง บังคับ ขาย กาย
นะ เลยเกิด มาเป็น ทอม ร้องไห้ ตื่นเต้น
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง