Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร (คุณหมอจักรแก้ว กัลยาณมิตร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2005, 8:07 pm
ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร
บทความจาก...คุณหมอจักรแก้ว กัลยาณมิตร
อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป...อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข...หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์...
เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ
การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำหรือไม่ และเราควรจะทำอย่างไรดี
บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป
ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน
เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง
สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ
หนึ่ง
อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป
สอง
อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น
สาม
อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน
และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา
ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์
ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น
เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป
ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า
ธรรมะ
ท่านพุทธทาสภิกขุ
สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น
เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน
และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี
ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด
แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด
เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน พบกันฉบับหน้าครับ
....................................
ที่มา...
http://www.whitemedia.org/
_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
มาดู
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2005, 1:24 am
ส้มแป้น
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 17 มี.ค.2005, 7:20 pm
รู้สึกดีมากค่ะ
ตนเองเคยมีประสบการณ์แบบนี้โดยตรง และใช้ธรรมะช่วยชีวิตมาแล้ว
ถ้าบอกจะเชื่อมั๊ย ว่าสมัยดิฉันวัยรุ่น เคยอกหัก จนกินยาฆ่าตัวตายมาแล้ว
เคยยึดติดว่าเป็นเค้าเป็นคนของเรา ไม่ทะนุถนอมความรักที่มี
พอเค้ามีอันต้องจากไป ก็ทุกข์ใจแทบบ้าคลั่ง
แต่เมื่อมันผ่านจุดนั้นมาได้ ซึ่งนับว่าโชคดีมากที่รอดมาได้
มีคนเอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน
ตอนนั้นอ่านไป ด้วยความรู้สึกว่า แค่อยากหาอะไรทำ
เพื่อไม่ปล่อยให้มันว่าง ให้ใจคิดฟุ้งซ่านได้อีก ว่างเมื่อไร
เป็นหยิบหนังสือธรรมะอ่าน (ก็คือ การเปลี่ยนอารมณ์ น่ะเอง)
คุณพ่อก็สอนไว้ว่า ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน
อย่าไปยึดถือจริงจังให้มันมากนัก
อันนี้จริงที่สุดค่ะ ตอนนี้เข้าใจซึ้งเลย
ถ้ามีทุกข์ ก็ต้องรีบหาวิธีแก้ไข
ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องทำให้ใจยอมรับมัน อยู่กับมันให้ได้
ไม่นานก็ชิน ก็หายทุกข์ไปเอง
ช่วงนั้นหลังจากอ่านหนังสือธรรมะแล้ว
ผลที่ได้ก็คือ จิตสงบขึ้น นิ่งขึ้น รู้เท่าทันอารมณ์ของตนมากขึ้น
เมื่อใดที่ใจจะคิดฟุ้งซ่าน ก็มีสติรู้ และคอยดึงใจกลับมา
ปัจจุบันนี้แต่งงานแล้ว มีความสุขกับครอบครัวดีค่ะ
คิดได้ว่า ดีจังที่เราได้มีโอกาสมาเจอคนดีอย่างนี้อีก
และคิดเสมอว่า เราจะไม่หลงอยู่ในความสุขจนเกินไป
ไม่คิดว่า เนี่ยฉันสุขสุดๆ แล้วในชีวิต
เพราะรู้ว่ามันสุขไปได้ไม่ตลอดหรอก เป็นแค่สุขชั่วคราว เดี๋ยวทุกข์ก็มาอีก
และจะไม่ปล่อยให้ตนเอง หลงอยู่ในความทุกข์นานๆ
ทุกข์มันมา รีบจัดการซะ ถ้าจัดการไม่ได้ ก็ต้องยอมรับมัน
พอชินแล้ว เราก็ไม่มองว่ามันเป็นทุกข์สำหรับเราอีกแล้ว
ตอนนี้ พี่สาวกำลังประสบปัญหาสามีทิ้ง เพราะไปมีเมียน้อย เค้าทุกข์ใจอย่างมาก
กำลังช่วยแนะนำวิธีคิดให้เค้าพ้นทุกข์ (ใจ) อยู่ และจะส่งบทความนี้ไปให้เค้าด้วยค่ะ
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 17 มี.ค.2005, 9:42 pm
สาธุกับประสบการณ์ที่นำมาเล่าด้วยครับ
น้อยคนนักที่จะผ่านความทุกข์ ขนาดไม่อยากอยู่เพื่อรับความทุกข์นั้นอีก แต่การเอาตัวรอดจากทุกข์ด้วยวิธีฆ่าตัวตายนั้น ไม่สามารถรอดพ้นจากความทุกข์นั้นได้ ความทุกข์นั้นยังคงเกาะติดไปในชีวิตหลังความตาย เมื่อถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้วที่จะแก้ เมื่อมีชีวิตอยู่ควรหาวิธีแก้ การแก้ถ้าแก้ที่ภายนอกไม่ได้ ก็ต้องแก้ที่ภายในโดยใช้ธรรมะ ธรรมะเป็นเครื่องมือที่แก้ภายใน แก้ปัญหาภายใน แม้ตัวที่ทำให้เกิดปัญหานั้นไม่สามารถแก้ให้กลับมาเหมือนเดิม แต่ปัจจัยที่สร้างความทุกข์ที่มีอยู่ภายในของเรานั้นสามารถนำธรรมะไปแก้ไปปรับให้สมดุลย์ได้ แต่ต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการแก้ ยิ่งคนที่ไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อนก็ย่อมยากสักหน่อยที่จะนำธรรมะไปปรับเปลี่ยนสภาพความทุกข์ให้กลับมาเป็นปกติ ถ้าคนที่ปฏิบัติธรรม และสนใจมาก่อนก็จะง่าย เพราะเขาระมัดระวังตลอดไม่ให้ปัญหาก่อตัวขยายใหญ่จนแก้ยาก
ธรรมะที่ควรนำไปใช้ในชีวิตประจำมากที่สุดคือ
"สติ"
ถ้าเรารักษาสติของเราได้ ก็จะทำให้เราคิดทบทวนเหตุและผลของการกระทำของตัวเองได้ ถ้าทำไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรบ้างหลังจากลงมือทำไปแล้ว ถ้าขาดสติแล้ว การกระทำทุกอย่างก็จะขาดการพิจารณาเหตุผล ไม่คิดว่าหลังจากลงมือทำไปแล้วจะเกิดผลอย่างไร คิดเพียงเอาตัวรอดในปัจจุบันก็พอ เป็นการอดทนทางความคิดด้านปัญญา ในการนำมาแก้ปัญหานั้นให้ถูกทาง ถูกต้อง
รักแม่มาก
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 18 มี.ค.2005, 9:04 am
ขอบคุณมากเลยครับ กำลังอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ที่ไม่รู้จะพ้นไปได้อย่างไรพอดี มืดแปดด้านเลยครับ
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ เป็นประโยชน์ต่อผมมากๆๆ
ขอให้เจริญยิ่งยิ่งขึ้นไปครับ
In__See
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 มี.ค. 2007
ตอบ: 11
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2007, 11:34 am
ชอบบทความนี้ค่ะ
ขออนุญาตนำบทความนี้ฝากเพื่อนค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 12 มี.ค.2007, 11:56 am
สาธุ สาธุ สาธุ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...เป็นธรรมดา
...ทุกข์...ก็เช่นกัน
ธรรมะสวัสดีค่ะ
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
ตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2007, 1:08 pm
_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th