Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ถ้าผิดศีล 5 แต่มีเจตนาเป็นกุศล มันจะบาปได้ยังไง? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 6:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

guest พิมพ์ว่า:
คุณพลศักดิ์ ครับ

ตามที่คุณว่า การผิดศีลที่มีเจตนาเป็นกศุลไม่บาปนั้น
ผมขอแย้งครับ


การผิดศีล ถ้าไม่มีเจตนา ไม่เป็นบาปครับ
เช่นเดินไปบนถนน แล้วเหยียบมดตายอย่างนี้ ไม่มีเจตนา ไม่เป็นบาปครับ

การผิดศีล ที่มีเจตนาไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล
เป็นบาปทั้งนั้นครับ เพราะมีเจตนาเป็นองค์ประกอบ

ตัวอย่างเช่น
กรณีของทหารที่ ฆ่าข้าศึกในยามสงครามที่คุณว่าไม่บาป นั้น
เป็นบาปอย่างแน่นอนครับ
คุณต้องแยกขั้นของเจตนาให้ออกครับ
เพราะเป็นเจตนาต่างกรรมต่างวาระ

เจตนาที่ ๑
ต้องการให้ชาติบ้านเมืองสงบสุข จึงเสียสละให้ทานชีวิตตนเองแก่ชาติ นี้เป็นกุศลครับ

เจตนาที่ ๒
เจตนาตั้งใจฆ่านี้เป็นบาปครับ
ต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอนครับ เพราะเป็นเจตนาไปแล้วครับ

ทีนี้มาพิจารณาว่า ทหารคนนี้ไม่ตกนรกได้ยังไง
อยู่ที่ว่าขณะตายทหารคนนี้มีจิตใจผ่องใสครับ จึงไปสู่สุขคติ
เพราะเค้าเชื่อว่าเค้าตายเพื่อชาติด้วยการให้ทานชีวิตของเค้าเป็นทานครับ เป็นกุศล
ทำให้จิตผ่องใส จึงไปสุขคติ ไม่ตกนรก
ส่วนเจตนาฆ่าเป็นบาปต้องติดตามตัวเค้าไปแน่นอนครับ

ส่วนกรณีของ พระวักกลิรูปที่คุณพลศักดิ์ยกขึ้นมา
ท่านจะปาดขอตนเอง ท่านก็ไม่เกี่ยวข้องกับบุญบาปแล้วครับ
เพราะท่านเป็น "ปุญญปาปปหิน บุคคล" (เป็นผู้ละซึ่งบุญและบาปเสียได้แล้ว)
ยกมาเป็นกรณีศึกษาในกระทู้นี้ไม่ได้ครับ คนละอย่างแล้วครับ


มองธรรมละเอียดละเมียดละมัย จริงๆคับ นับถือๆ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 7:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยุติธรรม พิมพ์ว่า:

พระอรหันต์จี้กง ท่านดื่มเหล้า กินเนื้อหมา พระโพธิสัตว์กวนอิม ควักลูกตาให้พระบิดาปรุงยาเลย
พระญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน นั่งกรรมฐานสละชีวิตให้เจ้ากรรมนายเวรของชาวญี่ปุ่น เพื่อให้ประเทศ
รอดพ้นจากภัยแล้งครั้งใหญ่ ร่างของท่านยังไม่เน่าเปื่อยเลย แม้ผ่านมาหลายร้อยปี ถ้ามีโอกาสไปญี่ปุ่น
ลองถามวัดที่เก็บร่างพระองค์นี้ว่าอยู่ที่ไหน ผมก็จำไม่ได้แล้ว



คามินธรรม พิมพ์ว่า:

กุศล แต่ขาดปัญญา ก็ม่ายหวายนะคับนี่
อ่านพระเวสสันดร 500 ชาติบ้างก็ดี
จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าใช้ 500 วิธีในการเข้าถึงนิพพาน

วิธีที่คุณยุติธรรมนำมาเล่าสู่กันฟังนั้น พระพุทธเจ้าทำมาแล้วทั้งสิ้น
แต่สรุปว่าไม่ได้ผลเลย ได้แต่กุศลบารมีเท่านั้น
ชาติสุดท้ายลองวิธีสติปัฏฐานถึงได้แจ้งในพระนิพพาน


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า:

ระดับพระอรหันต์จี้กง โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านนะหรือไม่มีปัญญา ความรู้ทางธรรมของคุณ
ห่างจากท่านราวฟ้าดิน
ปัญญาของพระโพธิสัตว์กวนอิมบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสัพพัญญู

คุณนึกว่าคุณรู้ แท้จริงคุณไม่รู้อะไรเลย ไปยึดว่าสิ่งนั้นเป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล ไปได้แค่สวรรค์เท่านั้น

ระดับโลกุตตรธรรม บุญกุศลมันไม่มี ไปยึดไว้ย่อมไม่บรรลุธรรมขั้นอรหันต์


คามินธรรม:

1. ขอบคุณที่ช่วยเปรียบเทียบเรื่องฟ้ากับดินนะคับ
เพราะพระโพธิสัตว์จะกวักมือเรียกให้มีเท่าเขา
พระโพธิสัตว์จะไม่เปรียบเทียบว่าเขามีอะไรมากกว่าคนอื่น
ซึ่งทำให้ผมทราบว่าคุณพลศักดิ์ก็ไม่ต่างกันกับผม ดินเหมือนกัน


2. เรื่องเหนือบุญเหนือบาปผมทราบดี เมื่อก่อนผมเห็นผิดว่าพระอรหันต์ต้องไม่มีอารมณ์ ไม่เคี้ยวหมาก
ต้องขรึมๆ ต้องไม่สูบยาเส้น ทำไมนอนห้องแอร์ ทำไมนอนเตียงวิจิตร
เดี๋ยวนี้ผมทราบแล้ว ว่ากิเลสมันมายังไง ท่านเหล่านั้นดับมันที่ตรงไหน อะไรคือกริยาจิต ... ทราบหมด แค่ทำยังไม่ได้เท่านั้น

3. อรหันต์กินเหล้านี่ ผมไม่เรียกว่าปัญญาหรอกครับคุณพลศักดิ์
แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ในโลกของคุณพลศักดิ์ล่ะก็ผมเข้าใจ ไม่ว่าอะไร
พระอรหันต์กินเหล้านี่... จิ๊บๆ คุณพลศักดิ์มีอะไรแปลกว่านี้เยอะๆ
พระอริยะของคุณพลศักดิ์พิศดารจริงๆ

3.1 พระอรหันต์กินเหล้า
3.2 พระอรหันต์ฝังตัวลงดินห้องใต้ดินเพื่อบำเพ็ญตัวเป็นมัมมี่ สละชีวิตโดยอ้างว่าแก้เจ้ากรรมนายเวรให้แก้ภัยแล้ง
3. พระอรหันต์โพธิสัตว์ควักลูกตาทำยา



เหนือบาปบุญ ไม่ได้หมายความว่า เป็นเอกสิทธิ์
ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ไม่บาป ...



เหนือบุญเหนือบาปหมายถึง ท่านเคยเป็นอย่างไรก็เป้นอย่างนั้น
เคยสูบยา เคยเคี้ยวหมากก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ประดิษฐ์มายาขึ้นมา
ไม่ตกแต่งมายาให้ขรึม ให้เท่ห์ อรหันต์ปราศจากการปรุงแต่งทั้งปวง กริยาภายนอกทั้งปวงไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด ไม่มีดัดจริต
ที่ดับคือภายในดับ ดับตรงที่กำลังจะปรุงนั่นแหละ อัตโนมัติ
เวทนาจากหมากจากบุหรี่ มันก็เกิด แต่มันไม่ปรุง



แต่ถ้ามาถึงอรหันต์แล้ว ขุดตัวฝังลงดินฆ่าตัวตาย ... อันนี้ปรุง
หรือควักลูกตาทำยา .... อันนี้ปรุง

.....เขาเป็นอรหันต์ประเภท .."พิศดาร"



 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกท่านครับ



"ถ้าพวกท่านคิดว่า ผิดศีลเป็นอกุศลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเป็นกุศลได้โดยเด็ดขาด"

ท่านกำลังโกหกตัวเอง


กรณีพระช่วยผู้หญิงตกน้ำเป็นกรณีเห็นๆ กรณีพระอรหันต์จี้กง และพระโพธิสัตว์กวนอิมก็เป็นกรณีเห็นๆ

เมื่อหลายร้อยปีก่อน พระญี่ปุ่นคนหนึ่งทำกรรมฐานเห็นในจิตว่า เมืองในญี่ญี่ปุ่นที่ท่านอาศัยอยู่ จะประสพ
ความแห้งแล้งหฤโหดครั้งหนึ่ง เนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้กรรม ท่านยอมให้หนี้กรรม
ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นโดยควักลูกตาออกมา แล้วนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร
1 เดือนจนท่านตาย ศพของท่านไม่เน่าเปื่อย กลายเป็นมัมมี่ ตอนนี้ยังอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกท่านครับ



เอาตัวอย่างใกล้ตัวบ้าง ผมเคยอยู่บ้านที่เต็มไปด้วยยุง แม่ผมก็ฉีดยาฆ่ายุง ท่านรู้ว่าบาป
แต่ท่านก็ทำ เพื่อป้องกันลูกๆและตายายที่บ้าน

คุณลองคิดดู ถ้ามีโจรเข้าบ้านคุณ ปล้นและกำลังข่มขืนลูกของคุณ และอาจจะฆ่าคนในครอบครัว
คุณด้วย

บังเอิญคุณไปเห็นดาบวางอยู่ เลยเอามาฟันโจร เจตนานี่เป็นเจตาอกุศลหรือกุศล

ตัวอย่างทั้ง 2 คุณต้องตอบด้วยความสุจริตใจ ยังมีตัวอย่างอีกมาก แต่ถ้าคุณมีมิจฉาทิฏฐิ
ย่อมเห็นว่า การผิดศีลที่เป็นกุศลไม่มี ผมเพียงแต่ชี้แนะเท่านั้น แต่พวกคุณจะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิ
ของพวกคุณ มโนธรรมในใจของคุณจะบอกเองว่า สิ่งนั้นเป็นอกุศลหรือกุศล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณพลศักดิ์กรุณาอย่ายก พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว แต่ไม่ยอมเข้านิพพานมาเป้นกรณีศึกษาได้ไหมครับ โอกาสที่ท่านจะไปอบายมันแทบไม่มีแล้วครับ อีกอย่างการที่พระควักลูกตาไม่เป็นการผิดศีล 5 แต่เป็นการสละเลือด เนื้อร่างกายและชีวิต เพือธรรมมะ ซึ่งพระโพธิสัตว์กระทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ในโลกนี้มีบัวสี่เหล่า พระพุทธเจ้าเลือกโปรดเฉพาะบางเหล่าเท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเจ้าลัทธิทีเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ คุณพลศักดิ์ถ้าพูดสามครั้งแล้วเค้าไม่เชื่อก็ปล่อยเขาเถอะครับ โปรดคนที่โปรดได้ก็พอ หรือไม่ก็เข้านิพพานดีกว่า โลกนี้ให้พระศรีอารย์มาโปรดละกัน
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

แก้ไขล่าสุดโดย kokorado เมื่อ 09 ส.ค. 2008, 11:38 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณคามินธรรมครับ



พระอรหันต์ทุกท่านก็มีความคิดพิศดารทั้งนั้นแหละครับ พระโมคคัลลานะสามารถไม่ตาย
แต่ท่านยอมให้โจรทุบจนตาย พระพุทธเจ้าสามารถอยู่ในเป็นกัปป์ แต่ท่านไม่ยอมอยู่ เพราะ
ไม่มีใครทูกลของให้ท่านอยู่
แม้แต่พระอานนท์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกท่านครับ



ความจริงเกี่ยวกับศีล 5 ที่ผมพูด ล้วนเป็นความจริง นี่เป็นการทดสอบจิตของท่านเท่านั้น เพราะเรื่อง
นี้มันผิดกับความเชื่อและท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองที่ท่านกำลังทำ พวกท่านย่อมโกรธผมแน่
เพราะผมชี้แนะในสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อดั่งเดิมของพวกท่าน ถ้าท่านโกรธผม แสดงว่าท่าน
ต้องฝึกสติปัฏฐานต่อไป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 11:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

kokorado พิมพ์ว่า:
อีกอย่างการที่พระควักลูกตาไม่เป็นการผิดศีล 5 แต่เป็นการสละเลือด เนื้อร่างกายและชีวิต เพือธรรมมะ ซึ่งพระโพธิสัตว์กระทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว


ถ้าตีความแบบนี้ พระพุทธเจ้าต้องนั่งบริจาคเนื้อ ถ้าใครขอ
บริจาคลูกตา เพื่อให้คนทำยา ถ้ามีใครขอ
อะไรท่านก็สละให้ ..... ซึ่งทำมาแล้ว ในชาติก่อนๆ

ถ้าคำว่า สละชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ หมายความแบบที่คุณตีความ
ป่านนี้เราต้องสร้างกองทัพ สร้างนักรบ แบบพวกครูเสดขึ้นมา
ไล่ล่ากวาดล้างศาสนาอื่น แล้วพลีชีพเพื่อศาสนา เพื่อรักษาธรรมะไม่ให้น้อยลงไป

พระโพธิสัตว์ ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าคืออะไร

แต่ถ้าพระพุทธเจ้า ก้คือ 1 ในพระโพธิสัตว์ด้วย
การตีความหมายแบบนี้น่าจะผิดอย่างมาก

สละชีวิตเพื่อรักษาธรรมะคืออะไร
ให้ลองไปอ่านปฏิปทาของพระเถระทั้งหลายดู

เวลาเข้าป่าเข้าพง เขาไม่กลัวตาย
"ตรงนั้นผีดุ ตรงนี้เสือชุม ตรงโน้นไข้ป่า ฯลฯ"
เพื่อต้องการบำรุงรักษาธรรมะ ไม่กลัวไข้ป่า ไม่กลัวผี ไม่กลัวเสือ
ไม่กลัวว่าจะต้องตายเพราะปฏิบัติธรรม ไม่สำคัญว่าชีวิตมีค่าเหนือการแสวงหาธรรม

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ช้างวิ่งมา กระทิงวิ่งใส่ แล้วยืนรอมันเพราะไม่กลัวตาย
อะไรจะเกิดก็ช่าง ตายก้ช่าง

...........อันนี้ก็ไม่ได้ สุดโต่งเกินไป

ท่านหลบเหมือนกัน หลบงู หลบช้าง ปีนขึ้นต้นไม้เหมือนกัน รักษาชีวิตเหมือนกัน
เหตุผลเดียวกันกับการกินข้าวนั่นแหละ
ท่านต้องรักษาร่างกายไว้ใช้งาน รักษาร่างกายไว้แสวงหาธรรม
เพราะมีแต่ความเป็นมนุษย์ที่ฝึกได้เท่านั้น ที่จะเข้าถึงอริสัจได้
สละชีวิตไปแล้ว จะเอาอะไรมาหลุดพ้น

แต่การกินเหล้า 1 / ควักลูกตา 1 / ฆ่าตัวตาย 1
ล้วนแต่เป็นของพิศดารในทางไม่ดี
ที่ผมหาไม่พบเลย ในบรรดาประวัติหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลาย
แม้แต่ประวัติพระพุทธสาวกก็ไม่มีใครทำแล้วได้ยกย่อง

แม้แต่การตอนตัวเอง เพื่อกำจัดกำหนัด
พระพุทธเจ้าทราบก็บัญญัติศีลขึ้นมาทันที
ท่านไม่ให้ทำร้ายร่างกาย แต่ก็ไม่ให้บำเรอเกินไป

 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 7:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

-ขอบคุณครับคุณคามิน ผมตีประเด็นผิดไปจริงๆ ขอแสดงความเห็นใหม่ละกัน การที่พระควักลูกดาเพือใช้หนี้เวรเป็นการเสนอต่อเจ้ากรรมนายเวรว่าเรายอมเสียดวงตาแค่นี้เขายอมอโหสิกรรมรึเปล่า ทั้งทีความจริงเขาอาจจะต้องการถึงชีวิต เมื่อแผ่เมตตาให้จนเขาไปพบภูมิที่ดีแล้ว เขาจึงเลิกอาฆาตเรา ส่วนพระอรหันต์นั้นเป็นผู้หมดกิเลสแล้วทำอะไรย่อมเป็นกิริยา ไม่บาปทั้งสิน พระโพธิสัตว์อรหันต์ของทางฝ่ายมหายานนั้นต่าง กับพระพุทธเจ้าของเรา คือบารมีเต็มแล้วแต่ปรารถนาจะช่วยสัตว์ต่อไป ไม่ยอมเข้านิพพาน แต่ก็รับเกียรติเป็น พระฌาณิพุทธ คือพระพุทธเจ้าที่สำเร็จด้วยฌาน
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

แก้ไขล่าสุดโดย kokorado เมื่อ 09 ส.ค. 2008, 8:07 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 7:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

kokorado พิมพ์ว่า:
ถามว่าคุณเคยศึกษาพระไตรปิฎกจริงๆจังหรือไม่ ธรรมะของครูเสดไม่ใช่ธรรมะ ต้องเป็นธรรมะของสัพพัญญูพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อีกอย่างพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมี 30 ทัศ คุณเคยศึกษาหรือไม่ ว่าการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลายาวนาน ต้องสละเลือดเนื้อ ร่างกาย ชีวิต เพื่อพระโพธิญาณ ดวงตาที่พระองค์ถวายเพื่อเป็นทาน มีมากกว่าดวงดาวบนจักรวาล การเป็นพระพุทธเจ้าเป็นได้ยากอย่างยิ่ง แต่ผู้มีใจมหากรุณาไม่เคยกลัว มีคำเปรียบเทียบว่า หากทะเลทั้งทะเลกำลังเดือด ใครกล้าว่ายเพื่อไปหา ฝั่งที่ยังมองไม่เห้น(นิพพาน)ถึงจะมีสิทธิเป็นพระพุทธเจ้า เชือ่ไหมว่าพระองค์กล้าว่าย นีเป้นเหตุให้ทั่วสามภพบูขาพระองค์


คุณจับประเด็นไม่ถูก
จับประเด็นดีๆ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เมธี
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 8:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โห ไม่ได้เข้ามาแบบเดียว กระทู้ยาวเลยนะเนี่ย

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ผิดถูกชี้แนะด้วยครับ

----------------------------------------

ผิดศีล โดยมี เจตนา เป็นกุศล

ก็เป็นทั้งบุญทั้งบาปสิครับ

บุญ ที่ได้เกิดจากความเมตตา ความกรุณา

บาป ที่ได้ เกิดจากการทำให้ผู้อื่นหรือตนเองเดือดร้อน ผิดหลักธรรม

ตัวอย่าง เช่น ฆ่าโจรเพื่อปกป้องคนในบ้าน

บุญที่ได้ คือ มีความเมตตากรุณาต่อคนในบ้าน เห็นภัยที่จะเกิดขึ้นแล้วจึงฆ่าโจรเพื่อปกป้องคนในบ้าน

บาปที่ได้คือ ได้ฆ่าสัตว์ไปหนึ่งชีวิต

บุญบาปมากน้อย ขึ้นกับเจตนา ขึ้นกับคุณของสัตว์นั้น และอื่นๆ

ไปนรกสวรรค์นั่นไปพิจารณากันอีกที มีอีกหลายปัจจัย

-------------------

เพื่อเข้าสู่นิพพาน จำต้องทิ้งแม้ธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าประพฤติผิดธรรม แต่หมายถึง ไม่ต้องไปยึดว่า อันนี้ธรรมนะ อันนี้เราต้องปฏิบัติอย่างนี้นะ เมื่อละได้ทุกอย่างแล้ว การกระทำใดๆก็เป็นเพียงกริยา ซึ่งจะไม่ผิดธรรมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปยึด

ถ้าไม่ยึดศีลไว้ก่อน ปุถุชนก็จะไม่มีหลักปฏิบัติ ง่ายต่อการเข้าสู่อบายภูมิ เมื่อบุคคลยึดศีลไว้ปฏิบัติดีแล้ว จึงพัฒนาศึกษาธรรมต่อไป เมื่อรักษาใจไว้ดีแล้ว จึงละความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง รวมทั้งศีลและธรรม (ไม่ได้หมายความว่าละทิ้งนะครับ) เพราะว่าเมื่อรักษาใจไว้ดีแล้ว กายและวาจาย่อมเป็นไปตามธรรมโดยธรรมชาติ

------------------
กริยาภายนอกของพระอรหันต์ที่เราเห็น เรียกว่า วาสนา ( เกิดจากการปฏิบัติจนเป็นความเคยชิน) มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละวาสนาได้ ดังนั้นภายนอกที่เราเห็น เคี้ยวหมาก ด่าลูกศิษย์ อะไรนั้น เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ภายในใจท่านนั้นไม่ได้มีอะไรเลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 9:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณคามินธรรมครับ



คุณพยายามฉีกเบนประเด็นออกไป ทำเหมือนปปช.แก้ต่างเรื่องที่มาไม่ชอบ ไม่มีพระบรมราช
โองการโปรดเกล้าไม่ได้ ก็ฉีกประเด็นไปอย่างอื่น

ผมขอนำกลับเข้าสู่ประเด็น

คุณลองคิดดู พระเวสสันดรยกลูกยกเมียให้ผู้อื่น จิตของท่านเป็นตัวอย่างของกุศลจิต แต่การ
ยกลูกยกเมียของคนในโลกให้ผู้อื่นเป็นอกุศลจิต บาปจึงเกิด ในกรณี พระเวสสันดรกลับกลายเป็นบุญใหญ่
 


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 09 ส.ค. 2008, 9:22 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 9:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ"เมธี" ครับ


ข้อความของคุณ

ผิดศีล โดยมี เจตนา เป็นกุศล

ก็เป็นทั้งบุญทั้งบาปสิครับ

บุญ ที่ได้เกิดจากความเมตตา ความกรุณา

บาป ที่ได้ เกิดจากการทำให้ผู้อื่นหรือตนเองเดือดร้อน ผิดหลักธรรม

ตัวอย่าง เช่น ฆ่าโจรเพื่อปกป้องคนในบ้าน

บุญที่ได้ คือ มีความเมตตากรุณาต่อคนในบ้าน เห็นภัยที่จะเกิดขึ้นแล้วจึงฆ่าโจรเพื่อปกป้องคนในบ้าน

บาปที่ได้คือ ได้ฆ่าสัตว์ไปหนึ่งชีวิต

บุญบาปมากน้อย ขึ้นกับเจตนา ขึ้นกับคุณของสัตว์นั้น และอื่นๆ

ไปนรกสวรรค์นั่นไปพิจารณากันอีกที มีอีกหลายปัจจัย


ชี้แนะ

เจตนาในจิตที่ทำตอนนั้นเป็นอกุศลหรือไม่ มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีเป็นบุญด้วย บาปด้วยหรอกครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 12:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระเวสสันดรยกลูกเมียให้คนอื่น ด้วยปรารถนาอนุตรสัมโพธิญาณ
จึงเป็นการให้ทานครั้งใหญ๋ มีอานิสงส์มาก
การให้ทานครั้งนี้กระเทือนไปทั่วแดนโลกธาตุ
กระเทือนไปถึง เทวดา อินทร์ พรหม ให้ท่านรับรู้ การให้ทานที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้

ทำไมพระเวสสันดร จะไม่รักลูกรักเมีย รักซิ รักจนใจแทบขาด
แต่เพื่ออนุตรสัมโพธิญาณ
และลูกเมียก็ต้องการช่วยพระเวสสันดรสร้างบารมีให้สำเร็จ จึงยอมสละตนเองให้เป็นทาน

แต่ชาติก่อนหน้านี้ ก่อนจะมาเป็นพระเวสสันดร
ท่านสละชีวิตร่างกายท่านเป็นทาน มาแล้วมากมายมหาศาลครับ

นี่ล่ะครับใจพระโพธิสัตว์

สมัยหนึ่งพระโคดมพุทธเจ้า ทรงเสวยพระชาติเป็น สุเมธดาบส

วันหนึ่งสุเมธดาบสเหาะมาทางอากาศ มายังนครอมรวดี เห็นมหาชนปรับถนนที่ขรุขระเพื่อรับเสด็จ พระทีปังกรพุทธเจ้า
สุเมธดาบสเมื่อรู้ว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า จะเสด็จมา จึงขอร่วมปรับถนนด้วย
ชาวเมืองเห็นว่าสุเมธดาบสเป็นผู้มีฤทธิ์ จึงได้แบ่งงานบริเวณที่เป็นหลุมเป็นแอ่ง และมีน้ำท่วมขังมากให้
สุเมธดาบสคิดว่าหากตนใช้ฤทธิ์ปรับถนน
แม้จะเสร็จเร็ว แต่ก็ไม่ชื่นใจ ไม่สมกับที่ตนมีศรัทธา
จึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเช่นสามัญชนทั่วไป
สุเมธดาบสยังปรับพื้นที่ไม่เสร็จดี พระทีปังกรพร้อมพระสาวกทั้ง ๔ แสนรูปก็เสด็จดำเนินมา
สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์ เพราะยังมีบ่อที่น้ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง
จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิดทับแอ่งน้ำนั้น
ตั้งใจถวายชีวิตให้พระทีปังกรและพระสาวกเดินไปบนแผ่นหลังของตน

เมื่อสุเมธดาบส นอนลงบนเปือกตม จึงรำพึงในใจว่า
"หากเราได้ฟังพระธรรมเทศนา จากพระทีปังกรพุทธเจ้า
แม้เพียงประโยคเดียว ก็จะสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ทันที แต่ก็จะเป็นประโยน์แก่เราแต่เพียงผู้เดียว
แต่ถ้าหากเราเป็นดั่ง พระทีปังกรพุทธเจ้า เราจะสามารถนำพามหาชนไปสู่ฝั่งพระนิพพานได้ ข้อนี้จึงสมควรแก่เรา"

ฝ่ายพระทีปังกรพุทธเจ้า เสด็จมาประทับยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส
ทอดพระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตมทรงดำริว่า
"ดาบสนี้ กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่"
ทรงส่งพระอนาคตังสญาณ ใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า
"ล่วงไปสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม"
ทรงประทับยืนอยู่นั่นแล้วทรงพยากรณ์ด้วยพระดำรัสว่า
"พวกท่านจงดูดาบสผู้มีตบะกล้านี้ ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้
เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านาม ว่า "โคดม" "
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 7:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า:
คุณคามินธรรมครับ


คุณพยายามฉีกเบนประเด็นออกไป ทำเหมือนปปช.แก้ต่างเรื่องที่มาไม่ชอบ ไม่มีพระบรมราช
โองการโปรดเกล้าไม่ได้ ก็ฉีกประเด็นไปอย่างอื่น


คุณพลศักดิ์ก็เลิกชุมนุมสิครับ
ถ้าไม่มีคนหาเรื่อง เรื่องไม่เกิด
คุณพลศักดิ์หาเรื่อง เรื่องเลยเกิด มันก็มีคนค้าน ตรรกะง่ายๆ

ถ้าจะไม่ให้มีคนค้าน ก็ปฏิวัติเสีย จะได้สั่งซ้ายได้ซ้าย สั่งขวาได้ขวา
อยากรวมศาสนาก็ได้รวมสมใจ อยากกำจัดสมมุติสงฆ์ก็จะได้ทำได้สมใจอยาก
อย่ามาแขวะผมอย่างนี้

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า:

ผมขอนำกลับเข้าสู่ประเด็น
คุณลองคิดดู พระเวสสันดรยกลูกยกเมียให้ผู้อื่น จิตของท่านเป็นตัวอย่างของกุศลจิต แต่การ
ยกลูกยกเมียของคนในโลกให้ผู้อื่นเป็นอกุศลจิต บาปจึงเกิด ในกรณี พระเวสสันดรกลับกลายเป็นบุญใหญ


คุณหลงประเด็นต่างหาก เอามารวมกันไม่ได้

(ผมว่าของผมเองนะ)
บาปบุญ เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เก็บไว้ในดวงจิต จิตใครจิตมัน
ถ้าคิดว่าดีแล้วทำไป ... ใจก็เก็บบันทึกเป้นกุศล

แต่กรรมที่ทำไปไม่ว่าจะมีเจตนาแบบใดก็ตาม มันมีผลของมัน
โยนก้อนหินลงน้ำ น้ำก็กระเพื่อม ฉันนั้น
กรรม-เวร เป็นเรื่องของ actions - consequences


----------

พระอรหันต์ออกธุงดงค์ ดันไปเดินผ่านถิ่นเสือแม่ลูกอ่อน
่เสือมันตกใจ มันก็ฆ่าพระ
จิตที่เดินไปก้กลางๆ ไม่บวก ไม่ลบ แต่ทำไมได้รับผลร้ายแรง

... บาปบุญจึงไม่เกี่ยวเลย กับกรรมเวร


-----------------


พวกครูเสด ทำสงครามไปด้วยใจกุศลแรงกล้า
บุญน่ะได้ เกิดกุศลจิตสะสมขึ้นในใจ .

แต่ผลคือต้องถูกอีกฝ่ายฆ่าตายบ้าง พิการบ้าง
ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา
action ที่ทำไป มันมี consequences



----------------------------------------------------------

กรรมเวรนี้
่ถ้าจะไปยกเรื่องแค้นข้ามภพข้ามชาติ
ว่าชาติก่อนๆ พวกนี้ฆ่ากันมาก่อน จึงมาฆ่ากันต่อ

งั้นช่วยไปค้นหาครั้งแรกสุดเลย ว่าใครลงมือก่อน
ถ้าพิสูจน์ทราบได้อย่างนี้ แล้วค่อยมาถกกันใหม่
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ยุติธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2008
ตอบ: 26

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 12:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณพลศักดิ์ให้ตัวอย่างพระเวสสันดรที่ยกลูกเมียให้คนอื่นเป็นกุศลใหญ่ แต่ชาวบ้านไปยกลูกเมีย
ให้ผู้อื่นเป็นบาปมาก

ดิฉันจึงมาคิดดู จริงๆ บาปบุญขึ้นอยู่กับเจตนาในจิตของผู้กระทำ

จิตที่มีเจตนาเป็นกุศล = บุญ
จิตที่มีเจตนาเป็นอกุศล = บาป

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือกรรม

ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงคิดว่า คุณพลศักดิ์พูดถูกแล้วค่ะ การกระทำอย่างเดียวกัน แต่เจตนาต่างกัน ผลจึงต่างกัน

ในกรณีพระเวสสันดร

ท่านทำผิดศีลด้วยเจตนากุศลจึงไม่ได้เป็นบาป แต่เป็นมหากุศล(บุญใหญ่)

ในกรณีคนทั่วไป

ผู้ทำการยกลูกเมียให้ผู้อื่น เจตนาเขาคือความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ
เจตนาเขาเป็นอกุศล
การทำผิดศีล 5 จึงเป็นบาป เรื่องนี้ถ้ามีทิฏฐิมานะย่อมไม่มีทางเข้าใจ ถ้าถอนทิฏฐิมานะ จะเข้าใจชัดเจน
ทันที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 8:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยุติธรรม พิมพ์ว่า:
คุณพลศักดิ์ให้ตัวอย่างพระเวสสันดรที่ยกลูกเมียให้คนอื่นเป็นกุศลใหญ่ แต่ชาวบ้านไปยกลูกเมีย
ให้ผู้อื่นเป็นบาปมาก

ดิฉันจึงมาคิดดู จริงๆ บาปบุญขึ้นอยู่กับเจตนาในจิตของผู้กระทำ

จิตที่มีเจตนาเป็นกุศล = บุญ
จิตที่มีเจตนาเป็นอกุศล = บาป

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาคือกรรม

ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงคิดว่า คุณพลศักดิ์พูดถูกแล้วค่ะ การกระทำอย่างเดียวกัน แต่เจตนาต่างกัน ผลจึงต่างกัน

ในกรณีพระเวสสันดร

ท่านทำผิดศีลด้วยเจตนากุศลจึงไม่ได้เป็นบาป แต่เป็นมหากุศล(บุญใหญ่)

ในกรณีคนทั่วไป

ผู้ทำการยกลูกเมียให้ผู้อื่น เจตนาเขาคือความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ
เจตนาเขาเป็นอกุศล
การทำผิดศีล 5 จึงเป็นบาป เรื่องนี้ถ้ามีทิฏฐิมานะย่อมไม่มีทางเข้าใจ ถ้าถอนทิฏฐิมานะ จะเข้าใจชัดเจน
ทันที


ผมสงสารคนป่วยคนหนึ่ง
เขาทรมานมากจากมะเร็ง กินน้ำสักจิบก็ไม่ได้ เจ็บปวดที่สุด
ผมสงสาร อยากเห็นเขาพ้นจากความทนมาน เจตนาผมบริสุทธิ์

ผมเลยฆ่าเขาเสีย
- ด้วยการฉีดยาสลบเข้าสายน้ำเกลือ 1 เข็มก่อน
- พอเขาเคลิ้มหลับ ผมก็ฉีดเข้าสายน้ำเกลืออีก คราวนี้ฉีด 10 เท่าของปกติ


ผู้ป่วยตาย โดยปราศจากความทรมาน

ถามว่า ผมได้บุญ หรือได้บาป
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 8:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระอรรถกถาจารย์ ได้ประมวลหลักเกณฑ์บางอย่างไว้สำหรับกำหนด

ว่า การกระทำแค่ไหนเพียงใด จึงจะชื่อว่าเป็นการละเมิดศีลแต่ละข้อๆ

เป็นการให้ความสะดวกแก่ผู้รักษาศีล โดยจัดวางเป็นองค์ประกอบ

ของการละเมิด เรียกว่าสัมภาระ หรือ เรียกกันง่ายๆ ว่าองค์

บุคคลจะชื่อว่าละเมิดศีล (เรียกกันง่ายๆว่าศีลข้อนั้นจะขาด) ต่อเมื่อ

กระทำการครบองค์ทั้งหมด

ของการละเมิด ดังนี้

ศีลข้อ 1 ปาณาติบาต มีองค์ 5 คือ

1. สัตว์มีชีวิต

2. รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต

3. จิต คิดจะฆ่า

4. มีความพยายาม

5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศีลข้อ 2 อทินนาทาน มีองค์ 5 คือ

1. ของผู้อื่นหวงแหน

2. รู้อยู่ว่าเขาหวงแหน

3. จิตคิดจะลัก

4.มีความพยายาม

5.ลักของได้ด้วยความพยายามนั้น
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 8:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร มีองค์ 4 คือ

1. อคมนียวัตถุ ได้แก่ สตรี หรือ บุรุษที่ไม่ควรละเมิด

2.จิตคิดจะเสพ

3. มีความพยายามในการเสพ

4. ยังมรรค คือ อวัยวะสืบพันธุ์ให้ถึงกัน
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง