|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 4:58 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
http://larndham.net/index.php?showtopic=30119&st=13
เรื่องความมหัศจรรย์ทางจิต ของอาจารย์ บุญมี เมธางกูร
อาจารย์เคยพูดในเรื่องของร่างกายว่ากายมันเป็นแค่วัตถุ แม้แต่มันสมองแม้ตัดออกมาก็เป็นแค่ชิ้นเนื้อไม่ใช่จิต
อาจารย์เล่าว่าสมัยที่ท่านยังหนุ่มมีเหตุอยู่เรื่องนึงคือคนโดนตัดคอขาด แต่ยังเอามือมาจับที่หัวที่หายไปและคลำไปทางผนังเป็นลอยมือที่เปื้อนเลือด ไปได้อีกหลายเมตร
มีอีกกรณีคือ มีไก่ที่ต่างประเทศโดนตัดหัวขาดกระเด็นเลย แต่ตัวมันกลับยังไม่ตายเพราะเลือดมันแห้งเร็วแถมอยู่ได้อีกหลายวัน ทำตัวตามปกติคือคุ้ยหาอาหารตามเดิม
มาดูที่ไก่ไทยที่บ้านของเรา เยอะมากที่โดนเชือดที่คอขาดไปแล้วแต่ยังวิ่งโกยอ้าวได้อยู่ไปทั่วเพียงแต่มองอะไรไม่เห็นก็เท่านั้น ตรงนี้มีให้เห็นอยู่เยอะครับสอบถามชาวบ้านดูได้
ที่อ้องเขียนมาเพราะอาจารย์บอกว่าเราติดที่กายกันมากเกินไป ถ้าเราเคยดูหนังบางเรื่องคนที่จะตายชั่วขณะแว๊บเดียวเค้าจะเห็นอดีตกรรมวิ่งเข้ามาในคตินิมิตราวกับสายน้ำไหล
ขอให้จำเอาไว้นิดนะครับ กรรมและวิบากนั้นเป็นสิ่งที่จิตมันจดจำเอาไว้ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
จิตที่สะสมในสิ่งที่ดีมามากย่อมมีโอกาสเกิดผลที่ดีขึ้นได้ง่าย และเช่นกันจิตที่สะสมเชื้ออันเป็นสิ่งหยาบคือกรรมชั่วมามาก ก็มีโอกาสที่คตินิมิตจะเกิดได้ง่ายเช่นกัน
จากคุณ : ชัชวาล เพ่งวรรธนะ |
พอดีได้รับเมล์เกี่ยวกับเรื่องไก่ไร้หัว ชื่อ Mike ที่อเมริกา เลยนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นไก่ตัวเดียวกันที่คุณชัชวาล พูดถึง
ค้นจาก google ได้ดังนี้ (มีรูปประกอบด้วย ใครขวัญอ่อนห้ามดู ไก่ไร้หัวนะครับ )
http://en.wikipedia.org/wiki/Mike_the_Headless_Chicken
Mike the Headless Chicken
From Wikipedia, the free encyclopedia
Jump to: navigation, search
Mike the Headless Chicken struts.Mike the Headless Chicken (April 1945 March 1947) was a Wyandotte rooster (cockerel) that lived for 18 months after its head had been cut off. Thought by many to be a hoax, the bird was taken by its owner to the University of Utah in Salt Lake City to establish its authenticity.[1][2]
http://www.chibimonchronicle.net/board/showthread.php?tid=230
เรื่องมันมีอยู่ว่าเจ้าของฟาร์มคิดจะทำไก่ย่างในวันขอบคุณพระเจ้า เลยเลือกเจ้าไมค์จะมาทำไก่ย่าง ซึ่งในตอนที่เอาขวานฟันลงไปที่คอของเจ้าไมค์(อึ๋ย)หัวของมันขาดลงมาสงบนิ่งอยู่ที่พื ้น แต่ตัวมันน่ะซิครับมันกลับกระโดดลงมาจากเขียงแล้ววิ่งพล่านไปทั่ว เล้าจนหายไปไหนก็ไม่รู้ เลยต้องเอาไก่อีกตัวมาทำ ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง! เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสารTIME มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย ยังผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุก วันแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ และในช่วงสุดท้ายของชีวิตของไมค์ตายโดยเมล็ดข้าวโพดเข้าไปติดหลอดลมตายซึ่งนับจากวัน ที่หัวขาดจนวันตายนับได้ประมาณ 18 เดือนพอดี
พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมากเลยจัดตั้งวัน ไมค์ไก่ไร้หัว (Mike the headless Chicken Day) ขึ้นมาทุกๆปี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
-----------------------------------------------------------
เจ้าไมค์ ไก่ไร้หัวตายไปหลายสิบปีแล้ว มีคนทำเป็นหนังการ์ตูน, เวปไซด์ ฯลฯ
http://www.miketheheadlesschicken.org/ |
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 5:00 am |
  |
เมื่อก่อนก็เข้าใจว่า จิตกับสมองคือสิ่งเดียวกัน เพราะวิทยาศาสตร์ทางโลกเขาอธิบายไว้แบบนั้น จะเป็นในฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด และเกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าอะไรทำนองนี้
สมองคือสิ่งที่เก็บความจำ ความรู้สึก ฯลฯ ทั้งหมด
เคยคิดเหมือนกันว่าหากสมองคือจิตแล้ว เมื่อคนตายไปสมองก็ดับ จิตก็ย่อมดับตาม คนตายแล้วก็ย่อมสูญสิ้นกันไป
แต่เมื่อมาเรียนวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องชีวิต จิตใจ ในพระอภิธรรม แนวความคิดจึงเปลี่ยนไป
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1506
คำถามว่า เมื่อคุณเห็น หรือได้ยิน ถามว่าอะไรเห็น ตาเห็นหรืออะไรเป็นผู้เห็น
.......
......
...ปรากฏว่ามีการแสดงความคิดเห็นเข้ามามากมายในเรื่องการเห็น และการได้ยิน แต่ส่วนใหญ่ตอบว่าเป็นหน้าที่ของตา และ สมอง อ่านแล้วทำให้นึกถึงท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ผู้ก่อตั้งมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ และอดีตประธานมูลนิธิฯ ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า
ผมได้แสดงออกโดยการบรรยายอยู่เสมอ และเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มด้วยกัน ยืนยันถึงผลร้ายที่สั่งสอนกันอยู่โดยทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่กว้างขวางไพศาลไปทั่วโลก คือสอนกันว่า
มันสมองนั้นเป็นตัวจิตใจ สมองสั่งให้ร่างกายทำอะไร หรือสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ สมองเป็นตัวการที่มีความรู้สึกนึกคิด และจดจำทุกๆอย่างได้
เมื่อผมเป็นนักเรียนก็ได้เรียนมาเช่นนี้ ครั้นต่อมาเป็นครูก็สอนนักเรียนเช่นนี้ต่อไปอีกถึง ๑๐ กว่าปี แล้วจะให้ประชาชนทั่วไปในโลกเขาเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปกระไรเล่า การสอนว่าสมองเป็นจิตใจ ก็เป็นเสมือนหนึ่งสอนว่าชาติหน้าไม่มี การทำบุญทำบาปจะก่อให้เกิดเป็นผลไปในชาติหน้าไม่ได้ สัตว์ทั้งหลายเมื่อตายลงแล้วก็ถูกฝังจมเป็นดิน หรือถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไป
...ในฐานะที่ดิฉันเป็นนักศึกษาพระอภิธรรมคนหนึ่ง
คือเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร และอาจารย์บุษกร เมธางกูร
ได้พบเห็นว่าทั้งสองท่านต้องฟันฟ่าอุปสรรคอย่างมากมาย เพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างความเห็นถูกให้เกิดขึ้นกับพุทธศาสนิกชน ด้วยการพยายามนำพระอภิธรรมมาเผยแผ่ให้กว้างไกลออกไป โดยไม่ย่นย่อต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่มากระทบ
...จึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสืบสานงานของท่านต่อไป โดยการนำธรรมะที่ท่านอาจารย์บุญมีได้บรรยายขยายพระอภิธรรมออกมาเป็นหลักวิชาการ เปรียบเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพราะท่านอาจารย์บุญมีเองก็เคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์มาก่อนในอดีต และเมื่อท่านมาเป็นอาจารย์สอนพระอภิธรรม ก็ได้มีลูกศิษย์มากมาย ซึ่งลูกศิษย์บางท่านเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง และใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสายงานด้านวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น ศาสตราจารย์ยศ บุนนาค อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ (ปีพ.ศ. ๒๕๑๐) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุธีรา อังคทะวานิช แผนกกายวิภาคศาสตร์ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ (ปี พ.ศ. ๒๕๑๒) ซึ่งทั้งสองท่านนี้เมื่อได้เรียนพระอภิธรรมแล้ว ก็ได้ช่วยเขียน และบรรยาย พระอภิธรรม ออกมาในแง่ของวิทยาศาสตร์ นับได้ว่าสมัยนั้นท่านอาจารย์บุญมีได้มีกำลังอันสำคัญช่วยงานการเผยแผ่ธรรมะให้กับอภิธรรมมูลนิธิ
เพราะในขณะนั้นท่านอาจารย์บุญมีได้จัดตั้งโครงการหนังสือพระพุทธศาสนา เพื่อชีวิตและสังคม ขึ้น
เพื่อสร้างความเห็นถูกให้กับบุคคลทั่วไป โดยท่านเองก็ยังได้เขียนหนังสือออกมาหลายรูปแบบ บางเล่มได้เขียนในแนวตีแผ่พุทธศาสน์เป็นวิทยาศาสตร์ เช่น ความมหัศจรรย์ของชีวิต ความมหัศจรรย์ของจิต ชีวิตภายหลังความตาย เป็นต้น
ท่านอาจารย์ได้เขียนคำปรารภไว้ในหนังสือความมหัศจรรย์ของจิตว่า
วิทยาศาสตร์มีอุดมคติที่สอนให้เรารู้ความจริงของธรรมชาติทั้งหลายในโลกตามความจริง แต่ทางวิทยาศาสตร์นั้นเน้นหนักไปในเรื่องวัตถุ
ส่วนธรรมะ เฉพาะอย่างยิ่งทางพระอภิธรรมปิฏกก็เป็รวิทยาศาสตร์ มีอุดมคติที่จะสอนให้เรารู้ความจริงของธรรมชาติตามความจริงแท้ปราศจากสมมติเช่นเดียวกัน
แต่ธรรมะนั้นเน้นหนักไปในทางจิตใจมาก ส่วนทางวัตถุนั้นรองลงมา
วิทยาศาสตร์ได้นำเอาความลับมืดของธรรมชาติออกตีแผ่ แล้วยักย้ายถ่ายเทเปลี่ยนแปลง หรือพลิกแพลงธรรมชาติให้เป็นสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ใหม่ๆ มาบำรุงบำเรอความสุขให้แก่เราทางร่างกายภายนอก ถ้าเราไม่รู้ความจริงของธรรมะ เราก็จะหลงเตลิดเพลิดเพลินไปกับวัตถุอันไม่มีขอบเขตจำกัดมากขึ้นๆ ในที่สุดก็ติดจมกับโลก กับวัตถุ
ธรรมะสอนให้รู้ความจริงของธรรมชาติ แสดงให้เห็นความจริงของโลก ของวัตถุ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสาระแก่นสาร เมื่อมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไร้สาระแก่นสารอันจะบังคับได้แล้ว ก็ย่อมเอาเป็นที่พึ่งมิได้ ก็ย่อมเป็นทุกข์โทษภัยอันมหาศาล ความปรารถนาโลก ปรารถนาวัตถุนั้น เป็นปัจจัยที่จะนำเราให้ต้องเกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ตายแล้วตายอีกต่อไป เพื่อรับความทุกข์ทนหม่นหมอง และความตายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
.......
.......
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความพยายามของท่านอาจารย์บุญมี ที่จะเชิญชวนสาธุชนทั้งหลายให้เข้ามาศึกษาพระอภิธรรม เพื่อสร้างความเห็นถูกให้กับชีวิต ซึ่งในตอนแรกนี้ ดิฉันจะได้นำเสนอเรื่องราวที่ท่านผู้อ่านจะได้ข้อสรุปว่า....สมองไม่ใช่จิต..
......
.............. .สมอง.. .......
.....สมอง (brain) เป็นอวัยวะสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง สมองแบ่งออกเป็น ๒ ชั้น ชั้นนอกเป็นสีเทา (gray matter) เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท (neuron) และ axon ชนิดที่ไม่มีเยื่อหุ้ม
ส่วนชั้นในมีสีขาว(white matter) เป็นส่วนของใยประสาท และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (neuroglia)
สมองแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑. สมองส่วนหน้า (fore brain)ประกอบด้วย
- cerebrum ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ เชาวน์ และรับความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็น การได้ยิน
การรู้กลิ่น และรส เป็นต้น
- thalamus เป็นทางผ่านของความรู้สึกจากหู และตา เข้าสู่ cerebrum
๒. สมองส่วนกลาง (mid brain)ประกอบด้วย optic lobe ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น เป็นส่วนใหญ่
๓. สมองส่วนหลัง (hind brain) ประกอบด้วย
- cerebellum ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว
- pons ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การหายใจ เป็นต้น
...... จึงไม่เป็นเรื่องแปลกเลยว่า ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาการทางวิทยาศาสตร์มาย่อมเข้าใจว่า การมองเห็น และการได้ยินนั้นเป็นเรื่องของสมอง และเมื่อได้ยินมาว่าจิตใจเป็นตัวรับรู้ และเป็นผู้สั่งงานให้เกิดความเป็นไปต่างๆ
ทุกคนจึงสรุปไปว่า สมองนั้นคือ จิต ......
........ ..........
......
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านเองก็ยังไม่เห็นด้วยในเรื่องของจิต แต่คิดว่าการทำงาน การรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของร่างกายนั้นเป็นเรื่องของระบบประสาท คือสมอง และไขสันหลัง เท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ท่านอาจารย์บุญมีได้กล่าวไว้ว่า
นักวิทยาศาสตร์ชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ทางแพทย์ บางท่านกล่าวว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นหาใช่มีจิต(วิญญาณ) ดังที่ใครๆ พากันเข้าใจไม่ วิญญาณนั้นไม่มี ที่รู้ขึ้นมาได้นั้นเพราะอาศัยระบบประสาทต่างๆ และสมองที่แสดงปฏิกิริยาสนองตอบต่อสิ่งที่มาเร้า จึงแสดงออกมาได้ .ซึ่งความรู้ต่างๆ สามารถให้บทพิสูจน์ได้โดยการเอาสมองส่วนที่เกี่ยวกับการจำออกไปเสียแล้ว ความจำก็จะสูญสิ้นไป เป็นต้น
ร่างกายที่เคลื่อนไหวไปมา หรือสั่งให้มันทำอะไรให้ก็ได้ ก็เพราะว่าการสั่งงานจากสมองนี่เอง ดังนั้น ก็เลยประกาศความจริงกันในบุคคลส่วนใหญ่ว่า ความรู้สึก เช่น เห็นได้ ได้ยินได้ คิดได้ และสั่งการให้เคลื่อนไหวได้ทั้งหมดเหล่านี้ ต้องอาศัยมันสมอง(brain) อาศัยระบบประสาท มาเป็นตัวการทำให้เห็น ได้ยิน คิด เคลื่อนไหวอิริยาบถ (ที่กล่าวมานี้ ก็เพราะเป็นผลที่ได้จากการทดลองกับคนจริงๆ จากเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องไฟฟ้า ตลอดจนจากประสบการณ์ที่แสดงออกต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า)
บัดนี้ เราลองมาพิจารณาดูว่า เป็นไปจริงๆ ดังที่ได้ทดลองนั้นหรือหาไม่
โดยตั้งคำถามดูว่า มันสมองก็ดี ไขสันหลังก็ดี ระบบประสาทก็ดี เป็นตัววิญญาณเป็นตัวแสดงการรู้อารมณ์ได้นั้น ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร ในเรื่องนี้ ต่างก็จะยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งวางเป็นหลักฐานแน่นหนาในวิชาการจริงๆ ว่า ประกอบขึ้นมาจากการวิวัฒนาการของสสาร
ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอถามต่อไปว่า สมองนี่ประกอบขึ้นด้วยสสารชนิดไหน
ก็ประกอบขึ้นด้วยเซลล์ และจำนวนเซลล์ในสมองนี้ไม่ใช่ว่าจะมีร้อยสองร้อย พันสองพันก็หาไม่ หากแต่มากมายเหลือเกิน แล้วตรงส่วนใดเล่าที่เป็นตัวการทำให้เราเห็น เป็นตัวการที่ทำให้เราได้ยิน ให้เราคิดและให้เราเคลื่อนไหวอิริยาบถได้ เพราะสมองส่วนใหญ่ของคนทั้งหมดในกระโหลกศีรษะนั้น ถ้านับเซลล์ที่รวมกันในจำนวนทั้งหมดด้วยแล้วมากมาย มันจะทำงานด้วยกันอย่างไร นี่ข้อหนึ่ง
อีกข้อหนึ่งก็น่าจะได้ตั้งคำถามว่า เซลล์ต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นมันสมองก็ดี เป็นระบบประสาทก็ดี จะเป็นด้วยส่วนไหนก็ตาม ระบบประสาท หรือสมองเหล่านี้ก็หนีไปไม่พ้น ว่าประกอบขึ้นด้วยหน่วยเล็กๆ ที่เราเรียกกันว่าปรมาณูนั่นเอง เพราะว่าเมื่อเอาเซลล์ทั้งหมดมาแยกออกไปๆ จนถึงเล็กที่สุดแล้ว มันก็จะเป็นปรมาณู
.ก็แล้วในปรมาณูนั้นเล่า มีอะไร ในปรมาณูหนึ่งนั้นก็มีประจุไฟฟ้า ซึ่งมีอีเล็คตรอน (electron) เป็นประจุไฟฟ้าลบ มีโปรตรอน (protron) ซึ่งประจุไฟฟ้าบวกอยู่ที่จุดศูนย์กลาง (neucleus) แล้วมีที่ไม่เป็นบวกและไม่เป็นลบ เรียกว่า นิวตรอน (neutron)
..ที่กล่าวมาว่า ส่วนที่คิดได้นี้มาจากสมองกับระบบประสาท แล้วสมองและระบบประสาทนั้น เมื่อย่อยละเอียดออกไปแล้วก็คือปรมาณู ซึ่งเป็นสสารมีประจุไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ แล้วมีพลังงาน มีอุณหภูมิด้วย
..ทั้งหมดนี้กลุ่มไหนเล่าเป็นตัวคิด ตัวนึก ตัวจำ ตัวรู้ดี หรือชั่ว บุญ หรือบาป
เป็นไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ หรือว่ามันรวมๆกันประชุมทำงาน ?
และที่สอนกันว่าสมองตัวทำหน้าที่จดจำนั้น
..ก็ในเมื่อสมองเป็นประจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้ามันรู้จักการเก็บความจำว่าเป็นสีอะไรๆ ด้วยหรือ มันรู้ด้วยหรือว่าได้เก็บสีแดงเอาไว้ แล้วก็คนที่มีพรสวรรค์ เช่นเด็กเล็กๆ ที่เขียนรูปได้ดีหรือเล่นดนตรีได้เก่ง จนผู้ใหญ่ต้องได้อายเล่า ก็เห็นจะเก็บความเก่งเหล่านั้นเอาไว้ในสมองด้วยกระมัง เขาหัดมาตั้งแต่ครั้งไหน จะว่าถ่ายทอดมาจากพ่อแม่, ปู่ย่า,ตายาย ก็ดูจะห่างไกลไปมากนัก
ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า เรื่องจิตใจหรือวิญญาณนั้น ในวิทยาการทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ มันมิได้ขาวขึ้นมาเลย เรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นอารมณ์นั้น ยากที่จะทำความเข้าใจด้วยใช่วิสัยของปุถุชนผู้มีกิเลสทั้งหลาย
.......
.....
แต่อย่างไรก็ดี ในพระพุทธศาสนา ...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้แสดงเอาไว้ว่า
ธรรมดารูปอันหมายถึงสสารและพลังงาน นั้นเป็นอนารมมณํ คือรู้อารมณ์ไม่ได้เลย หมายความว่า ไม่ว่ารูปอะไรทุกๆ อย่าง ไม่ว่ารูปนั้นจะวิวัฒนาการมาสักกี่พันกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ตาม รูปนั้นจะวิวัฒนาการมานานสักเท่าใดๆ คือเจริญขึ้น ๆ มาอย่างไร ๆ รูปทั้งหลายก็หนีประจุไฟฟ้าและพลังงานไปไม่ได้
...... เมื่อมันเป็นไฟฟ้าลบเป็นพลังงานแล้ว รูปทั้งหลายก็จะรู้อารมณ์ขึ้นมาเกิดทำหน้าที่ เห็น
ได้ยิน คิดนึกจะได้อย่างไร......
........
.....
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเอาไว้ว่า ธรรมชาติของรูปไม่ว่าจะเป็นมันสมอง ระบบประสาท ไขสันหลัง หรือรูปอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เลยเป็นอันขาด ทำความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาไม่ได้อย่างแน่นอน ...บรรดารูปทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งหมดไม่มีโอกาสเลยแม้แต่สักน้อยหนึ่งที่จะมาทำการรู้ คือ เห็น ได้ยิน คิดนึก เคลื่อนไหวอิริยาบถ ตลอดจนความคิดอ่านจดจำทุกข์หรือสุข รู้จักความดี ความชั่ว ดีใจ เสียใจ แล้วเก็บเอาความรู้ต่างๆ เอาไว้ภายในรูปนั้นๆ ได้
........
.......
ผมเองเมื่อเป็นนักเรียนตั้งแต่เล็กๆ มาจนโต ผมก็ได้รับคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ว่า มันสมองนั้นเป็นตัวรับรู้ในอารมณ์ทั้งหมด ไม่ว่าเห็น หรือ ตลอดจนคิดนึกต่างๆ มันสมองนั่นแหละเป็นตัวบงการให้กระทำหรือไม่ให้กระทำ และมันสมองนี่เองเป็นตัวการสั่งให้ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน คู้หรือเหยียด กินหรือดื่ม ท่านสอนเราว่ามันสมองนี่เองเป็นตัวจิตใจ
ครั้นเติบโตขึ้นมาจนเป็นครูสอนอยู่ในโรงเรียน ผมก็ได้ดำเนินการตามบูรพาจารย์เหล่านั้น ได้สั่งสอนเด็กๆ ต่อมาอีกจนกว่า ๑๐ ปี โดยสอนว่า มันสมองเป็นตัวจิตใจ มันสมองเป็นตัวการสั่งให้ร่างกายกระทำในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือความชั่วบุญหรือบาปก็ตาม
..... ด้วยเหตุที่สอนว่า มันสมองคือจิตใจนั่นเอง ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชาติทั่วโลก เพราะเมื่อมันสมองเป็นวัตถุ เป็นสสารเสียแล้วเช่นนี้ ก็ย่อมจะเก็บบาป หรือเก็บบุญเอาไว้ไม่ได้
...ดังนั้น เมื่อบุคคลใดสิ้นชีวิตลงไปแล้ว มันสมองก็จะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน หรือถูกฝังให้กลายเป็นดินไปด้วย .......
ฉะนั้น ผู้ที่มีความเชื่อว่า มันสมองเป็นตัวจิตใจ จึงมีความคิดเห็นหรือมีความเชื่อมั่นกันเป็นส่วนมากว่า คนตายลงไปแล้วก็สูญ อันหมายถึง จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกไม่ได้เลยเป็นอันขาด เมื่อเกิดขึ้นมาไม่ได้เสียแล้ว ผลบุญหรือผลบาปก็ไม่ต้องไปสนองแก่ผู้กระทำอีกต่อไปหลังจากที่ได้สิ้นชีวิตลงไปแล้ว บุญและบาปก็สูญหายเปล่าโดยไม่มีการชดใช้ การที่จะไปเกิดอยู่ดีมีความสุข หรือไปเกิดอยู่ไม่ดีมีความทุกข์ จะเป็นผลจากการกระทำในอดีต ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ก็ยิ่งจะไม่ต้องคำนึงถึงเลย
ถ้าเช่นนั้นในพระพุทธศาสนาแสดงถึงจิตใจไว้อย่างไรเล่า อะไรเป็นตัวการทำให้เราเห็น ทำให้เราได้ยิน และทำให้เราเคลื่อนไหวอิริยาบถได้ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า ตัวการนั้นก็คือ จิตใจ หรือ วิญญาณ ซี่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำความรู้สึกให้เกิดขึ้น มันสมองเป็นรูปรู้สึกนึกคิดไม่ได้ และจิตใจหรือวิญญาณนี้เรียกชื่อต่างๆ กัน
.ถ้าเกิดขึ้นทางตา ก็เรียกว่า จักขุวิญญาณ
.ถ้าเกิดขึ้นทางหู ก็เรียกว่า โสตวิญญาณ
..ถ้าเกิดขึ้นทางใจ ก็เรียกว่า มโนวิญญาณ
ดังนี้เป็นต้น
.
ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีความสามารถ รู้ นี้ ในพระพุทธศาสนาไม่ได้แสดงว่า เป็นธรรมชาติรู้เฉยๆ แล้วก็ให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเชื่อกันไปโดยไร้เหตุผล แต่ได้ให้การศึกษาที่ประกอบไปด้วยหลักการพร้อมทั้งให้เหตุผลอย่างบริบูรณ์มากมายเหลือเกิน
นอกจากนั้นในขณะวิญญาณกำลังเกิด ในขณะวิญญาณกำลังดับ ในขณะวิญญาณกำลังปฏิสนธิในภพชาติใหม่ แม้ในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท กำลังฝันอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ก็อธิบายได้อย่างยืดยาว หรือแม้กำลังละเมอ หรือสลบอยู่..
..... ผู้ใดที่ศึกษาก็จะได้ความรู้อย่างละเอียดลออพิสดาร พร้อมทั้งบทพิสูจน์ด้วย ซึ่งไม่ใช่เป็นการสอนโดยวิธีให้เชื่อตามๆ กัน ถ้าท่านได้ศึกษาพระอภิธรรมเป็นลำดับไปแล้วท่านก็จะได้ความรู้ที่น่าอัศจรรย์มากจนตื่นตะลึงทีเดียว.......
......
.......
เห็นไหมคะ..
ท่านอาจารย์บุญมีได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะปลูกฝังความเห็นถูกให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วๆไป
อีกทั้งยังได้เชิญชวนผู้คนให้ได้เข้ามาศึกษาพระอภิธรรม เพื่อจะได้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตได้อย่างถูกต้อง
ท่านจะไม่ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองบ้างหรือคะ
คราวหน้าจะได้นำเสนอนำเรื่องราวเกี่ยวกับจิต แล้วท่านจะได้รู้ว่าการเห็น และการได้ยินในแง่ของวิทยาศาสตร์ กับความเป็นจริงที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ และนำมากล่าวไว้ในพระอภิธรรมปิฏกนั้นเป็นอย่างไร
เชิญติดตามตอนต่อไปค่ะ
-------------------------------------
สมอง..ไม่ใช่จิต(ใจ)
(ตอนที่ ๒ จิตใจคืออะไร)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1552
--------------------------------------
ความมหัศจรรย์ของจิต (สมอง ไม่ใช่จิต)
ตอนที่ ๓
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1585
------------------------------------------
ความมหัศจรรย์ของจิต...(สมองไม่ใช่จิต) ตอนที่ ๔
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1607
--------------------------------------------
ความมหัศจรรย์ของจิต...(สมองไม่ใช่จิต) ตอนที่ ๕
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1690
---------------------------------------------
ความมหัศจรรย์ของจิต (ต่อ)
(สมองไม่ใช่จิต)
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1736
---------------------------------------------
ความมหัศจรรย์ของจิต.(สมองไม่ใช่จิต) ตอนที่ ๗
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1797
----------------------------------------------
หนังสือเล่มอื่นที่น่าศึกษาครับ เช่น สสาร-พลังงานในพระพุทธศาสนา, แสงสว่างของชีวิต ฯลฯ
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/book.htm |
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 5:05 am |
  |
http://larndham.net/index.php?showtopic=11240&st=28
หทยํ (เนื้อหัวใจ)
อรรถกา เล่ม๗๕ พระอภิธรรมปิฎก วิภวังค์ปกรณ์
คำว่า หทยํ คือ เนื้อหัวใจ เนื้อหัวใจนั้น ว่าโดยสี มีสีแดงดังสี
หลังกลีบดอกปทุม. ว่าโดยสัณฐาน มีสัณฐานดังดอกปทุมตูม ที่เขาปลิดกลีบ
ข้างนอกออกแล้วตั้งคว่ำลง ภายนอกเกลี้ยง แต่ภายในเป็นเช่นกับภายในผล
บวบขม เนื้อหัวใจของคนมีปัญญาแย้มบานหน่อยหนึ่ง ของคนผู้ไร้ปัญญา
เป็นดังดอกบัวตูมนั่นแหละ ก็ภายในของเนื้อหัวใจนั้นเป็นหลุมมีประมาณจุ
เมล็ดในดอกบุนนาคได้ ในที่ใด โลหิตมีประมาณกึ่งฟายมือขังอยู่ มโนธาตุ
และมโนวิญญาณธาตุอาศัยที่ใดเป็นไปอยู่ ก็แลโลหิตนั้นๆ ในที่นั้นๆ ของ
คนมีราคจริตเป็นสีแดง ของคนมีโทสจริตเป็นสีดำ ของคนมีโมห-
จริตเป็นเช่นกับสีน้ำล้างเนื้อ ของคนมีวิตักกจริตเป็นสีเช่นกับน้ำต้ม
ถั่วพู ของคนมีสัทธาจริตเป็นสีดังดอกกรรณิการ์ ของคนมีปัญญา-
จริต ใส ผุดผ่อง ไม่หมองมัว ขาว บริสุทธิ์ ย่อมปรากฏรุ่งเรืองอยู่
ดุจแก้วมณีบริสุทธิ์ที่เจียระไนแล้ว. ว่าโดยทิศ เกิดในทิศเบื้องบน. ว่าโดย
โอกาส ตั้งอยู่ใกล้ท่ามกลางระหว่างถันทั้ง ๒ ในภายในสรีระ. ว่าโดยปริจเฉท
กำหนดโดยส่วนที่เป็นเนื้อหัวใจ. นี้เป็นสภาคปริเฉทของเนื้อหัวใจ ส่วน
วิสภาคปริจเฉท .
----------------------------------------------------------------------
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/energy.doc
คำว่า "รูป" ในพระพุทธศาสนานั้นบุคคลส่วนมากที่ยังมิได้ศึกษาในขั้นละเอียดก็จะมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เพราะจะเข้าใจแต่เพียงว่ารูปนั้น ได้แก่ร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย อย่างมากก็เพิ่มดิน น้ำ โต๊ะ เก้าอี้ หรือต้นไม้ใบหญ้าเข้าไปด้วยเท่านั้น
ความจริง คำว่า " รูป" มิได้มีความหมายคับแคบเพียงเท่านั้น หากแต่มีความหมายไกลออกไปอีกมาก เช่น อากาศ แสง เสียง กลิ่น รส ก็เป็นรูป แม้ในบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่อาจเห็นและสัมผัสไม่ได้เลยด้วยประสาททั้ง ๕ ยังเรียกว่า "รูป" ก็มี เช่น ปริจเฉทรูป ซึ่งได้แก่ช่องว่างในระหว่างปรมาณู (ไม่มีปรมาณู ช่องว่างไม่มี) ภาวะรูปได้แก่รูปที่แสดงความเป็นเพศหญิง เพศชายที่มีอยู่ทั่วร่างกาย (เพศหญิง เพศชายดูด้วยตาไม่ได้) หทยรูป (ไม่อาจมองเห็นด้วยตาได้) ได้แก่รูปอันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตเป็นต้น
|
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 5:09 am |
  |
ประเด็นเรื่อง จิต อาศัยหทยวัตถุ(ที่เป็นรูปละเอียด ) อยู่ในช่องหัวใจ และ รูปร่างของหัวใจของบุคคลจริตต่าง ๆ นี้
นักวิทยาศาสตร์ บางท่านอาจจะเห็นขัดแย้ง เนื่องด้วยมีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ และมองเห็นหัวใจ
อย่างคุณหมอตรงประเด็นถึงกับ นึกขำในประเด็นนี้ ( เห็นคุณหมอตรงประเด็นทำรูปคนหัวเราะประกอบ 3 รูป )ในกระทู้
http://larndham.net/index.php?showtopic=26139&st=94
ผู้ที่มีหัวใจแบบที่อรรถกถาบรรยายไว้ ไม่น่าจะจัดว่าเป็นผู้มีปัญญาน่ะครับ
แต่น่าจะเป็นผู้ที่มีปัญหาทางโรคหัวใจอย่างน่ากังวลมากกว่า
http://larndham.net/index.php?showtopic=26139&st=97
จากอรรถกถานี้ ผู้มีปัญญา หัวใจจะมีลักษณะดังนี้
1.หัวใจเริ่มโต(mild cardiomegaly)
2.SA nodeมีสีขาว(ขาดเลือดมาเลี้ยง ?)
--------------------------------------------------
เพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้ในกระทู้ หทยวัตถุ
http://larndham.net/index.php?showtopic=26846&st=16
ความคิดเห็นที่ 75 : (พระนาย)
หทยวัตถุ เป็นที่อาศัยเกิดของ จิต 75 ดวง ในภูมิที่มีขันธ์ 5 ก็จริง
แต่ธรรมชาติของจิต 75 ดวง เว้นทวิ 10 และ อรูปวิบาก 4
เป็นจิตที่อาศัยการตรึกนึกถึง "ธรรมมารมณ์ทางใจ" เท่านั้น
คุณ Beckham ลองเทียบระหว่างทวิปัญจวิญาณจิต 10 ดวง
ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น จักขุวิญญาณ จะเกิดแต่ละครั้งได้ต้องอาศํย แสง
สว่าง รูปารมณ์ และปัจจัยภายนอกมากมาย การเห็น 1 ครั้งจึงจะเกิดได้
แต่จิต 75 ดวงเว้น อาศัย การตรึกนึกถึง อารมณ์ทางใจ
ดังนั้น การเปลี่ยนหัวใจ จึงอุปมาเหมือน ปูเสฉวน ที่เปลี่ยนหอยที่ปูเสฉวนนั้น
อาศัยเกาะยึดอยู่เท่านั้น
แต่จิตนั้นยังไม่จุติลงไป เพราะกรรมยังรักษาอยู่ คนที่เปลี่ยนหัวใจจึงยังไม่ตาย
พยายามนึกถึง ปูเสฉวน ครับ
จากคุณ : พระนาย
-------------------------------------------------------------------
http://larndham.net/index.php?showtopic=11240&st=37
หทยรูป เป็นกัมมชรูป ชนิดหนึ่ง มีการเกิดและดับอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับจิต(แต่มีอายุมากกว่าจิต)
หทยรูป มีอดีตเจตนากรรม เป็นปัจจัย มีการเกิดอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่มีอยู่เพียงรูปเดียวตลอดชีวิต ดังนั้นการเปลี่ยนหัวใจไม่ได้ห้ามการเกิดของหทยรูปนั้นเลย หทยวัตถุยังคงเกิดใหม่ได้ ในตำแหน่งที่สมควรต่อไปไม่ว่าจะป็นการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอย่างไรก็ตามจนกว่าจะหมดอำนาจปัจจัยนั้น
จากคุณ : กลาง. |
|
|
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 5:22 am |
  |
ประเด็นนี้ ผมเคยตั้งกระทู้ ที่ลานธรรมเสวนา
ไก่ไร้หัวแต่มีชีวิตอยู่ได้ ๑๘ เดือน
บทพิสูจน์ สมอง...ไม่ใช่จิต และ จิต...ไม่ใช่สมอง
http://larndham.net/index.php?showtopic=30642&st=0&hl=
ขอทุกท่านศึกษาเรื่อง ชีวิต จิตใจ (รูปนาม) พร้อมคำอธิบายจากท่านผู้รู้ ที่อ้างอิงจากพระอภิธรรม |
|
|
|
  |
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |