ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 7:15 am |
  |
ตั้งต้น ก็ตั้งที่สติปัฏฐาน 4 ถึงจะเป็นสัมมาสติ ตามองค์มรรค แต่จะพูด
ถึงแต่สติอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะขณะนั้นสัมปชัญญะก็เกิดร่วมด้วยตาม
สมควร สัญญาก็เกิด
การที่โยคีกำหนดรู้กายานุปัสสนา ก็ดี เวทนานุปัสสนาก็ดี
จิตตานุปัสสนาก็ดี ธัมมานุปัสสนาก็ดี องค์ธรรมทั้งหลายมีสติ
สัมปชัญญะเป็นต้น เกิดแล้วขอรับ  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 7:20 am |
  |
เชิญคุณคามินธรรม คุณ guest และคุณโปเต้ ไปสนทนาประเด็นนี้กันต่อ
ที่ลิงค์ความลับของฟ้า....คือ....ที่คุณฌานตั้งไว้ดีกว่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16943 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 9:07 am |
  |
การตั้งสติ ที่สติปัฏฐาน ๔ เลย ทีเดียว
เห็นจะเป็นไปได้ยาก
นอกจากท่านผู้ได้สั่งสมบุญมามากพอแล้วในกาลก่อน
เพราะ สภาวะธรรมใน สติปัฏฐาน ๔ รวดเร็วมาก
สติแบบเรา ๆ ท่าน ๆ ตามรู้ได้ไม่ทัน
ต้องเป็นสติที่มีกำลังในระดับหนึ่ง
ตัวอย่าง การตั้งสติตัวอย่าง ๑
ที่ควรยกขึ้นพิจารณา คือ อานาปานสติสูตร
หากพิจารณาให้ถ่องแท้ จะเห็นกระบวนการในการสร้างสติ
ผู้มากด้วยอุบายปัญญาอย่าง คุณกรัชกาย น่าจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 10:42 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
การตั้งสติ ที่สติปัฏฐาน ๔ เลย ทีเดียว
เห็นจะเป็นไปได้ยาก
นอกจากท่านผู้ได้สั่งสมบุญมามากพอแล้วในกาลก่อน
ฯลฯ
ผู้มากด้วยอุบายปัญญาอย่าง คุณกรัชกาย น่าจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
guest: 05 สิงหาคม 2008, 9:07 am |
ผู้มากด้วยอุบายปัญญาอย่าง คุณกรัชกาย น่าจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
คงไม่มั่งครับ คุณ guest
ที่นี่ =>
http://larndham.net/index.php?showforum=14
ก็สอนสติปัฏฐา มีกระดานสติปัฏฐาน
นำสติปัฏฐานขึ้นอ้างอิงทุกครั้ง กล่าวถึงมรรค 8 บ่อยๆ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 10:48 am |
  |
มนุษย์เกิดมามีกายมีใจทุกคน ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงไม่ตรัสทางพ้นทุกข์
เช่น พุทธพจน์
ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อข้ามพ้นความโศก และความร่ำไรรำพัน เพื่อความดับไปแห่งทุกข์
และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้ คือ
สติปัฏฐาน 4
สัมมาสติ ตามคำจำกัดความแบบพระสูตร ก็คือ
หลักธรรมที่เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง
หัวข้อทั้ง 4 ของหลักธรรมหมวดนี้ มีชื่อเรียกสั้นๆ คือ
1) กายานุปัสสนา (การพิจารณากาย, การตามดูรู้ทันกาย)
2) เวทนานุปัสสนา (การพิจารณาเวทนา, การตามดูรู้ทันเวทนา)
3) จิตตานุปัสสนา (การพิจารณาจิต, การตามดูรู้ทันจิต)
4) ธัมมานุปัสสนา (การพิจารณาธรรมต่างๆ, การตามดูรู้ทันธรรม)
พระพุทธเจ้าสอนตรงๆ มาที่ตัวคน แต่เราอาจมองไกลเกินไป หรือ
ปฏิบัติพลาดกระมัง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 11:03 am |
  |
ลมหายใจอยู่ที่กายครับ
ไม่ได้อยู่ไกลจากกายจากใจเลยครับ
ขอ คุณกรัชกาย โปรดทำความเข้าใจในอานาปานสติสูตรก่อนครับ
เพราะ ผู้ที่จะถึงมรรคถึงผลได้ ต้องเดินผ่าน สติปัฏฐาน ๔ นี้ทั้งนั้นครับ ข้ามสติปัฏฐาน ๔ ไม่ได้เลยครับ
แต่ก่อนจะถึงสติปัฏฐาน ๔ นี่สิครับ จะต้องทำอย่างไร
ผมจึงเรียนคุณกรัชกายว่า ตัวอย่าง ๑ ที่ จะตั้งสติ
เพื่อไปยังสติปัฏฐาน ๔ ได้
ควรศึกษา "อานาปานสติสูตร"
เมื่อเข้าใจ "อานาปานสติสูตร" ดีแล้ว
"วิธีการตั้งสติ" แบบอื่น ๆ ก็ถือเป็น "ปริยาย" |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 11:48 am |
  |
เถียงอะไรกันอยู่หรือ อ่านแล้วไม่เข้าใจ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 1:59 pm |
  |
กรัชกายว่าเราเข้าใจคำว่า สติปัฏฐาน ไม่ตรงกันแล้วครับ คุณ guest
เราจะสนทนาประเด็นนี้กันต่อที่ลิงค์ ความลับของฟ้า...นะครับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16943
คุณคามินธรรมไปรออยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่ง พวกเรารบกวนสมาธิคุณสิริกรมานานแล้ว
อีกทั้งคุณขันธ์ก็เริ่มงงแล้วด้วย
จะ copy คห. ที่เข้าใจไม่ตรงกันไปด้วย  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
น้ำพริก
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 19 เม.ย. 2007
ตอบ: 2
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 4:24 pm |
  |
อาการอย่างนี้ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เป็นอาการจิตเข้าถึงฐานของสมาธิแบบ ส้มหล่น คือกิเลสมันตามสกัดกั้นไม่ทัน จิตจึงลงได้จนถึงฐานและออกมาเห็นกายได้โดยไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งก็ออกไปลอยอยู่กลางอวกาศเห็นดวงดาวระยิบระยับ เห็นความคิดตนเองบ้าง แล้วแต่คน
ซึ่ง อาการจะคล้ายกับของผมเพียงแต่ตอน จิตวูบลงไปนั้น ของคุณไม่ได้ตกจากที่สูง พุทโธจะหายตอนจิตเข้าฐานสมาธิ
อาการของคุณ จิตจะรับรู้อยู่เฉยๆ แบบ งงๆ เพียงแต่ย้อนเข้ามาเห็นภายในร่างกายแล้วตกใจ จนนานกระทั่งตกใจว่าร่างกายเราหายไปไหน เราตายแล้วหรือนี่
ตอนที่เห็นหัวใจและเส้นเลือดนั้นแหละที่พระท่านเรียกว่า วิปัสสนา เมื่อเห็นบ่อยๆซ้ำๆจิตจะปล่อยกาย แยกกัน ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เป็นอริยะบุคคลที่1 เพียงแต่กำลังของคุณไม่มีมากพอจึงทำให้ถอย กลับ ออกมารับรู้กับอาการภายนอกอีกครั้ง
นี่แหละประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติ เรียกว่า ยังจำอาการนั้นได้ เหมือนเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หาตำราเล่มไหนมาอ่านก็ไม่เหมือนของเราเอง
ขอแนะนำให้กำหนดพุทโธแบบถี่ๆต่อไปครับ ไม่ต้องพุทโธตามลมหายใจน่ะครับ แล้วกำลังของสมาธิจะกล้าแข็งขึ้น สามารถกลับเข้าไปพิจารณาร่างกายได้อีกครั้ง ถ้ากิเลสตามไม่ทัน
ขอเสริมว่านี่คือการปฎิบัติแบบใจบริสุทธ์ คือไม่ได้เคยอ่านตำรามามาก
ไม่มีสัญญานำมาคิดในขณะทำสมาธิมาก จิตจึงลงได้เร็ว
ต้องกลับมาสร้างกำลังสมาธิอีกครั้งครับโดยกำหนดพุทโธ เหมือนรถวิ่งใช้งานจนน้ำมันหมด ต้องแวะปั้มเติมน้ำมันใหม่เพื่อวิ่งใช้งานต่อครับ
ขอบอกว่าอาการของผมก็คล้ายกับคุณครับ แต่จิตตกลงจากที่สูงเร็วมาก
แล้วลงจนถึงฐานคล้ายๆตกลงก้นบ่อลึกแล้วนิ่งอยู่ที่ก้นบ่อแล้วพุทโธหาย
จากนั้นจิตพุ่งขึ้นบนอวกาศแล้วไปรับรู้นิ่งอยู่ มองเห็นดวงดาวโดยรอบ
เรียกว่ามองเห็นรอบทิศทางโดยไม่ต้องเหลียวมอง ส่วนอื่นไม่ขอเล่าต่อครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ทำต่อไป และอนุโมทนาด้วยครับ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 4:48 pm |
  |
กรัชกาย นี่ๆ ข้างบน ของจริงๆ
ถามอะไรถามเลย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 6:52 pm |
  |
คามินธรรม พิมพ์ว่า: |
กรัชกาย นี่ๆ ข้างบน ของจริงๆ
ถามอะไรถามเลย |
น้องคามินรู้ได้งัยว่าของจิง  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 6:57 pm |
  |
บอกให้ก็ได้ ขี้เกียจรอคำตอบ พี่รู้เห็นจนเอียน เอาตัวอย่างนี้ไปดูก็ได้
คือว่า มีปัญหาเวลานั่งสมาธิค่ะ เนื่องจากว่า เมื่อตอนเด็กๆ
(อายุประมาณ 11-12 ขวบ)
ลองหัดนั่งสมาธิตามที่เรียนมาจากห้องจริยธรรม (ในสมัยนั้น) เป็นการนั่ง
แบบ อานาปานสติ คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก
มีครั้งหนึ่งก่อนนอน จำได้ว่า นั่งสมาธิได้สงบมาก มีความรู้สึกว่า
ตัวเอง ลอยขึ้นไปอยู่บนเพดานห้อง มองลงมาเห็นกายตัวเองนั่งนิ่งอยู่
เหมือนกายกับจิตแยกออกจากกันเป็นคนละคนกัน
ด้วยความรู้สึกวูบนั้น จิตเหมือนรีบกลับเข้าร่าง
ตอนนั้นกลัวมาก, ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น และไม่กล้านั่งสมาธิอีก
ฯลฯ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 9:39 pm |
  |
นี่อีกตัวอย่างหนึ่งแนวๆเดียวกัน
ในการนั่งสมาธิครั้งหนึ่งด้วยการดูลมหายใจเข้า-ออก เกิดเหตุการณ์แปลกขึ้นคือ ตั้งแต่ที่เริ่มนั่งสมาธิ หูได้ยินเสียงแอร์ตลอดเวลาที่ห้องชั้นล่าง (ตัวเองนั่งอยู่ชั้นสองเหนือห้องนั้น) เป็นเสียงได้ยินชัดแต่ไม่ดังมาก- (ยังเป็นเหตุการณ์ปกติอยู่ แต่ใจเหมือนไปยึดที่เสียงนั้นตั้งแต่แรกค่ะ)
สักพัก หลังจิตเริ่มเป็นสมาธิได้ไม่นาน จู่ๆ หูก็ได้ยินเสียงแอร์ทำงานดังมากขึ้นมาทันทีทันใด เหมือนกับเราไปยืนอยู่ใต้เครื่องแอร์ด้านหลังห้องชั้นล่าง- (แอร์ติดตั้งอยู่นอกหน้าต่าง) ได้ยินดังมากตลอดเวลาเหมือนแอร์อยู่เหนือศีรษะ แม้กระทั่งตัวเองรู้สึกเอะใจแล้ว คือ ไม่ได้ดูลมหายใจแล้ว แต่ยังอยู่ในท่านั่งสมาธิหลับตาอยู่ แต่ก็ยังคงได้ยินอยู่
จากนั้นมีความรู้สึกกึ่งๆ กลัว เลยคิดว่าไม่อยากฟังเสียงนั้นแล้ว ทันใดนั้นหลังจากที่คิด ปรากฏว่าตัวเองกลับมาได้ยินเสียงแอร์แว่วๆ จากห้องชั้นล่างในระดับเสียงเดิม เหมือนกับตัวเองกลับมานั่งอยู่ที่เดิมค่ะ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
06 ส.ค. 2008, 9:41 pm |
  |
อยากฟังความเห็นจากน้องคามิน กับ คุณน้ำพริก สองตัวอย่างที่นำมานี้
คืออะไร แล้วจะไปไหนต่อ
สิ่งประมาณนี้ มีเยอะในหมู่นักภาวนาและส่วนมากนี้นั้นจะหลงวนอยู่ในป่า
นี้ ตราบเท่าที่จะได้ผู้แนะนำที่ถูกต้อง ขอให้โชคดี |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
namprik
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 07 ส.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม
|
ตอบเมื่อ:
07 ส.ค. 2008, 1:05 pm |
  |
จากที่คุณกรัชกาย นำมาถาม จะสังเกตุได้ว่าอาการเหล่านี้มักเกิดกับผู้ที่หัดภาวนาใหม่ๆ เรียกว่า จิตรวมลงแบบบังเอิญ คล้ายๆเจ้าของกระทู้
ซึ่งคำบริกรรม หรือ การดูลมหายใจ เป็นตัวให้จิตเข้าไปมีสติอยู่กับสิ่งนั้นๆ
แล้วรวมลงเป็นสมาธิแบบ ส้มหล่น ครั้งแรกที่จิตรวมลง จะออกไปรับรู้กับ อาการ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก ที่เรียกว่าจิตออกไปรับรู้ จะเห็นสวรรค์ นรก หรือเห็นเรื่องของคนอื่นก็ตรงนี้แหละครับ (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นกันทุกคน
แล้วแต่ของเก่าที่เคยกระทำมา) แรกๆที่เห็นสิ่งต่างๆภายนอกนั้น จิตเราจะตกใจมากคล้ายๆเด็กพลัดหลงกับพ่อแม่ แต่เมื่อจิตรวมบ่อยครั้งเข้า จะเริ่มเข้มแข็งและฉลาดที่จะนำจิตไปใช้งาน แต่ถ้าทำบ่อยๆจิตจะเสื่อม เพราะเรานำจิตไปใช้งานมากจนเกินกำลัง จำเป็นต้องย้อนกลับมาสร้างกำลังโดยทำความสงบ คือกลับมาทำสมาธิ โดยการ กำหนดคำบริกรรม หรือดูลมหายใจ แล้วจึงย้อนกลับไปทำงานใหม่ได้
บางคนเมื่อเคยได้อาการจิตสงบแล้วติดใจ ชอบใจ อยากได้อีก คราวนี้จะยากเพราะกิเลสรู้ทันทีความคิดเราแล้ว ก็จะไม่เห็นผลดั่งเช่นเคย
ดังนั้นไม่ควรหวังผลทุกครั้งที่ทำสมาธิ เพียงแต่สร้างเหตุให้ดีที่สุด
เมื่อถึงการณ์ถึงเวลา แม้จะห้ามไม่ให้จิตรวมลงยังยากเลยครับ
งานทางจิตยังมีอีกมหาศาลครับ ผลของสมาธิเป็นแค่บันไดขั้นแรก เท่านั้นเอง แต่ก็ขอให้กำลังใจกับผู้ที่ปฎิบัติจริง
ผู้ภาวนาเมื่อถึงผลอันเป็นจุดเดียวกันแล้วคุยกันไม่กี่คำก็รู้ได้ว่าของจริงหรือไม่ ดังนั้นอาการทางจิตของผู้ที่เคยประสบมาแล้ว จึงสามารถนำมาแนะนำผู้ที่พึ่งประสบได้จริง
ผู้ที่ปฎิบัติใหม่แล้วมาเจออาการทางจิต ก็ไม่สามารถสร้างเรื่องขึ้นมาเองได้ เพราะทำเองเห็นเอง จึงมีคำถามที่นักภาวนารู้กันว่าทำจริง หรืออ่านตำรามาถาม
อนุโมทนาทุกท่านครับ |
|
|
|
    |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
07 ส.ค. 2008, 1:20 pm |
  |
เป็นลักษณะของจิตที่ผาดโผนครับ
ลักษณะจิตประเภทนี้จะออกรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ประมาณการไม่ได้
ลักษณะจิตประเภทนี้ควรมีครูอาจารย์ที่รู้จริงเห็นจริงแนะนำ
เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะผาดโผนจนเลยฝั่งเลยฝาไปได้ครับ |
|
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 7:25 am |
  |
คุณโปเต้ค่ะ
ขออภัยด้วยค่ะที่ไม่ได้ตอบทั้งคุณคามินและคุณโปเต้ เราอาจจะเคยมีเศษกรรมต่อกันค่ะ คือเล็กๆน้อย จึงมาเกิดวิบากตรงเข้าใจผิดในการตีความกัน ดิฉันไม่เคยถือโทษหรือรู้สึกโกรธเคืองคุณทั้งสองหรือคนอื่นๆที่เคยต่อว่าดิฉันเลยค่ะ จิตเรามันไวค่ะ ถ้าสติไม่ทัน มันก็สร้างปัญหาให้เกิดอยู่เรื่องถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ( อันนี้ก็อยู่ที่ความคิดของแต่ละคน อยู่ที่ว่า สตินั้นจะทันจิตไหม ไม่มีใครถูกหรือผิด คิดจะสนทนากัน เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา)
นำมาให้อ่านค่ะ ภาษาสมมติบัญญัติ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นกับมันมาก มันก็นำมาซึ่งเหตุในการถกกัน แต่ถ้าเราเข้าใจมันเราก็ไม่ต้องไปถกข้อความกับใคร เราแค่เป็นผู้ดูค่ะ ดูตามความเป็นจริง อย่าไปแต่งเติม ถ้าสติมันไม่ทัน มันก็เสร็จเจ้าสังขารเท่านั้นเองค่ะ มันก็กลายเป็นอัตตา ทำให้สร้างมานะกิเลสให้เกิดเท่านั้นเอง ถ้าสติทัน มันก็จบตั้งแต่เกิด มันเกิดแล้วก็ดับเดี๋ยวนั้นเลย ก็เลยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สุดแต่ว่าใครจะมองเห็นส่วนดีตรงไหนเท่านั้นเอง
ตรงนี้นำมาให้อ่านค่ะ
บุญชัย
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 29 กรกฎาคม 2008
ตอบ: 136
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา
ตอบเมื่อ: 06 สิงหาคม 2008, 9:25 am
--------------------------------------------------------------------------------
พิจรณา กับดูตามความเป็นจริง " มันต่างกับ "การกำหนดรู้ลงไป"
1พิจารณา คือ ทำให้รู้แจ้งแตกฉานเช่นญาน 1พิจารณารูป นาม
ว่า เที่ยง หรือเป็นทุกข์ยังไร
2การกำหนดรู้ลงไป" คือการตรึกถึงสิ่งนั้น ให้เห็นถึง อนิจจัง หรือ อนัตตา เป็นการทำ ก่อน พิจารณา นะ แต่เป็น ขั้นก่อน
เข้าใจ ครับ...
_________________
ทำดีทุกทุกวัน
บุญชัย
บัวใต้ดิน
--------------------------------------------------------------------------------
ถ้าผู้ใดจะทำทางวิปัสสนา
ให้ตั้งกายให้ตรง ทำสติไว้เฉพาะหน้า ไม่ให้เผลอ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่าให้เกยกันมาก แต่พอหัวแม่มือซ้ายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แล้วหลับตาภาวนาว่า สัมมาอะระหัง หลับตาแล้วมันมีกลเม็ดอยู่อย่างหนึ่ง คือเหลือบตาขึ้นข้างบนเหมือนอย่างไปข้างหลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ เพราะมันเป็นรูกลวงลงไปตั้งแต่เพดานจนถึงสะดือ สุดลมหายใจที่อยู่เพียงสะดือตรงนั้น เรียกว่า ที่สิบ เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า ที่ศูนย์ เป็นที่ตั้งสติ เอาเห็น จำ คิด รู้ ทั้งสี่นี้ลงไปหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น เพราะที่ตรงนั้นมีดวงธรรมประจำอยู่ทุกคน ธรรมดวงนี้สำหรับทำให้เกิดเป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงจากไก่ สว่างเหมือนแสงไฟ ให้ลงไปนิ่งนึกอยู่แต่ตรงนั้นอย่าไปทางไหน ดินถล่มฟ้าทลาย คอขาดบาดตายก็อย่าตกใจ ให้นิ่งแน่นอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือนั้นให้ได้ ซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่ไป ล่างบน ไม่ไป นิ่งอยู่กึ่งกลางกาย ข้างใน ข้างนอก อย่าออกไป ถ้าออกข้างนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สว่างได้ ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนูปกิเลสนี้เป็นของภาคดำ ไม่ใช่ของภาคขาว
o
เมื่อกายสงบดีแล้ว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นั่นเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เมื่อเกิดความสุขกายขึ้น เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, ถ้าเกิดแสงสว่างขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญ่ก็ตาม ประมาณสักเท่าดวงดาวหรือไข่แดงของไก่ เป็นอุคคหนิมิตขึ้นอย่างนั้นแล้ว รักษาไว้ นี่เรียกว่า ปฐมมรรค ถ้าใสอย่างกระจกส่องหน้าอย่างนั้นหละเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าขยายเป็นปฏิภาคออกไปใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้นเหมือนอย่างกายมนุษย์เราไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด (ในกลางกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์) กายนี้สำหรับไปเกิดมาเกิด กายนี้ถ้าหลุดจากกายมนุษย์หยาบ (กายเนื้อ) เมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น แต่ต้องพูดถึงกายนี้ให้รู้เรื่องกันเสียก่อน เพราะเป็นกายไปเกิดมาเกิด เป็นกายสมุทัย กายนี้เมื่อมาเกิดเข้าครรภ์บิดามารดานั้น สูงถึงแปดศอก มาเข้าครรภ์บิดาก่อน ถ้าจะเป็นหญิงก็เข้าทางช่องจมูกซ้าย ถ้าจะเป็นชายก็เข้าทางช่องจมูกขวา เข้าไปอยู่เหนือศูนย์สะดือสองนิ้วมือของบิดาก่อน แล้วมารดาจึงตั้งครรภ์ขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ์ด้วยกันทั้งสองคนจึงรักบุตรด้วยกันทั้งคู่ บิดามารดาร่วมประเวณีกันเข้า ถ้ายังไม่ตกสูญก็ยังไม่เกิด ถ้าตกสูญเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น
ตรงนี้ข้อความที่ดิฉันตอบไว้
walaiporn
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 02 กรกฎาคม 2006
ตอบ: 146
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
ตอบเมื่อ: 06 สิงหาคม 2008, 7:03 pm
--------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
"การกำหนดรู้ลงไป" คือการตรึกถึงสิ่งนั้น ให้เห็นถึง อนิจจัง หรือ อนัตตา เป็นการทำ ก่อน พิจารณา นะ แต่เป็น ขั้นก่อน
เข้าใจ ครับ...
-- ขอบคุณค่ะคุณบุญชัย เพิ่งเคยได้ยินเนี่ย เป็นความรู้ใหม่ค่ะว่า คำว่า "กำหนดรู้ลงไป" หมายถึง การตรึกถึงสิ่งนั้น ( ความคิด )
-- คำว่า "กำหนดรู้ลงไป" ที่ดิฉันนำมาพูดนั้นหมายถึง การฝึกเจริญสติ โดยใช้สมมติบัญญัติเข้ามาช่วย คือใช้คำว่า"หนอ" เช่น เวลากำลังเดินก็ขวา .. ย่าง ... หนอ ... ซ้าย... ย่าง...หนอ... หรือเวลาจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องกำหนดรู้ลงไปทุกครั้ง ไม่ใช่แบบรู้ลงไปในการกระทำทันทีเลย ไม่ใช่แบบนั้น การที่ใช้" หนอ" ก็เพื่อรั้งจิตให้ทำงานช้าลง เพื่อสติ สัมปชัญญะ จะได้เกิดเร็วขึ้น ที่เขาเรียกว่า สติทันจิตน่ะค่ะ ถ้าถามว่า ฝึกแบบไหนที่สามารถสร้างสติ สัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้เร็วกว่ากัน อันนี้ดิฉันตอบได้เลยว่า ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นค่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ รูปแบบนี่แล้วแต่คนจะถูกจริต เพราะคนที่ฝึกแบบใช้สมมติบัญญัติเข้าช่วย พอสักวันหนึ่ง สติ สัมปชัญญะเขากล้าแข็งพอ สมมติบัญญัติที่ใช้ในการกำหนดเพื่อสร้างสติ มันก็จะหายไปเองค่ะ มันจะไปรู้อยู่ในจิต ไม่ว่าจะยก จะย่าง จะเหยียบ จะกดฯลฯ ทุกย่างก้าวอริยาบทที่เดินมันจะตัดขาดออกจากกัน ถ้าสติ สัมปชัญญะไม่มากพอ รู้แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ
-- นี่แหละภาษาสมมติบัญญัติ การตีความหมายในการใช้งานเลยไปคนละเรื่องกันเลย ถ้าเราเข้าใจมันซะ มันก็จบไม่ต้องมานั่งถกกัน ก็เขาถูกสอนมาแบบนั้น ส่วนเราถูกสอนมาแบบนี้ ต่างคนต่างรู้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่มีใครถูกและผิด เราก็เลยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในการสนทนากันค่ะ
-- ส่วนการทำวิปัสสนา ที่คุณนำให้อ่าน เพิ่งรู้เป็นครั้งแรกค่ะว่า ธรรมกาย ทำแบบนี้ เพราะเท่าที่เคยอ่านของคุณตรีธา ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสด ท่านเขียนไว้ ไม่เห็นเหมือนกับที่คุณนำมาให้อ่านเลยค่ะ ไม่ได้คิดติติงหรือเพ่งโทษ แค่ออกความคิดเห็นเฉยๆ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ
-- ---------------
-- เข้าไปอ่านข้อความทั้งหมดได้ที่ สมถะและวิปัสสนา ค่ะ
-- ต่างคนต่างรู้ค่ะ ไม่มีใครถูกหรือผิด รู้แบบไหน ถูกสอนมาแบบไหน ก็ย่อมตีความแบบนั้น ถ้าต่างคนต่างสนทนาไม่มายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า " รู้ " ก็ไม่ต้องมานั่งถกเถียงกัน ไม่เที่ยวมาว่าคนโน้นคนนี้ว่าถูกหรือผิด (จริงๆแล้วที่ว่าถูกหรือผิด มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดของคนๆนั้น หากคิดจะสนทนากับผู้อื่น เราต้องให้ความเคารพในความคิดเห็นของเขาด้วย หากคิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปสนทนากับเขา แทนที่จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กับกลายเป็นว่าไปสร้างกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นอีก)
เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ สาธุค่ะ  |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 7:40 am |
  |
walaiporn พิมพ์ว่า: |
ขออภัยด้วยค่ะที่ไม่ได้ตอบทั้งคุณคามินและคุณโปเต้
|
เรื่องอะไรอะครับ ผมยัง งงๆ อยู่
แต่อย่าคิดอะไรกับผมมากเลยนะคับ อย่าถือผมมากเลย
ผมไม่ค่อยจะจำอะไรเท่าไหร่ และไม่ผูกเคืองคุณวไลภรณ์แต่อย่างใด
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
โปเต้
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 8:00 am |
  |
..................
งงๆ เล็กน้อย นึกว่าจบไปแล้ว
ถ้างั้นก็ขออนุญาตจบตรงนี้ค่ะ
ไม่มีอะไรกันแล้วนะคะ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
  |
 |
สิริกร พรมทอง
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2008
ตอบ: 7
|
ตอบเมื่อ:
11 ส.ค. 2008, 5:40 pm |
  |
ตอบคุณกรัชกายค่ะ
พอดีไม่ได้เข้า net เลยยังไม่ได้ตอบค่ะ
เคยเดินจงกลมแบบเล่นๆ ที่สนามหญ้าในบ้าน แบบเดินแล้วก็ซ้ายขวา เล่นๆ ค่ะ
แต่เดินแบบถูกต้อง ยังไม่เคยเดินค่ะ เพราะส่วนมากจะทำสมาธิอย่างเดียว
อยากทราบว่าต้องทำด้วยใช่ไหมคะคุณกรัชกาย ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ตอบด้วยค่ะ |
|
|
|
   |
 |
|