Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปฏิบัติแนวไหนจึงถูกวิธี อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เก้าตะวัน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 10:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ละเอียดและสลับซับซ้อน หากเราไม่ปฏิบัติและศึกษาให้ดี เอาแต่เพียงศึกษาให้มาก แต่ขาดการปฏิบัติที่ถูกแนวทาง หรือถูกแนวทางแต่ปฏิบัติไม่ครบจนสุดทาง ก็ยากที่จะเข้าใจได้



พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ให้เร่งทำความเพียร เร่งปฏิบัติ รักษาสติไว้ อย่าประมาท



ท่านก็กล่าวอยู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน หมายความว่า หากไม่ปฏิบัติก็ไม่สามารถเข้าใจได้



การตีความในคำสอนของพระพุทธองค์ จึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากเราไม่เข้าใจโดยถ่องแท้ ด้วยการปฏิบัติให้ถูกแนวทาง ก็อาจจะทำมาซึ่งความเสียหายได้ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น



แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าวิธีไหน แนวทางปฏิบัติลักษณะไหน จึงเป็นลักษณะที่ถูกแนวทาง เพราะรูปแบบวิธี ก็แตกต่างกันไป ตามแต่ละสำนัก ตามแต่ละครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่ ผู้ปฏิบัติตีความเอาเองจากพระไตรปิฏกแล้วปฏิบัติตาม



ในที่นี้จะไม่ขอยกพระพุทธพจน์ที่สลับซับซ้อน หาฟังยาก หรือฟังแล้วก็เข้าใจยาก ขอยกแต่เพียงส่วนหนึ่งของ บทสวดมนต์ บทหนึ่ง ที่หลาย ๆ ท่านอาจจะรู้จักกันดี เพราะสวดกันอยู่เป็นประจำ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตะปาฐะ ซึ่งกล่าวไว้ชัดเจน ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้ว่าเป็นแนวทางที่ทำให้พ้นทุกข์



ท่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร



อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจ คือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้ มีอยู่



โย ตัสสาเยวะตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ



นี้คือความดับสนิท เพราะจางไปโดยไม่มีเหลือ ของตัณหา นั่นเอง



จาโค



เป็นความสลัดทิ้ง



ปะฏินิสสัคโค



เป็นความสละคืน



มุตติ



เป็นความปล่อย



อะนาละโย



เป็นความทำให้ไม่มีที่อาศัย ซึ่งตัณหานั้น



พิจารณาดูให้ดี ๆ "เป็นความสละทิ้ง เป็นความสละคืน เป็นความปล่อย ให้ไม่มีที่อาศัยซึ่งตัณหานั้น" สิ่งนี้คือ มรรค ในอริยสัจจ 4 ที่ทรงตรัสรู้ เป็นแก่นของพระธรรม



คำว่า สละทิ้ง สละคืน ปล่อย ให้ไม่มีที่อาศัย นี้ ต้องตีความให้ดี



ในที่นี้ ขอตีความ สละทิ้ง สละคืน ปล่อย ไม่มีที่อาศัย ว่า คือ ละ



ขอไม่ตีความว่าคือการ หาที่ว่าง ๆ ที่จิตพ้นจากกิเลสให้เจอ



ทีนี้ เมื่อตีความว่า ละ ก็มาดูกันต่อ



สิ่งที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้คือ ต้องละ ต้องทำให้ไม่มีที่อยู่ของตัณหา จึงจะพ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิง



ทีนี้เมื่อรู้ว่าต้องละ แล้ว ละ อย่างไร



ก็มาดูต่อ ในบทสวดมนต์เดียวกัน



อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือข้อปฏิบัติ เป็นทางสายกลาง



ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา



เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว



จักขุกะระณี



เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ



ญาณะกะระณี



เป็นเครื่องทำให้เกิดญาณ



อุปะสะมายะ



เพื่อความสงบ



อะภิญญายะ



เพื่อความรู้ยิ่ง



สัมโพธายะ



เพื่อความรู้พร้อม



นิพพานายะ สังวัตตะติ



เป็นไปเพื่อนิพพาน



จะเห็นได้ว่ามีอะไรบ้างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เรื่องมรรค ก็มี "ทำให้เกิดจักษุ", "ทำให้เกิดญาณ", "เพื่อความสงบ","เพื่อความรู้ยิ่ง","เพื่อความรู้พร้อม","เป็นไปเพื่อนิพพาน"



ในที่นี้ขอตีความ ดังนี้



จักษุ คืออะไร ก็คือการมองเห็น มองเห็นอะไร ก็มองเห็นในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนาม



ญาณ คืออะไร ก็คือการเห็นในไตรลักษณ์ ในลักษณะที่เป็น "ญาณ" คือรู้ได้ถ้วนทั่ว ได้ถี่ถ้วน ได้ทัน ได้ละเอียด มากกว่าจักษุ



เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เป็นไปเพื่อนิพพาน



ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อมีจักษุ เมื่อมีญาณ ก็มีความสงบ มีความรู้ยิ่ง มีความรู้พร้อม จึงได้นิพพาน



คือเมื่อมองเห็น แล้วจึงมองเห็นได้ละเอียดขึ้น เห็นในธรรม คือ ธรรมชาติ คือทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นไปตามวิถีของมัน เราควบคุมมันไม่ได้ ก็จะมีความสงบ แล้วก็จะเกิดความรู้ยิ่งขึ้น ด้วยสิ่งที่มองเห็นทั้งหยาบและละเอียด และเมื่อพร้อม จิตจึงคลาย จึงถึงนิพพาน พ้นจากตัณหา



นี้คือ มรรค ที่พระพุทธเจ้าทรงขยายความขึ้นจากบทก่อน



ดังนั้น มรรค ในอริยสัจ 4 ก็คือ เริ่มจากมองให้เห็นในรูปนามก่อน เพื่อให้เห็นในสังขาร ในกิเลส แล้วจึงมองให้เห็นในไตรลักษณ์ พิจารณาไตรลักษณ์จนเกิดจักษุ จนเกิดญาณ ซึ่งก็คือที่เรียกกันว่า วิปัสสนาญาณ แล้วจึงเกิดความรู้ยิ่ง รู้พร้อม เกิดปัญญา เกิดวิชชา พ้นจากอวิชชา ดับรูปนาม ดับตัณหา ตัดสังโยชน์ได้ ถึงนิพพาน



วิธีปฏิบัติใด ไม่ครบตามขั้นตอนนี้ ก็ไม่ถึงซึ่งนิพพาน



ขั้นตอนย่อยที่สำคัญก็มีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ เห็นในรูปนามและพิจารณาไตรลักษณ์เป็นจักษุก่อน แล้วก็ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ต่อไปอีกจนเกิดวิปัสสนาญาณ และด้วยวิปัสสนาญาณ จึงดับรูปนามได้สนิท คือ นิพพาน



หากมีแต่เพียงเห็นรูปนาม แต่ไม่พิจารณาไตรลักษณ์จนเกิดจักษุ ทำให้ไม่เกิดวิปัสสนาญาณ ก็ย่อมไม่ถึงซึ่งนิพพาน



ส่วนลักษณะความแตกต่างระหว่าง คิด, เห็น, จักษุ และ ญาณ ไม่ขออธิบายเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากข้ออธิบายดังกล่าวข้างต้น เพื่อเพียงพอให้เข้าใจในความหมายของศัพท์เท่านั้น เพราะพระพุทธองค์ตรัสไว้แล้วว่าเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน ซึ่งได้จากการปฏิบัติเท่านั้น



ทีนี้ก็พิจารณาดูว่าแนวทางปฏิบัติใดเป็นไปตามนี้หรือไม่ ก็มีอยู่เท่านี้เอง





 
มาดู
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2005, 11:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ...แด่ผู้ที่ขจัดขวากหนามให้เรา..

สาธุ...แด่ผู้ที่ก้าวนำไปข้างหน้า..

สาธุ...แด่ผู้ที่มากด้วยเมตตา..

สาธุ...แด่ผู้ที่อาสาพาเราไป..



....



 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2005, 7:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในธัมมจักกัปวัตนสูตรนั้น ปัญญาในความรู้เห็นตามความเป็นจริงที่เรียกว่าอริยสัจจ์สี่นั้น มีกระบวนการพิจารณาด้วยรอบ 3 อาการ 12 ตรงนี้เองที่เรียกว่าทำให้เกิดวิปัสสนาญาณ ตามลักษณะญาณ 16
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2005, 6:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมชอบยกตัวอย่างประกอบครับ ก็ขอยกเพื่อให้กระทู้นี้มีครบถ้วนทั้งความรู้และตัวอย่างนะครับ

ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านเป็นพระธรรมกถึก ทรงจำธรรมได้มาก ฉลาดในการแสดงธรรม ฉลาดในการเทศน์สอนอธิบายธรรมะยากๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ท่านมีพระภิกษุเป็นลูกศิษย์ลูกหามากมาย และลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายรูป เมื่อได้รับทราบธรรมะที่เหมาะกับจริตของตนแล้ว ก็ลองนำไปปฏิบัติ แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์จำนวนมาก

ต่อมาพระอรหันต์ลูกศิษย์ของท่านรูปหนึ่ง ก็ได้สอดญาณเพื่อตรวจสอบวาระจิตของอาจารย์ของท่านว่าเป็นอย่างไร อ้าวอาจารย์เป็นเพียงแค่โค้ชที่ดีเท่านั้น แต่ไม่ใช่นักกีฬาที่ดี อาจารย์ยังไม่บรรลุธรรมขั้นไหนเลย

จึงคิดจะไปโปรดอาจารย์ โดยเข้ามาถามอาจารย์ว่า พอจะมีเวลาว่างสักวันไหม ตนมีปัญหาบางอย่างอยากจะปรึกษา อาจารย์บอกว่า ตั้งวันหนึ่งเลยหรือ ไม่มีเวลาหรอก ตอนนี้อาจารย์ต้องสอนลูกศิษย์คนอื่นๆอีกตั้งมากมาย พระอรหันต์ถามต่อว่า อาทิตย์นี้ไม่ว่าง งั้นอาทิตย์หน้าก็ได้ อาจารย์ก็บอกว่า อาทิตย์หน้าก็ไม่ว่าง พระอรหันต์ถามต่อว่า งั้นเดือนหน้าล่ะ อาจารย์ก็ยังบอกว่า เดือนหน้าก็ไม่ว่าง พระอรหันต์ท่านจึงให้สติว่า อาจารย์มีแต่เวลาว่างให้ลูกศิษย์ที่สอนอยู่เท่านั้น อาจารย์ไม่มีเวลาว่างให้ตัวเองเลย แล้วก็เหาะไปต่อหน้า ทำให้อาจารย์รู้ว่า ลูกศิษย์บรรลุธรรมแล้ว แต่เรายังไม่บรรลุเลย แต่ไม่เป็นไรความรู้ทางทฤษฎีมากอย่างเรานี่ถ้าหาเวลาลงมือจริงๆ สักวันสองวันต้องบรรลุธรรมได้แน่

ว่าแล้วอาจารย์ก็แอบหนีลูกศิษย์ที่ยังสอนอยู่เข้าป่าไป ตั้งใจจะปฏิบัติธรรมสักวันสองวัน จนบรรลุแล้ว ค่อยกลับมาสอนศิษย์ใหม่

ปรากฏว่า ท่านลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังวันหนึ่งก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ปีหนึ่งก็แล้ว ยังไม่บรรลุธรรมอันใด ทบทวนความรู้ทางทฤษฎีกลับไปกลับมา ตนเองก็จำได้ขึ้นใจจนหมด อริยสัจ 4 ปฏิจสมุทปบาท ไตรลักษณ์ มรรคมีองค์แปด ฯลฯ แต่ทำไมถึงทำไม่ได้ ว่าแล้วก็ปฏิบัติต่อไป จากปีหนึ่ง ก็กลายเป็น 10 ปี บัดนี้ตัวท่านชราภาพมากแล้ว ความรู้ทุกอย่างก็ได้ลองทำหมดแล้ว แต่ทำไมถึงไม่บรรลุ ท่านเสียใจถึงที่สุด ท่านก็ได้ร้องไห้ออกมา

ระหว่างนั้นเองท่านก็ได้ยินเสียงผู้หญิงมาร้องไห้อยู่ไม่ไกลนัก ท่านจึงหยุดแล้วไปสอบถามว่า นางร้องไห้ทำไม ผู้หญิงคนนี้ก็เลยบอกว่า อยากบรรลุธรรม เลยมาร้องไห้ พระภิกษุจึงบอกว่า (ด้วยความเป็นอาจารย์เก่า) การบรรลุธรรม ไม่อาจได้มาด้วยการร้องไห้หรอก ต้องปฏิบัติธรรมจึงจะบรรลุ ผู้หญิงเลยบอกว่า ก็เห็นท่านมาร้องไห้อยู่ เลยคิดว่าร้องไห้แล้วจะได้บรรลุ จึงมาร้องไห้บ้าง ว่าแล้วก็กลับร่างเป็นเทพธิดาแล้วหายไป

พระภิกษุได้สติว่า "อ๋อ จุดอ่อนอยู่ตรงนี้เอง ความถึอตัว ทะนงตนว่ามีความรู้มากนี้เอง คือ สิ่งขวางกั้นการบรรลุธรรม ท่านจึงปรับใจใหม่ ทำใจเหมือนกับตนไม่ใช่อาจารย์ ตนไม่มีความรู้ใดๆมากมาย ตนเป็นแค่คนธรรมดา แล้วลงมือปฏิบัติอีกครั้ง แล้วท่านก็ได้บรรลุธรรมสมปรารถนาครับ

 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2005, 9:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เสริมความเห็นในตัวอย่างนิดหนึ่งนะครับ พระภิกษุอาจารย์รูปนี้ท่านเข้าใจว่า ท่านปฏิบัติตามอริยสัจ 4 มรรคมีองค์แปด ไตรลักษณ์ ฯลฯ ได้ถูกต้องแล้วแต่ทำไมไม่บรรลุ แต่พอคลายทิฐิมานะว่าตนมีความรู้มาก แล้วปฏิบัติใหม่อีกครั้งก็ได้บรรลุ ถ้าดูเผินๆ เหมือนกับว่ามีเทคนิคใหม่ให้ได้บรรลุธรรม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เป็นแต่เพียงท่านเข้าใจผิดว่าปฏิบัติถูกต้องสมบูรณ์แล้ว แต่ในความเป็นจริงยังไม่สมบูรณ์ครับ เช่น

อริยสัจ4 ก็มีทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางดับทุกข์ มองเห็นชีวิตว่าเป็นทุกข์ และตัณหาความทะยานอยากเป็นเหตุแห่งทุกข์ในเบื้องแรก อวิชชาเป็นเบื้องปลาย ตามความเข้าใจของผมเห็นว่า ท่านยังเห็นทุกข์ไม่หมด ท่านรู้สึกอยู่ในใจตลอดว่า ความรู้ธรรมะที่ตนมีไม่ใช่ทุกข์ แต่เป็นสุข เพราะช่วยสอนศิษย์ได้ สอนได้แล้วก็ภูมิใจ เมื่อรู้สึกเช่น ก็เท่ากับว่าไม่เห็นทุกข์อริยสัจ

มรรคมีองค์แปด เมื่อเป็นเช่นนี้ ความคิดชอบ ความออกจากกาม หนึ่งในมรรคมีองค์แปด ก็ไม่ถูกสมบูรณ์ เพราะยังชอบใจลึกๆ ในความรู้ธรรมะของตนเป็นหนึ่งในกามละเอียดอย่างหนึ่ง

ไตรลักษณ์ ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ เห็นทุกสิ่งในโลกไม่ใช่ตัวตนของเรา ซึ่งท่านเป็นพระภิกษุสิ่งของ ร่างกายท่านก็คิดตามได้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา แต่ความรู้ ท่านยังติดลึกๆ ในใจว่าเป็นของท่าน เป็นตัวเรา ของเรา อยู่นั่นเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ท่านก็ทรงจำมาจากอาจารย์คนก่อนเท่านั้น คือ รู้จำ มิใช้รู้แจ้งด้วยตนเอง

ดังนั้น ที่คิดว่าสมบูรณ์จึงไม่สมบูรณ์ครับ







 
วัด สายไหม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2005, 2:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกวิธี และง่ายๆโดย หลวงปู่ชา อรหันต์องค์จริง ไม่ได้โม้นะเนี่ย

วัด สายไหม



ปฏิบัติกันเถิด





วิธีปฏิบัติ



จงหายใจเข้า หายใจออก อยู่อย่างนี้แหละ อย่าใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น ใครจะยืนเอาก้นขึ้นฟ้าก็ช่าง อย่าไปเอาใจใส่ อยู่แต่กับลมหายใจเข้าออก ให้ความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ ทำอยู่อย่างนี้แหละ



ไม่ไปเอาอะไรอื่น ไม่ต้องคิดว่าจะเอานั่นเอานี่ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น..ให้รู้จักแต่ลมเข้า...ลมออก...ลมเข้า...ลมออก...พุท เข้า โธ ออกอยู่กับลมหายใจอย่างนี้แหละ เอาอันนี้เป็นอารมณ์ ให้ทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก ลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก ให้รู้จักอยู่อย่างนั้น จนจิตสงบ หมดความรำคาญ ไม่ฟุ้งซ่านไปไหนทั้งนั้น ให้มีแต่ลมออกลมเข้า ลมออกลมเข้าอยู่อย่างนั้น ให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ยังไม่ต้องมีจุดหมายอะไรหรอก นี่แหละเบื้องแรกของการปฏิบัติ



เมื่อใจสงบ กายก็สบาย

ถ้ามันสบาย ถ้ามันสงบ มันก็จะรู้จักของมันเอง ทำไปเรื่อยๆลมก็จะน้อยลง อ่อนลง กายก็อ่อน จิตก็อ่อน มันเป็นไปตามเรื่องของมันเอง นั่งก็สบาย ไม่ง่วง ไม่โงก ไม่หาวนอน จะเป็นอย่างใด ดูมันคล่องของมันเองไปทุกอย่าง นิ่ง สงบ จนพอออกจากสมาธิแล้ว จึงมานึกว่า มันเป็นอย่างใดหนอ แล้วก็นึกถึงความสงบอันนั้น ไม่ลืมสักที



สิ่งที่ติดตามเราเรียกว่าสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว เราจะพูดอะไร จะทำอะไร จะไปนั่น จะมานี่ จะไปบิณฑบาตก็ดีจะฉันจังหันก็ดี จะล้างบาตรก็ดี ก็ให้รู้จักเรื่องของมัน ให้มีสติอยู่เสมอ ติดตามมันไป ให้ทำอยู่อย่างนี้



การเดินจงกรม

เมื่อจะเดินจงกรม ก็ให้มีทางเดินสักทางหนึ่ง จากต้นไม้ต้นนี้ไปสู่ต้นไม้ต้นนั้นก็ได้ ให้ระยะทางมันยาวสัก ๗-๘ วา เดินจงกรมมันก็เหมือนกับทำสมาธิ ให้กำหนดความรู้สึกขึ้นในใจว่า "บัดนี้ เราจะทำความเพียร จะทำจิตให้สงบ มีสติสัมปชัญญะให้กล้า"



การกำหนดก็แล้วแต่ละคน ตามใจ บางคนออกเดินก่อนก็แผ่เมตตาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สารพัดอย่าง แล้วก็ก้าวเท้าขวาออกก่อนให้พอดีๆ ให้นึก "พุทโธ...พุทโธ..." ตามการก้าวเดินนั้น ให้มีความรู้ในอารมณ์นั้นไปเรื่อย ถ้าใจเกิดฟุ้งซ่าน หยุด ให้มันสงบ ก้าวเดินใหม่ให้มีความรู้ตัวอยู่เรื่อยๆ ต้นทางออกก็รู้จัก รู้จักหมด ต้นทางกลางทาง ปลายทาง ทำความรู้นี้ให้ติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ



เดินจงกรมทำให้เกิดปัญญา

นี่เป็นวิธีทำ กำหนดเดินจงกรม เดินจงกรมก็คือ เดินกลับไปกลับมา เดินจงกรมไม่ใช่ของง่ายนะ บางคนเห็นเดินกลับไปกลับมาเหมือนคนบ้า แต่หารู้ไม่ว่าการเดินจงกรมนี่ทำให้เกิดปัญญานักละเดินกลับไปกลับมา ถ้าเหนื่อยก็หยุด กำหนดจิตให้นิ่ง กำหนดลมหายใจให้สบาย เมื่อสบายพอสมควรแล้ว ก็ทำความรู้สึกกำหนดการเดินอีก แล้วอิริยาบถมันก็เปลี่ยนไปเอง การยืน การเดิน การนั่ง การนอนมันเปลี่ยน คนเราจะนั่งรวดเดียวไม่ได้ ยืนอย่างเดียวไม่ได้นอนอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันจะต้องอยู่ตามอิริยาบถเหล่านี้ ทำอิริยาบถทั้งสี่ให้มีประโยชน์ ให้มีความรู้สึกตัวอยู่อย่างนี้ นี่คือการทำ ทำไป ทำไป มันไม่ใช่ของง่ายๆหรอก



ถ้าจะพูดให้ดูง่าย ก็นี่ เอาแก้วใบนี้ตั้งไว้นี่สองนาที ได้สองนาทีก็ย้ายไปตั้งไว้นั้นสองนาที แล้วก็เอามาตั้งไว้นี่ ให้ทำอยู่อย่างนี้ ทำไปทำไป ทำจนให้มันทุกข์ ให้มันสงสัย ให้มันเกิดปัญญาขึ้น นี่ คิดอย่างใดหนอ แก้วยกไปยกมา เหมือนคนบ้า มันก็จะคิดของมันไปตามเรื่อง ใครจะว่าอะไรก็ช่าง ยกอยู่อย่างนั้น สองนาทีนะอย่าเผลอ ไม่ใช่ห้านาที พอสองนาทีก็เอามาตั้งไว้นี่ กำหนดอยู่อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องของการกระทำ



วิธีดูลมหายใจ

จะดูลมหายใจเข้าออกก็เหมือนกัน ให้นั่งขาขวาทับขาซ้าย ให้ตัวตรง สูดลมเข้าไปให้เต็มที่ ให้หายลงไปให้หมดในท้อง สูดเข้าให้เต็มแล้วปล่อยออกให้หมดปอด อย่าไปบังคับมัน ลมจะยาวแค่ไหนจะสั้นแค่ไหน จะค่อยแค่ไหน ก็ช่างมัน ให้มันพอดีๆกับเรา นั่งดูลมเข้าลมออกให้สบายอยู่อย่างนั้น อย่าให้มันหลง ถ้าหลงก็ให้หยุด ดูว่ามันไปไหน มันจึงไม่ตามลม ให้หามันกลับมา ให้มันมาแล่นตามลมอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็จะพบของดีสักวันหนึ่งหรอก ให้ทำอยู่อย่างนั้นทำเหมือนกับว่าจะไม่ได้อะไร ไม่เกิดอะไร ไม่รู้ว่าใครมาทำ แต่ก็ทำอยู่เช่นนั้น เหมือนข้าวอยู่ในฉาง แล้วเอาไปหว่านลงดิน ทำเหมือนจะทิ้งหว่านลงในดินทั่วไป โดยไม่สนใจ มันกลับเกิดหน่อ เกิดกล้า เอาไปดำกลับได้กินข้าวเม่าขึ้นมาอีก นั่นแหละเรื่องของมัน



อันนี้ก็เหมือนกัน นั่งเฉยๆ บางครั้งก็จะนึกว่า "จะนั่งเฝ้าดูมันทำไมนะ ลมนี่น่ะ ถึงไม่เฝ้ามัน มันก็ออกก็เข้าของมันอยู่แล้ว" มันก็หาเรื่องคิดไปเรื่อยแหละ มันเป็นความเห็นของคน เรียกว่าอาการของจิต ก็ช่างมัน พยายามทำไปๆให้มันสงบ



เมื่อสงบ ลมหายใจก็จะพอดีของมัน

เมื่อมันสงบแล้ว ลมจะน้อยลง ร่างกายก็จะอ่อนลง จิตก็อ่อนลง มันจะอยู่พอดีของมัน จนกระทั่งว่านั่งอยู่เฉยๆเหมือนไม่มีลมหายใจเข้าออก แต่มันก็ยังอยู่ได้ ถึงตอนนี้ อย่าตื่น อย่าวิ่งหนี เพราะคิดว่าเราหยุดหายใจแล้ว นั่นแหละมันสงบแล้ว ไม่ต้องทำอะไรนั่งเฉยๆดูมันไปอย่างนั้นแหละ



บางทีจะคิดว่า เอ เรานี่หายใจหรือเปล่าหนอ อย่างนี้ก็เหมือนกัน มันคิดไปอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ช่างมัน ปล่อยไปตามเรื่องของมัน ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้น ให้รู้มัน ดูมัน แต่อย่าไปหลงใหลกับมัน ทำไป ทำไป ทำให้บ่อยๆไว้ ฉันจังหันเสร็จ เอาจีวรไปตาก แล้วเดินจงกรมทันที นึก "พุทโธ...พุทโธ..." ไว้ นึกไปเรื่อย ตลอดเวลา เดิน เดินไป นึกไป ให้ทางมันสึก ลึกลงไปสักครึ่งแข้ง หรือถึงหัวเข่าก็ให้เดินอยู่อย่างนั้นแหละ



ให้ดู ให้รู้ แต่อย่าหลง

ไม่ใช่เดินยอกแยกๆ คิดโน่นคิดนี่เที่ยวเดียวก็เลิก ขึ้นกุฏิมองดูพื้นกระดาน เออ มันน่านอน ก็ลงนอนกรนครอกๆ อย่างนี้ก็ไม่เห็นอะไรเท่านั้น



ทำไปจนขี้เกียจทำ ขี้เกียจมันจะไปสิ้นสุดที่ไหน หามันให้เห็นที่สุดของขี้เกียจมันจะอยู่ตรงไหน มันจะเหนื่อยตรงไหน มันจะเป็นอย่างไรก็ให้ถึงที่สุดของมันจึงจะได้ ไม่ใช่จะมาพูดบอกตัวเองว่า สงบสงบ สงบ แล้วพอนั่งปุ๊บก็จะให้มันสงบเลย ครั้นมันไม่สงบอย่างคิดก็เลิก ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีวันได้สงบ



ความสงบ พูดไม่ยาก แต่ทำยาก

แต่พูดมันง่าย หากทำแล้วมันก็ยาก เหมือนกับพูดว่า "ฮึ ทำนาไม่เห็นยากเลย ไปทำนาดีกว่า" ครั้นพอไปทำนาเข้า วัวก็ไม่รู้จักควายก็ไม่รู้จัก คราดไถก็ไม่รู้จักทั้งนั้น เรื่องการทำไร่ทำนานี่ ถ้าแค่พูดก็ไม่ยาก แต่พอลงมือทำจริงๆสิจึงรู้ว่ามันยากอย่างนี้เอง



หาความสงบอย่างนี้ ใครๆก็อยากสงบด้วยกันทั้งนั้น ความสงบมันก็อยู่ตรงนั้นแหละ แต่ว่าเราไม่ทันจะรู้จักมัน จะตามจะพูดกันสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักขึ้นมาได้หรอก



ฉะนั้น ให้ทำ ให้ตามรู้จักให้ทันว่า กำหนดลมเข้าออก กำหนดว่าพุทโธ...พุทโธ... เอาเท่านี้แหละ ไม่ให้คิดไปไหนทั้งนั้น ในเวลานี้ให้มีความรู้อยู่อย่างนี้ ทำอยู่อย่างนี้ ให้เรียนอยู่เท่านี้แหละ ให้ทำไปๆอย่างนี้แหละ จะนึกว่าทำอยู่นี่ก็ไม่เห็นมันเป็นอะไรเลย ไม่เป็นไรไม่เป็นก็ให้ทำไป ไม่เห็นก็ให้ทำไป ให้ทำไปอยู่นั่นแหละ แล้วเราจะรู้จักมัน



เอาละนะ ทีนี้ลองทำดู ถ้าเรานั่งอย่างนี้ แล้วมันรู้เรื่อง ใจมันจะพอดีๆ พอจิตสงบแล้ว มันก็รู้เรื่องของมันเองหรอก ต่อให้นั่งตลอดคืนจนสว่าง ก็จะไม่รู้สึกว่านั่ง เพราะมันเพลิน พอเป็นอย่างนี้ทำได้ดีแล้ว อาจจะอยากเทศน์ให้หมู่พวกฟังจนคับวัดคับวาไปก็ได้ มันเป็นอย่างนั้นก็มี



เมื่อจิตสงบ อย่าปล่อยไปตามอารมณ์

เหมือนอย่างตอนที่พ่อสางเป็นผ้าขาว คืนหนึ่งเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิ มันเกิดแตกฉานขึ้นมา อยากเทศน์ เทศน์ไม่จบ เราได้ยินเสียง นั่งฟังเสียงเทศน์ "โฮ้ว โฮ้ว โฮ้ว" อยู่ที่กอไผ่โน่น ก็นึกว่า "นั่นผู้ใดหนอเทศน์กันกับใคร หรือว่าใครมานั่งบ่นอะไรอยู่" ไม่หยุดสักทีก็เลยถือไฟฉายลงไปดู ใช่แล้ว ผ้าขาวสางมีตะเกียงจุด นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้กอไผ่ เทศน์เสียจนฟังไม่ทัน



ก็เรียก "สาง เจ้าเป็นบ้าหรือ"



เขาก็ตอบว่า "ผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร มันอยากเทศน์ นั่งก็ต้องเทศน์ เดินก็ต้องเทศน์ ไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ไหน"



เราก็นึกว่า "เฮอ คนนี่มันเป็นไปได้ทั้งนั้น เป็นไปได้สารพัดอย่าง"



จงดูตัวเอง แต่อย่าปล่อย

ฉะนั้น ให้ทำอย่าหยุด อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ ให้ฝืนทำไปถึงจะขี้คร้านก็ให้ทำ จะขยันก็ให้ทำ จะนั่งก็ทำ จะเดินก็ทำ เมื่อจะนอนก็ให้กำหนดลมหายใจว่า "ข้าพเจ้าจะไม่เอาความสุขในการนอน"สอนจิตไว้อย่างนี้ พอรู้สึกตัวตื่น ก็ให้ลุกขึ้นมาทำความเพียรต่อไป



เวลาจะกิน ก็ให้บอกว่า "ข้าพเจ้าจะบริโภคอาหารนี้ ไม่ได้บริโภคด้วยตัณหา แต่เพื่อเป็นยาปนมัตร์ เพื่อความอยู่รอดในมื้อหนึ่งวันหนึ่ง เพื่อให้ประกอบความเพียรได้เท่านั้น"



เวลาจะนอนก็สอนมัน เวลาฉันจังหันก็สอนมัน ให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย จะยืนก็ให้รู้สึก จะนอนก็ให้รู้สึก จะทำอะไรสารพัดอย่าง ก็ให้ทำอย่างนั้น เวลาจะนอนให้นอนตะแคงข้างขวา กำหนดอยู่ที่ลมหายใจพุทโธ...พุทโธ... จนกว่าจะหลับ ครั้นตื่นก็เหมือนกับมีพุทโธอยู่ไม่ได้ขาดตอนเลย จึงจะเป็นความสงบเกิดขึ้นมา มันเป็นสติอยู่ตลอดเวลา อย่าไปมองดูผู้อื่น อย่าไปเอาเรื่องของผู้อื่น ให้เอาแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น



การนั่งสมาธิต้องใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง

การนั่งสมาธินั้น นั่งให้ตัวตรง อย่าเงยหน้ามากไป อย่าก้มหน้าเกินไป เอาขนาดพอดี เหมือนพระพุทธรูปนั่นแหละ มันจึงสว่างไสวดี



ครั้นจะเปลี่ยนอิริยาบถ ก็ให้อดทนจนสุดขีดเสียก่อน ปวดก็ให้ปวดไป อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยน อย่าคิดว่า "บ๊ะ ไม่ไหวแล้ว พักก่อนเถอะน่า" อดทนมันจนปวดถึงขนาดก่อน พอมันถึงขนาดแล้วก็ให้ทนต่อไปอีก



ทนไป ทนไป จนมันไม่มีแก่ใจจะว่า พุทโธ เมื่อไม่ว่า พุทโธก็เอาตรงที่มันเจ็บนั่นแหละมาแทน "อุ๊ย! เจ็บ เจ็บแท้ๆหนอ" เอาเจ็บนั่นมาเป็นอารมณ์แทนพุทโธก็ได้ กำหนดให้ติดต่อกันไปเรื่อย นั่งไปเรื่อย ดูซิว่าเมื่อปวดจนถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น



เจ็บเองก็หายเอง

พระพุทธเจ้าท่านว่า มันเจ็บเอง มันก็หายเอง ให้มันตายไปก็อย่าเลิก บางครั้งมันเหงื่อแตกเม็ดโป้งๆเท่าเม็ดข้าวโพด ไหลย้อยมาตามอก ครั้นทำจนมันได้ข้ามเวทนาอันหนึ่งแล้วมันก็รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ให้ค่อยทำไปเรื่อยๆ อย่าเร่งรัดตัวเองเกินไป ให้ค่อยทำไปๆ



ฉันจังหันอยู่ก็ให้รู้จัก เมื่อเคี้ยวกลืนลงไปน่ะ มันลงไปถึงไหนอาหารที่แสลงโรคมันผิดหรือถูกกับธาตุขันธ์ ก็รู้จักหมด ฉันจังหันก็ลองกะดู ฉันไป ฉันไป กะดูว่า อีกสักห้าคำจะอิ่มก็ให้หยุดเสีย แล้วดื่มน้ำเข้าไป ก็จะอิ่มพอดี



ลองทำดูซิว่าจะทำได้หรือไม่ แต่คนเรามันไม่เป็นอย่างนั้น พอจะอิ่มก็ว่า เติมอีกสักห้าคำเถอะ มันว่าไปอย่างนั้น มันไม่รู้จักสอนตัวเองอย่างนี้



พระพุทธเจ้าท่านให้ฉันไป กำหนดดูไป ถ้าพออีกสักห้าคำจะอิ่มก็หยุด ดื่มน้ำเข้าไป มันก็จะพอดี จะไปเดิน ไปนั่ง มันก็ไม่หนักตัว ภาวนาก็ดีขึ้น แต่คนเรามันไม่อยากทำอย่างนั้น พออิ่มเต็มที่แล้วยังเติมเข้าไปอีกห้าคำ มันเป็นไปอย่างนั้น เรื่องของกิเลสตัณหากับเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มันไปคนละทาง ถ้าคนที่ไม่ต้องการฝึกจริงๆแล้ว ก็จะทำไม่ได้ ขอให้เฝ้าดูตนเองไปเถิด



ทีนี้เรื่องนอน ก็ให้ระวัง มันขึ้นอยู่กับการที่เราจะต้องรู้จักอุบายของมัน บางครั้งอาจจะนอนไม่เป็นเวลา นอนหัวค่ำบ้าง นอนสายบ้าง แต่ลองเอาอย่างนี้ จะนอนดึกนอนหัวค่ำก็ช่างมัน แต่ให้นอนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น



พอรู้สึกตัวตื่นให้ลุกขึ้นทันที อย่ามัวเสียดายการนอน เอาเท่านั้น เอาครั้งเดียว จะนอนมากนอนน้อย ก็เอาครั้งเดียว ให้ตั้งใจไว้ว่า พอรู้สึกตัว...ตื่น ถึงนอนไม่อิ่ม ก็ลุกขึ้นไปล้างหน้า แล้วก็เดินจงกรม หรือนั่งสมาธิไปเลย ให้รู้จักฝึกตัวเองอย่างนี้ เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่จะรู้ เพราะคนอื่นบอก จะรู้ได้เพราะการฝึก การปฏิบัติ การกระทำ จึงให้ทำไปเลย



จิตฝึกยาก แต่อย่าท้อถอย

เรื่องทำจิตนี้เป็นเรื่องแรก ท่านเรียกว่าทำกรรมฐาน เวลานั่งให้จิตมีอารมณ์เดียวเท่านั้น ให้อยู่กับลมเข้า ลมออก แล้วจิตก็จะค่อยสงบไปเรื่อย ถ้าจิตวุ่นวาย ก็จะมีหลายอารมณ์ เช่น พอนั่งปุ๊บ โน่นคิดไปบ้านโน้น บ้างก็อยากกินก๋วยเตี๋ยว บวชใหม่ๆมันก็หิวนะ อยากกินข้าว กินน้ำ คิดไปทั่ว หิวโน่น อยากนี่ สารพัดอย่างนั่นแหละ มันเป็นบ้า จะเป็นก็ให้มันเป็นไป เอาชนะมันได้เมื่อไหร่ก็หายเมื่อนั้น



ให้ทำไปเถิด เคยเดินจงกรมบ้างไหม เป็นอย่างไรขณะที่เดินจิตกระเจิดกระเจิงไปหรือ ก็หยุดมันซิ ให้มันกลับมา ถ้ามันไปบ่อยๆก็อย่าหายใจ กลั้นใจเข้า พอใจจะขาด มันก็ต้องกลับมาเอง ไม่ว่ามันจะเก่งปานใด นั่งให้มันคิดทั่วทิศทั่วแดนดูเถอะ กลั้นใจเอาไว้ อย่าหยุด ลองดู พอใจจะขาด มันก็กลับมา จงทำใจให้มีกำลัง การฝึกจิตไม่เหมือนฝึกสัตว์ จิตนี่เป็นของฝึกยากแท้ๆ แต่อย่าไปท้อถอยง่ายๆ ถ้ามันคิดไปทั่วทิศ ก็กลั้นใจมันไว้ พอใจมันจะขาด มันก็คิดอะไรไม่ออก มันก็วิ่งกลับมาเอง ให้ทำไปเถอะ



ในพรรษานี้ทำให้มันรู้เรื่อง กลางวันก็ช่าง กลางคืนก็ตาม ให้ทำไป แม้จะมีเวลาสักสิบนาทีก็ทำ กำหนดทำไปเรื่อยๆ ให้ใจมันจดจ่อให้มีความรู้สึกอยู่เสมอ อยากจะพูดอะไรก็อย่าพูด หรือกำลังพูดก็ให้หยุด ให้ทำอันนี้ให้ติดต่อกันไว้



ยึดสายน้ำเป็นหลักปฏิบัติธรรม

เหมือนอย่างกับน้ำในขวดนี่แหละ เมื่อเรารินมันทีละน้อย มันก็จะหยดนิด...นิด...นิด พอเราเร่งรินให้เร็วขึ้น มันก็จะไหลติดต่อเป็นสายน้ำเดียวกัน ไม่ขาดตอนเป็นหยดเหมือนเวลาที่เรารินทีละน้อยๆสติของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเร่งมันเข้า คือ ปฏิบัติให้สม่ำเสมอแล้วมันก็จะติดต่อกันเป็นสายน้ำ ไม่เป็นน้ำหยด หมายความว่า ไม่ว่าเราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ความรู้อันนี้มันไม่ขาดจากกัน มันจะไหลติดต่อกันเป็นสายน้ำ การปฏิบัติจิตนี่เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวมันคิดนั่นคิดนี่ ฟุ้งซ่านไม่ติดต่อกัน มันจะคิดไปไหนก็ช่างมัน ให้เราพยายามทำให้เรื่อยเข้าไว้ แล้วมันจะเหมือนหยดแห่งน้ำ มันจะทำความห่างให้ถี่ ครั้นถี่เข้าๆมันก็ติดกันเป็นสายน้ำ ทีนี้ความรู้ของเราก็จะเป็นความรู้รอบ จะยืนก็ตาม จะนั่งก็ตาม จะนอนก็ตาม จะเดินก็ตาม ไม่ว่าจะทำอะไรสารพัดอย่าง มันก็มีความรู้อันนี้รักษาอยู่



ไปทำเสียแต่เดี๋ยวนี้นะ ไปลองทำดู แต่อย่าไปเร่งให้มันเร็วนักล่ะ ถ้ามัวแต่นั่งคอยดูว่ามันจะเป็นอย่างไรละก็ มันไม่ได้เรื่องหรอก แต่ให้ระวังด้วยนะว่า ตั้งใจมากเกินไป ก็ไม่เป็น ไม่ตั้งใจเลย ก็ไม่เป็น



แต่บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิหรอก เมื่อเสร็จงานก็นั่งทำจิตให้ว่างๆ มันก็พอดีขึ้นมาปั๊บ ดีเลย สงบ ง่าย อย่างนี้ก็มี ถ้าทำให้มันถูกเรื่อง



หมดแล้ว เอาละ เอวังเท่านี้ละ.







 
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2005, 9:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง