Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 วิปัสสนูปกิเลส - และตัวอย่างเรื่องจริงของหลวงปู่ดุลย์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 10:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔๘. วิปัสสนูปกิเลส

ในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ในบางครั้งก็มีอุปสรรคขัดข้องต่างๆ รวมทั้งเกิดการหลงผิดบ้างก็มี ซึ่ง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแนะนำและช่วยแก้ไขแก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทันท่วงที ดังตัวอย่างที่ยกมานี้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เกิดปัญหาเกี่ยวกับ วิปัสสนูปกิเลส ซึ่งหลวงปู่เคยอธิบายเรื่องนี้ว่า เมื่อได้ทำสมาธิจนสมาธิเกิดขึ้น และได้รับความสุขอันเกิดแต่ความสงบพอสมควรแล้ว จิตก็ค่อยๆ หยั่งลงสู่สมาธิส่วนลึก นักปฏิบัติบางคนจะพบอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส มี โอภาส คือเห็นแสงสว่าง และ อธิโมกข์ คือความน้อมใจเชื่อ เป็นต้น

พลังแห่งโอภาสนั้น สามารถนำจิตไปสู่สภาวะต่างๆ ได้อย่างน่าพิศวงเช่น จิตอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็ได้เห็นได้รู้ในสิ่งนั้น แม้แต่กระทั่งได้กราบได้สนทนากับพระพุทธเจ้าก็มี

เจ้าวิปัสสนูปกิเลสนี้ มีอิทธิและอำนาจ จะทำให้เกิดความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรง โดยไม่รู้เท่าทันว่าเป็นการสำคัญผิด ซึ่งเป็นการสำคัญผิดอย่างสนิทสนมแนบเนียน และเกิดความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบๆ บางคนถึงกับสำคัญตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วยซ้ำ บางรายสำคัญผิดอย่างมีจิตกำเริบยโสโอหังถึงขนาดที่เรียกกันว่า เป็นบ้าวิกลจริตก็มี

อย่างไรก็ตาม วิปัสสนูปกิเลส ไม่ได้เป็นการวิกลจริต แม้บางครั้งจะมีอาการคล้ายคลึงคนบ้าก็ตาม แต่คงเป็นเพียงสติวิกล อันเนื่องจากการมีจิตตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก แล้วสติตามควบคุมไม่ทัน ไม่ได้สัดไม่ได้ส่วนกันเท่านั้น ถ้าสติตั้งไว้ได้สัดส่วนกัน จิตก็จะสงบเป็นสมาธิลึกลงไปอีก โดยยังคงมีสิ่งอันเป็นภายนอกเป็นอารมณ์อยู่นั่นเอง

เช่นเดียวกับการฝึกสมาธิของพวกฤาษีชีไพร ที่ใช้วิธี เพ่งกสิณ เพื่อให้เกิดสมาธิ ในขณะแห่งสมาธิเช่นนี้ เราเรียกอารมณ์นั้นว่า ปฏิภาคนิมิต และเมื่อเพิกอารมณ์นั้นออก โดยการย้อนกลับไปสู่ "ผู้เห็นนิมิต" นั้น นั่นคือย้อนสู่ต้นตอ คือ จิต นั่นเอง จิตก็บรรลุถึงสมาธิขั้นอัปปนาสมาธิ อันเป็นสมาธิจิตขั้นสูงสุดได้ทันที

ในทางปฏิบัติที่มั่นคงและปลอดภัยนั้น หลวงปู่ดูลย์ ท่านแนะนำว่า "การปฏิบัติแบบจิตเห็นจิต เป็นแนวทางปฏิบัติที่ลัดสั้น และบรรลุเป้าหมายได้ฉับพลัน ก้าวล่วงภยันตรายได้สิ้นเชิง ทันทีที่กำหนดจิตใจได้ถูกต้อง แม้เพียงเริ่มต้นผู้ปฏิบัติก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตัวเองเป็นลำดับๆ ไป โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยครูบาอาจารย์อีก

ในประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พอจะเห็นตัวอย่างของวิปัสสนูปกิเลส ๒ ตัวอย่าง คือ กรณีของ ท่านหลวงตาพวง และกรณีของ ท่านพระอาจารย์เสร็จ

(มีต่ออยู่ด้านล่าง)
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ


แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 31 ก.ค.2008, 10:18 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 10:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔๙. เรื่องของหลวงตาพวง

ศิษย์ของหลวงปู่ ชื่อ หลวงตาพวง ได้มาบวชตอนวัยชรา นับเป็นผู้บุกเบิก สำนักปฏิบัติธรรมบนเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

หลวงตาพวง ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤติปฏิบัติ เพราะท่านสำนึกตนว่ามาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย จึงเร่งความเพียรตลอดวัน ตลอดคืน

พอเริ่มได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกับวิปัสสนูปกิเลสอย่างร้ายแรง เกิดความสำคัญผิด เชื่อมั่นอย่างสนิทว่าตนเองได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นผู้สำเร็จผู้เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการ ได้เล็งญาณ (คิดเอง) ไปจนทั่วสากลโลก เห็นว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าถึงธรรมเสมอด้วยตน

บังเกิดจิตคิดเอ็นดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย ใคร่จะไปโปรดให้พ้นจากทุกข์โทษความโง่เขลา เล็งเห็นพระสงฆ์ทั้งหมด ตลอดจนครูบาอาจารย์ ล้วนแต่ยังไม่รู้ จึงตั้งใจจะต้องไปโปรด หลวงปู่ดูลย์ ผู้เป็นพระอาจารย์เสียก่อน

ดังนั้น หลวงตาพวงจึงได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาจากเขาพนมรุ้ง เดินทางข้ามจังหวัดมาไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตร มาจนถึงวัดบูรพาราม หวังจะแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟัง

หลวงตาพวงมาถึงวัดบูรพาราม เวลา ๖ ทุ่มกว่า กุฏิทุกหลังปิดประตูหน้าต่างหมดแล้ว พระเณรจำวัดกันหมด หลวงปู่ก็เข้าห้องไปแล้ว ท่านก็มาร้องเรียกหลวงปู่ด้วยเสียงอันดัง

ตอนนั้นท่านเจ้าคุณ พระโพธินันทมุนี ยังเป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นว่า "หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อดูลย์…" ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงตาพวง จึงลุกไปเปิดประตูรับ

สังเกตดูอากัปกิริยาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก เพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่าตามธรรมดาท่านหลวงตาพวง มีความเคารพอ่อนน้อมต่อหลวงปู่พูดเสียงเบา ไม่บังอาจระบุชื่อของท่าน แต่คืนนี้ค่อนข้างจะพูดเสียงดังและระบุชื่อด้วยว่า

"หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว"

ครั้นเมื่อหลวงปู่ออกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงปู่ แต่คราวนี้ไม่กราบ แถมยังต่อว่าเสียอีกว่า "อ้าว ! ไม่เห็นกราบ ท่านผู้สำเร็จมาแล้วไม่เห็นกราบ"

เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงทราบโดยตลอดในทันทีนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ท่านจึงนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดไปเรื่อยๆ

หลวงตาพวงสำทับว่า "รู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้ผู้สำเร็จอุบัติขึ้นแล้ว ที่มานี่ก็ด้วยเมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะมาชี้แจงแสดงธรรมปฏิบัติให้เข้าใจ"

หลวงปู่ยังคงวางเฉย ปล่อยให้ท่านพูดไปเป็นชั่วโมงทีเดียว สำหรับพวกเราพระเณรที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่

ครั้นปล่อยให้หลวงตาพวงพูดนานพอสมควรแล้ว หลวงปู่ก็ซักถามเป็นเชิงคล้อยตามเอาใจว่า "ที่ว่าอย่างนั้นๆ เป็นอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร" หลวงตาพวงก็ตอบตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อุตส่าห์ตอบ

เมื่อหลวงปู่เห็นว่าอาการรุนแรงมากเช่นนั้น จึงสั่งว่า "เออ เณรพาหลวงตาไปพักผ่อนที่โบสถ์ ไปโน่น ที่พระอุโบสถ"

ท่านเณร (เจ้าคุณพระโพธินันทมุนี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ จัดที่จัดทางถวาย หลวงตาวางสัมภาระแล้วก็กลับออกจากโบสถ์ ไปเรียกพระองค์นั้นองค์นี้ที่ท่านรู้จัก ให้ลุกขึ้นฟังเทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทั้งคืน

หลวงปู่พยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอุบายวิธีต่างๆ หลอกล่อให้หลวงตานั่งสมาธิ ให้นั่งสงบแล้วย้อนจิตมาดูที่ต้นตอ มิให้จิตแล่นไปข้างหน้า จนกระทั่งสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้วไม่สำเร็จ

หลวงปู่จึงใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นวิธีของท่านเอง ด้วยการพูดแรงให้โกรธหลายครั้งก็ไม่ได้ผล ผ่านมาอีกหลายวันก็ยังสงบลงไม่ได้ หลวงปู่เลยพูดให้โกรธ ด้วยการด่าว่า "เออ ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้"

ทำให้หลวงตาพวงโกรธอย่างแรง ลุกพรวดพราดขึ้นไปหยิบเอาบาตร จีวร และกลดของท่านลงจากกุฏิ มุ่งหน้าไป วัดป่าโยธาประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดบูรพารามไปทางใต้ ประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณ พระราชสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) ยังพำนักอยู่ที่นั่น

ที่เข้าใจว่าหลวงตาพวงโกรธนั้น เพราะเห็นท่านมือไม้สั่น หยิบของผิดๆ ถูกๆ คว้าเอาไต้ (สำหรับจุดไฟ) ดุ้นหนึ่ง นึกว่าเป็นกลด และยังเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าขำว่า "เออ ! กูจะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู" เสร็จแล้วก็คว้าเอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ดุ้นยาวขึ้นแบกไว้บนบ่า คงนึกว่าเป็นคันกลดของท่าน แถมคว้าเอาไม้กวาดไปด้ามหนึ่งด้วย ไม่รู้เอาไปทำไม

ครั้นพอหลวงตาพวงไปถึงวัดป่า ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัดป่าที่นั่นเอง อาการของจิตที่น้อมไปติดมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก โดยปราศจากการควบคุมของสติที่ได้สัดส่วนกัน ก็แตกทำลายลง เพราะถูกกระแทกด้วย อานุภาพแห่งความโกรธ อันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ยังสติสัมปชัญญะให้บังเกิดขึ้น ระลึกย้อนกลับได้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง ผิดถูกอย่างไร สำคัญตนผิดอย่างไร และได้พูดวาจาไม่สมควรอย่างไรออกมาบ้าง

เมื่อหลวงตาพวงได้สติสำนึกแล้ว ก็ได้เข้าพบท่านเจ้าคุณ พระราชสุทธาจารย์ และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านทราบ ท่านเจ้าคุณฯ ก็ได้ช่วยแนะนำและเตือนสติเพิ่มเติมอีก ทำให้หลวงตาพวงได้สติคืนมาอย่างสมบูรณ์ และบังเกิดความละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากได้พักผ่อนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลับมากราบขอขมาหลวงปู่ กราบเรียนว่าท่านจำคำพูดและการกระทำทุกอย่างได้หมด และรู้สึกละอายใจมากที่ตนทำอย่างนั้น

หลวงปู่ก็ได้แนะทางปฏิบัติให้ และบอกว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ว่าถึงประโยชน์ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน คือจะได้เป็นบรรทัดฐาน เป็นเครื่องนำสติมิให้ตกอยู่สภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบการปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมั่นคง ในแนวทางตรงต่อไป"
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 10:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรมว่า
ไม่ว่าจะเจริญภาวนา แบบไหน ถึงไหน
สิ่งที่ครูบาอาจารย์แนะนำว่าไม่ให้บกพร่องลงไป คือ ผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ (ส่งออกนอก อยู่กับข้างนอก)


คามินธรรมขอทดลองสรุปการเกิดวิปัสนูกิเลสง่ายๆ สั้นๆดูว่า

วิปัสนูกิเลส คือความหลงใน "สิ่งที่ถูกรู้" อย่างรุนแรง
เพราะส่งออกนอก แล้วไปหลงกับการส่งออกนอกนั้น
ทำให้ ผู้รู้แผ่วไป อ่อนกำลังไป หรือหายไปเลย


ดังจะเห็นว่าการแก้วิปัสนูกิเลส ที่แก้ไขได้นั้น
คือหาผู้รู้เจอ สติจึงกลับมา ได้รู้ว่าอะไรคือผู้รู้ อะไรถูกรู้

(มีอะไรไม่ถูกต้อง สอบสวนกันได้นะครับ จะเป้นพระคุณอย่างยิ่งคับผม)
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 11:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่ยกมา

น่าพิจารณาอย่างยิ่ง

ขออนุโทนาสาธุการครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ใบโพธิ์
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 6:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 12:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัววิปัสสนูกิเลส นี้ จะเกิดขึ้น เมื่อเข้าถึง วิปัสสนาญาณ กำหนดรูปนามแล้ว

คือ จะมีอาการสงบ สุข จนคิดว่า ตนเข้าถึงอริยมรรค เพราะมีปัญญาและวิปัสสนาญาณแจ่มแจ้ง ใครว่าอะไรมาเข้าใจหมด

บ้างก็มีโอภาส แล้วแต่บางคนนะ ทีนี้พอเจอสิ่งเหล่านี้แล้วมันเข้าไปติด ไปสำคัญผิด มันก็ติดอยู่นั่นแหละ

จนกว่าจะมีพระอริยะมาชี้แจง เพราะท่านจะเห็นจิตคนโง่ได้ชัดเจน ท่านก็ถามเรื่องที่คนโง่นั้น โดนปิด ครานี้มันเถียงไม่ออก ถ้ามันได้สติ มันก็จะระลึกได้ แต่ถ้ามันยังไม่ได้สติ มันก็เถียงนั่นนี้เรื่อยเปื่อยไป ตามแต่กิเลสจะพาไป

สำคัญ ว่าถ้าไม่อยากหลงก็ให้ถามพระอริยะ ว่า ท่านคิดว่าผมไปถึงไหนแล้ว
คนถ้ามันไม่มีมานะ มันก็ต้องถาม แต่ถ้ามันคิดว่ามันรู้มากแล้วมันก็อวดดีไม่ถาม มันก็โดนกิเลสจับจองหัวใจไว้

ก็อย่าประมาท ว่ารู้แล้ว ให้คอยดูจิตดูใจอย่างเดียว แม้รู้แล้วก็ต้องดูไป ถอนไป
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 1:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิปัสนูกิเลส คือ กิเลสหลอกผู้ปฏิบัติ ถูกหลอกวันยังค่ำคืนยันรุ่ง ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้มากที่สุดบางทีก็เป็นผู้ที่หลงมากที่สุด กิเลสหลอกคนได้สนิทใจนักหนา กิเลสหลอกทีไม่รู้ว่าถูกหลอกกี่ชั้นต่อกี่ชั้น ตัวเท่ากำปั้นนึกว่าตนยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น ใหญ่ก็เพียงสำคัญตนเท่านั้นเอง มองคนอื่นไม่มีค่า นี่ล่ะใจกิเลสล่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้มากที่สุดบางทีก็เป็นผู้ที่หลงมากที่สุด กิเลสหลอกคนได้สนิทใจนักหนา กิเลสหลอกทีไม่รู้ว่าถูกหลอกกี่ชั้นต่อกี่ชั้น ตัวเท่ากำปั้นนึกว่าตนยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น ใหญ่ก็เพียงสำคัญตนเท่านั้นเอง มองคนอื่นไม่มีค่า



เศร้า คำคม ชอบมากๆๆๆๆครับพี่ สู้ สู้
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 2:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส อาจคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า

แต่คนที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส ก็อาจจะเป็นพระอรหันต์จริง และพบเห็นพระพุทธเจ้าจริงก็ได้นะครับ

ดังนั้นไม่พึงสรุปว่า คนที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า เป็นคนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส

หลวงปู่มั่น ภูริภัตโต ท่านเป็นพระอรหันต์ และได้พบพระพุทธเจ้า

หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้านานศรีอริยะเมตตรัย
ท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อสดเป็นพระโพธิสัตว์(แนวมหายาน) หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อปาน
ก็เป็นพระอรหันต์ ในประวัติของพวกท่าน พวกท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
 


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 02 ส.ค. 2008, 12:41 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 3:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
หลวงพ่อสดเป็นพระโพธิสัตว์(แนวหมายาน)

คุณเขียนผิดหรือเปล่า

ใบไม้พูดถูก ที่ว่าสรุปไม่ได้
อ้างอิงจาก:
ดังนั้นไม่พึงสรุปว่า คนที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า เป็นคนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส


แต่ผมสรุปอย่างหนึ่งว่า ใบไม้ไม่ใช่พระอรหันต์ หรือ พระอริยะบุคคล เพราะว่าใบไม้่ไม่มีวิปัสสนูกิเลส เนื่องจากใบไม้ยังไม่เกิดวิปัสสนาญาณ
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 02 ส.ค. 2008, 12:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณขันธ์ครับ



หลวงพ่อสดเป็นพระโพธิสัตว์(แนวมหายาน) ผมเขียนผิดครับ หลวงพ่อสดบอกหลวงพ่อฤาษี
ลิงดำเองว่า เอ็งไปนิพพานก่อน ข้าไปนิพพานแน่ แล้วตอนหลังท่านเขียนในหนังสือว่า ต้นธาตุ
ให้ท่านเดินวิชาปราบมาร ต้านมารเอาไว้ ท่านจึงต้องอยู่ต่อ และลงมาเกิดใหม่

ส่วนเรื่องว่าผมจะเป็นอะไร ผมไม่จำเป็นต้องตอบ ตอบไปก็มีแต่เสีย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 ส.ค. 2008, 1:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า:
คนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส อาจคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า

แต่คนที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส ก็อาจจะเป็นพระอรหันต์จริง และพบเห็นพระพุทธเจ้าจริงก็ได้นะครับ

ดังนั้นไม่พึงสรุปว่า คนที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า เป็นคนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส


หลวงปู่ดุลย์สรุปคับ ไม่ใช่ผมสรุป
สัทธรรมที่อยู่ในใจพระอรหันต์ ย่อมไม่คลาดเลคื่อนไม่ใช่หรือครับ
คุณพลศักดิ์ก็เคยยกหลวงปู่ดุลย์มาอ้างบ่อยๆ
คุณพลศักดิ์จะไม่ยกของพระที่ไม่ใช่อรหันต์มาแสดงไม่ใช่หรือครับ

อ้างอิงจาก:

หลวงปู่มั่น ภูริภัตโต ท่านเป็นพระอรหันต์ และได้พบพระพุทธเจ้า

- ช่วยชี้แนะว่าท่านพูดไว้ที่ไหนได้ไหมคับ ว่าท่านได้พบพระพุทธเจ้า
- ท่านพูดเอง มีให้ศึกษาไม่กี่ที่หรอก เช่น มุตโตทัย
- แต่คนที่ชอบเอามาตีความ หรือเอาเล่าต่อนี่ มีเยอะ มั่วไปหมด

อ้างอิงจาก:

หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้านานศรีอริยะเมตตรัย
ท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อสดเป็นพระโพธิสัตว์(แนวมหายาน) หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อปาน
ก็เป็นพระอรหันต์ ในประวัติของพวกท่าน พวกท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น


- ประวัตินี่ก็มี 2 แบบนะคับ
แบบเจ้าของเรื่องเขียนเอง 1
กับ แบบคนอื่นเขียนให้ 1

คุณพลศักดิ์เชื่ออันไหน ?

ความจริงเรื่อง "คนที่พบพระพุทธเจ้า" นี่
ถ้าจะคุยแบบที่ชอบทำกันๆแถวนี้คือเอาตัวหนังสือมาเล่นกัน
ก็ต้องบอกว่าโสดาบันทุกคน ย่อมเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เพราะถึงพระรัตนตรัยแล้ว

(เห็นแล้วใช่ไหมคับ ตัวเข้มนี่ ว่าผมพูดไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก)


ปล. พูดตามตรงว่า
ผมเกรงว่าคุณพลศักดิ์จะเป้นคนหนึ่งที่ติดวิปัสนูกิเลส
แต่เพราะผมเป็นคนธรรมดา เลยออกจะอาจหาญเกินไปที่จะพูด

แต่ด้วยความหวังดี เห็นว่าคุณพลศักดิ์ก็ทำมาตั้งเยอะแล้ว มาไกลแล้ว
น่าจะมีภาวนาญานมากอยู่
จะดีมากๆ ถ้าได้ไปให้มันถึงที่สุด
ดังนั้นเลยขอแนะนำให้ไปแสวงหาพระอริยะเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่
ลองไปสนทนาธรรม ลองไปสอบดู ลองทำข้อสอบดู

ส่วนพระพุทธเจ้าเอย พระอรหันต์นู่นนี่นั่น ที่คุณไปพบในฌานนั้น
เอาไว้อยากพบเมื่อไหร่ คุณก็ะพบได้อยู่แล้วใช่ไหม

ลองไปดูนะคับ หลวงตาบัว เป็นต้น
หลวงพ่อปราโมช ศิษย์หลวงปู่ดุลย์ เป็นต้น
ผมอาจจะยกตัวอย่างไม่ถูกใจก็ได้ แต่คิดว่าจะคุยกับพระไหนก็ลองหาดูตามที่เห็นควร
คุณมีญานวิเศษณ์อยู่ หยั่งรู้ได้อยู่กระมังว่าจะคุยกับใครได้บ้าง

หรือว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ในโลกทุกวันนี้? เหลือคุณพลศักดิ์คนเดียว?
ถ้าคิดแบบนี้ ประมาทแล้วนะคับ ไม่ควรเอามากๆ

คนที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มี 2 แบบ
1. แก้ไม่ได้ เพราะแก้ไม่ได้จริงๆ คือบ้า หรือ หลงรุนแรง
2. แก้ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้แก้ (อรหันต์)
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 ส.ค. 2008, 1:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า:
คนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส อาจคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า

แต่คนที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส ก็อาจจะเป็นพระอรหันต์จริง และพบเห็นพระพุทธเจ้าจริงก็ได้นะครับ

ดังนั้นไม่พึงสรุปว่า คนที่บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ หรือพบพระพุทธเจ้า เป็นคนที่เกิดวิปัสสนูปกิเลส


หลวงปู่ดุลย์สรุปคับ ไม่ใช่ผมสรุป
สัทธรรมที่อยู่ในใจพระอรหันต์ ย่อมไม่คลาดเลคื่อนไม่ใช่หรือครับ
คุณพลศักดิ์ก็เคยยกหลวงปู่ดุลย์มาอ้างบ่อยๆ
คุณพลศักดิ์จะไม่ยกของพระที่ไม่ใช่อรหันต์มาแสดงไม่ใช่หรือครับ

อ้างอิงจาก:

หลวงปู่มั่น ภูริภัตโต ท่านเป็นพระอรหันต์ และได้พบพระพุทธเจ้า

- ช่วยชี้แนะว่าท่านพูดไว้ที่ไหนได้ไหมคับ ว่าท่านได้พบพระพุทธเจ้า
- ท่านพูดเอง มีให้ศึกษาไม่กี่ที่หรอก เช่น มุตโตทัย
- แต่คนที่ชอบเอามาตีความ หรือเอาเล่าต่อนี่ มีเยอะ มั่วไปหมด

อ้างอิงจาก:

หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่ต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้านานศรีอริยะเมตตรัย
ท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อสดเป็นพระโพธิสัตว์(แนวมหายาน) หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อปาน
ก็เป็นพระอรหันต์ ในประวัติของพวกท่าน พวกท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น


- ประวัตินี่ก็มี 2 แบบนะคับ
แบบเจ้าของเรื่องเขียนเอง 1 ........และ .... แบบคนอื่นเขียนให้ 1

คุณพลศักดิ์เชื่ออันไหน ?

ความจริงเรื่อง "คนที่พบพระพุทธเจ้า" นี่
ถ้าจะคุยแบบที่ชอบทำกันๆแถวนี้คือเอาตัวหนังสือมาเล่นกัน
ก็ต้องบอกว่าโสดาบันทุกคน ย่อมเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ... เพราะถึงพระรัตนตรัยแล้ว
(เห็นไหมคับ ตรงตัวเข้มนี่ ... ผมพูดไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก
นี่ล่ะปัญหาของภาษา และการหาความรู้แบบภาวนาด้วยภาษา)


ปล. พูดตามตรงว่า
ผมเกรงว่าคุณพลศักดิ์จะเป้นคนหนึ่งที่ติดวิปัสนูกิเลส
แต่เพราะผมเป็นคนธรรมดา เลยออกจะอาจหาญเกินไปที่จะพูด

แต่ด้วยความหวังดี เห็นว่าคุณพลศักดิ์ก็ทำมาตั้งเยอะแล้ว มาไกลแล้ว
น่าจะมีภาวนาญานมากอยู่
จะดีมากๆ ถ้าได้ไปให้มันถึงที่สุด
ดังนั้นเลยขอแนะนำให้ไปแสวงหาพระอริยะเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่
ลองไปสนทนาธรรม ลองไปสอบดู ลองทำข้อสอบดู

ส่วนพระพุทธเจ้าเอย พระอรหันต์นู่นนี่นั่น ที่คุณไปพบในฌานนั้น
เอาไว้อยากพบเมื่อไหร่ คุณก็ะพบได้อยู่แล้วใช่ไหม

ลองไปดูนะคับ หลวงตาบัว เป็นต้น
หลวงพ่อปราโมช ศิษย์หลวงปู่ดุลย์ เป็นต้น
ผมอาจจะยกตัวอย่างไม่ถูกใจก็ได้ แต่คิดว่าจะคุยกับพระไหนก็ลองหาดูตามที่เห็นควร
คุณมีญานวิเศษณ์อยู่ หยั่งรู้ได้อยู่กระมังว่าจะคุยกับใครได้บ้าง

หรือว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ในโลกทุกวันนี้? เหลือคุณพลศักดิ์คนเดียว?
ถ้าคิดแบบนี้ ประมาทแล้วนะคับ ไม่ควรเอามากๆ

คนที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มี 2 แบบ
1. แก้ไม่ได้ เพราะแก้ไม่ได้จริงๆ คือบ้า หรือ หลงรุนแรง
2. แก้ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้แก้ (อรหันต์)

คุณพลศักดิ์ มา ติด เมื่อลอยขึ้นสูงแล้ว .... ทุกข์น้อยกว่า
ยังดีกว่าติดตั้งแต่ยังไม่ทันผุดออกจากตม... ทุกข์มากกว่า
แต่คุณพลศักดิ์ ไม่ใช่ประเภทที่จะมาเอาแค่ทุกข์น้อยทุกข์มากมิใช่เหรอ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง