ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 9:50 am |
  |
มีกลอุบาย มีวิธี มีเทคนิค ในการกินอาหารกันอย่างไรบ้างครับ
กินแบบเจริญสติน่ะคับ
ผมก็พยามทำอยู่นะว่า กินสักแต่ว่ากิน สักแต่ว่ารู้รส
แต่มันดันมีความสุข อร่อย แซ่บ ขึ้นมา
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 9:59 am |
  |
ก็เวลาอร่อยนั่นล่ะครับ "โลภ" นอกจากการจับผัสสะแล้วก็ต้องรู้ทันเวทนาด้วยครับ เวลาที่รสชาติมันอร่อยก็เกิดภวตัณหา ผมเองก็ฝึกอยู่ครับ มันก็ยากเหมือนกันครับ แต่ทำไปเรื่อยๆก็จะละเอียดขึ้นเองครับ |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 11:53 am |
  |
1 คำ เคี่ยวกี่ครั้ง
กินทั้งหมดกี่คำ
อันนี้เป็นเบื้องต้นของอาหารเรปฏิกูล
ได้สติ สมาธิ กินเสร็จเข้าสมาธิเลย
ต้องทดสอบภาคปฏิบัติครับ |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 1:00 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
มีกลอุบาย มีวิธี มีเทคนิค ในการกินอาหารกันอย่างไรบ้างครับ
กินแบบเจริญสติน่ะคับ
ผมก็พยามทำอยู่นะว่า กินสักแต่ว่ากิน สักแต่ว่ารู้รส
แต่มันดันมีความสุข อร่อย แซ่บ ขึ้นมา
คามมินธรรม : 28 กรกฎาคม 2008, 9:50 am |
(คุณคามินมีหลักปฏิบัติอยู่แล้ว ก็ใช้หลักที่ตอบกรัขกายไว้สิครับรู้ รู้ รู้) =>
ผมทำอย่างนี้
1. ผมไม่ได้นั่งเป้นเรื่องเป้นราวนะคับ ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องทำท่าอย่างไร
2. กำหนดรู้ไปตามจริงว่าร่างกายทำอะไร จิตทำอะไร
โดยคำว่ากำหนดรู้นี้ หมายถึง รู้อย่างเดียว ไม่คิดตาม
ทำงาน เดิน กิน คัน หิว ฯลฯ ก็รู้อย่างเดียวว่ามันมีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น มีอยู่ แล้วจบไป (โดยไม่ต้องคิด มันจะเห็นเอง ซ้ำๆในทุกๆเรื่องที่กำหนดรู้)
ถ้าคัน ก็จะเกา ไม่ใช่แบบว่าใช้ขันติอดทนความคันเอาไว้
แต่รู้ตามจิตไปว่ามันคัน ว่าคัน ว่าเกา ว่าหายคัน ว่าคันอีก
ว่าเกาอีกทีแซ่บกว่าเดิม รู้ว่าสนุกในการเกา รู้ว่ามีความสุขเกิด รู้ว่าสุขดับ รู้
ว่าความทุกข์(คัน) ดับไป
และด้วยตัวรู้ตัวนี้ ที่มันรู้ซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ วันละหลายๆร้อยหลายๆพันครั้ง
บางครั้งบางทีบางเวลา มันจะเกิดสภาวะต่างๆขึ้นที่บอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากรู้ รู้ รู้ รู้ รู้
(ไม่ใช่ข่มความคิด หรือข่มความสงสัยไว้นะ แต่มันไม่เกิดเอง มันทำอย่างเดียวคือรู้) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 1:13 pm |
  |
คือมันแซ่บไงพี่ รู้ว่าแซ่บนี่แหละ
แล้วมันก็รู้ว่าแซ่บ และยังแซ่บอยู่
อันนู้นก๋แซ่บ อันนี้ก็เด็ด รู้ตัวอีกทีด็ยังแซ่บอยู่ แซ่บต่อเนื่องทีเดียว
แซ่บ รู้ แซ่บ รู้ อร่อย รู้ อีกสักคำ รู้ อีกสักแซ่บ รู้ อู๊ยส์ ฉ่ำ รู้
ไปๆมาๆ พุงกาง รู้
ง่วงจังเลย รู้
หลับ ไม่รู้
มีวิธีกำจัดความแซ่บโดยไม่ต้องยุ่งกับอาหารไหมคับ
หมายถึงยังต้องกินอยู่ หลีกหนีความแซ่บไม่พ้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 1:47 pm |
  |
แอบฟังคำตอบด้วยอะครับพี่ๆทุกคน  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 1:49 pm |
  |
แซ่บ ก็รู้...อีกสักคำก็รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ไปหมด
แต่ไม่รู้ วิธีกำจัดความแซ่บโดยไม่ต้องยุ่งกับอาหารไหมคับ
หมายถึงยังต้องกินอยู่
แล้วจุดประสงค์ของการรู้ที่น้องรู้รู้ นี่รู้ไปเพื่ออะไร แล้วจะจบลงที่ใด |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 2:12 pm |
  |
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
แล้วจุดประสงค์ของการรู้ที่น้องรู้รู้ นี่รู้ไปเพื่ออะไร แล้วจะจบลงที่ใด |
โป๊ะเชะ สาธู๊
นี่ถ้าพี่ไม่ถามนี่ยังไม่หายหลงนะคับเนียะ
รู้ละ ๆ ไม่ต้องกะเกณฑ์ว่าจะแซ่บไม่แซ่บ กินไป รู้ไป
รู้อย่างเดียวพอ
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 4:41 pm |
  |
ขอร่วมกับน้องคามินธรรมด้วยคนครับ
เคยอ่านผ่านตามา จากหลวงพ่อท่านใดจำไม่ได้
ท่านสอนว่า เวลาเรากินอาหารเราจำได้และนึกคิดถึงภาพอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงามบนจาน
ไม่ได้รู้ถึงความจริงของอาหารในปากที่คลุกเคล้าน้ำลาย เสมหะ
และรับรู้ความอร่อยจากการกระตุ้นของต่อมบนลิ้น
อยากเรียนถามท่านต่อไปครับว่า ในกรณีตัวอย่างที่ยกมานี้
อะไรคื่อสมถะ
อะไรคื่อวิปปัสนา
ครับผม |
|
|
|
   |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
13 ส.ค. 2008, 9:08 pm |
  |
แนะนำ-ก่อนรับประทาน นำภาชนะชนิดทรงกลม ที่ใส่ข้าวและกับข้าวที่ชอบทั้งหลาย (แซ่บๆ) มาตั้งตรงหน้าตนเอง หลังจากนั้น ให้นำ
---------1.พริกขี้หนู(ถ้าหาได้) 1 ถ้วยตวง
---------2.น้ำปลา(ตราอะไรก็ได้ไม่เน้น) 1 ถ้วยตวง
---------3.น้ำส้ม หรือ น้ำมะนาว(ไม่มีไม่เป็นไร) 1 ถ้วยตวง
---------4.สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย แป๊ปซี่ 1 กระป๋อง
นำมาเทรวมลงไป ในภาชนะ คนให้เข้า ๆ กัน
เสร็จแล้วจะรับประทานเลย หรือจะเจริญสติ ก่อนก็ได้ ไม่ว่ากัน
เนี่ยะ บัวหิมะ เคยทำมาก่อน
ไม่รักกันจริง ไม่บอกนะนี่!  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
13 ส.ค. 2008, 11:33 pm |
  |
mes พิมพ์ว่า: |
ขอร่วมกับน้องคามินธรรมด้วยคนครับ
เคยอ่านผ่านตามา จากหลวงพ่อท่านใดจำไม่ได้
ท่านสอนว่า เวลาเรากินอาหารเราจำได้และนึกคิดถึงภาพอาหารที่จัดไว้อย่างสวยงามบนจาน
ไม่ได้รู้ถึงความจริงของอาหารในปากที่คลุกเคล้าน้ำลาย เสมหะ
และรับรู้ความอร่อยจากการกระตุ้นของต่อมบนลิ้น
อยากเรียนถามท่านต่อไปครับว่า ในกรณีตัวอย่างที่ยกมานี้
อะไรคื่อสมถะ
อะไรคื่อวิปปัสนา
ครับผม |
ออกตัวก่อน
เราต่างรู้ดีว่า วิปัสนา มันมีความหมายที่กว้างมากๆ ลึกซึ้งมากๆ
แต่วันนี้ เรากำลังพูดถึงมุมแคบๆ เรื่องแคบๆ
"กินอย่างวิปัสนา VS กินอย่างสมถะ ... เป้นอย่างไร"
แล้วสนใจว่าอะไรคือ สมถะในการกิน อะไรคือวิปัสนาในการกิน
ดังนั้น ความหมายของคำว่าวิปัสนาในที่นี้
จึงมีขอบเขตแค่การกิน
และเป็นการกินของคนธรรมดา ไม่ใช่พระอรหันต์
ไม่ควรเอาการกินแบบมหาสติมาคุยกัน ... มันคนละเรื่องกัน
กินแบบหลง แบบปกติของเรา
กินของอร่อย ก็อร่อยไปด้วย .... จิตไหลไปตามความพึงพอใจ
กินของไม่แซ่บ ก็ไม่แซ่บ .... จิตไหลไปตามความไม่สบายใจ
จิตไหลไปตามความรู้สึกทุกๆอย่างที่จิตปรุงแต่งขึ้น ....
กินแบบนี้คือหลงไปตามตันหา
กินแบบทำสมถะ (1)
ด้วยความจน ไม่มีของกินดีๆ กินปลาเค็มอยู่
จิตใจฟุ้งซ่าน น้อยใจ เศร้าใจในความจน
เลยปลอบใจตัวด้วยการคิดว่ากำลังกินหูฉลาม
... จิตจึงสงบ ... นี่ก็เจริญสมถะ...
กินแบบทำสมถะ (2)
กินของอร่อยอยู่ แต่เป็นพระกลัวติดใจรสชาติอาหาร
กลัวฟุ้งซ่าน กลัวหลงเพลินติดของอร่อย
จึงหาอุบายคิดว่ากินอุจาระอยู่
... จิตจึงสงบลง ... นี่ก็เจริญสมถะ...
สมถะทั้งปวง คือ ความคิด
สมถะใดๆก็ตาม ... ล้วนแล้วแต่มีความคิดเป็นเหตุ เป็นเชื้อ
ความคิดเป้นผู้บงการให้ทำนู่นทำนี่... เพื่อให้ได้ความสงบ
จึงกล่าวว่า ........ สมถะ เกิดจากความคิด
จึงกล่าวว่า ........ สมถะทั้งปวง คือ ความคิด
สมาธิ ต้องการความสงบ (สงบจึงได้ฌาน แล้วตามดูฌาน)
่ในสมาธินั้น เราจึงคิด ๆ .... เพื่อให้เกิดความสงบ
เลยเข้าใจว่า สมถะ คือ ความสงบแต่อย่างเดียว
แต่คนกินปลาเค็ม
เขาคิดเพื่อให้ได้ความสุข มากลบเกลื่อนความทุก .. ผลคือสงบ
่พระที่กินของอร่อย
เขาคิดเพื่อให้ได้ความทุกข์ เอามากลบความสุข.. ผลคือสงบ
จึงมักกล่าวกันว่า..... (ผลของ)สมถะ คือ ความสงบ
ที่กล่าวมาแล้วคือ กินแบบสมถะ 2 ข้อนะ
และกินแบบชาวโลก 1 ข้อ
และต่อไปนี้ ไปดูการกินแบบวิปัสนาอีก 1 ข้อ
วิปัสนา คือ ระลึกรู้
ระลึกรู้คือความรู้สึกเฉยๆ รู้สึกล้วนๆ ระลึกรู้ไปตามจริง
ในความรู้สึกนั้น ไม่มีการคิดคำอะไร ภาษาอะไร ไม่มีการพากย์
มันเกิดสภาวะอะไรขึ้น ระลึกรู้อย่างเดียว ไม่เข้าไปแทรกแทรง
กินข้าวอยู่ ไม่ว่าจะเกิดสภาวะอะไรก้ตาม ก็ขอให้รู้สึกไปตามจริง
ระลึกรู้ทุกสภาวะที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องไปนิยามคำต่างๆในใจ
ค่อยสังเกตุรู้ความรู้สึกน้อยใหญ่ รู้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่เคร่ง
ไม่ควานหาความรู้สึก แต่ก็ไม่เพิกเฉยละเลยความรู้สึก
เมื่อเราตั้งสติคอยสังเกตุรู้ ระลึกรู้ อย่างนี้แล้ว
จิตแท้ จะได้รับการเรียนธรรมะบางอย่าง
จิตแท้ จะได้สังเกตุรู้ความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นในขณะกินข้าวว่า...
ตอนยังไม่เคี้ยว ....... ระลึกรู้ว่าสภาวะบางอย่าง ยังไม่เกิด
ตอนเริ่มเคี้ยว ....... ระลึกรู้ว่าสภาวะบางอย่าง เกิดขึ้น
ตอนกำลังเคี้ยว ....... ระลึกรู้ว่าู้สภาวะบางอย่าง ตั้งอยู่
ตอนเคี้ยวหมด ....... ระลึกรู้ว่าสภาวะบางอย่าง ดับไป
จิตรับรู้ว่า เกิดสภาวะต่างๆขึ้นมากมาย
แต่สภาวะเหล่านั้น ไม่ว่าจิตจะพอใจ หรือไม่ก้ตาม ... มันเกิด.. ตั้ง ..และดับ
ด้วยอุบายอย่างนี้
เท่ากับเราได้ตั้งสติสังเกตุรู้ สภาพความเป็นจริงที่เกิด
เมื่อทำไปร้อยครั้ง พันครั้ง
ความอร่อยมันเกิด แล้วดับ เกิดแล้วดับ
เห็นไตรลักษณ์แบบนี้ เป็นล้านๆครั้ง
จนจิตมันหน่ายคลายกำหนัดลงไปเอง
(ลองกินข้าวไข่เจียวทุกวัน วันละ 3 มื้อ
กินสัก 100 วันดุสิครับ ... แต่คราวนี้ กินแบบวิปัสนาด้วย จะยิ่งเข้าใจ)
ซึ่งก่อนหน้านี้ เราไม่เคยสังเกตุ
เรากินๆไป ... หลงไปตามรสชาด...
ไม่เคยมีสติคอยตามรู้ ตามดู ความเป้นจริงตามธรรมชาติข้อนี้
จิตแท้ จึงไม่เคยเรียนรู้ไตรลักษณ์ข้อนี้เลย
นี่คือกินแบบวิปัสนา
...........................
แต่ถ้าเราที่กำลังกินๆอยู่ ดันไปแทรกแทรงสภาวะธรรมชาติที่มันกำลังแสดงธรรมอยู่นี้
ด้วยการ " คิด ให้ มัน สงบ"
ด้วยการ " กินเพื่ออยู่หนอ" (กรณีพระกำลังฉัน)
ด้วยการ " กินหูฉลามหนอ" (กรณีคนจนเค้ยวปลาเค็ม)
ด้วยการ " อร่อยหนอ" (กรณีกินแบบหลงไปอารมณ์ที่เกิดจากการกิน)
แบบนี้ล่ะ.... จบกัน
ตัดวงจรธรรมชาติ แทรกแทรงธรรมชาติ
ธรรมชาติอุตสาห์แสดงธรรมอันประเสริฐแท้ๆ
แต่ไปหาวิธีทำให้มันสงบ
จิตแท้ จึงไม่มีวันได้ความรู้อะไรเลย
สำหรับ คำถามที่ถาม มันไม่มีวิปัสนาอยู่เลยนะคับ
สมถะล้วนๆ
|
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
|