ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:36 am |
  |
กระทู้นี้สืบเนื่องมาจากคำถามของคุณคามินธรรม ลิงค์นี้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=70841#70841
คุณคามินธรรมตั้งข้อสังเกตไว้หลายประเด็น ล้วนแต่น่าสนใจ
จึงแยกตั้งกระทู้เพื่อสนทนากันฉ้นท์พี่น้องโดยเฉพาะ  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 ก.ค.2008, 10:45 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:44 am |
  |
อะ ... คามินธรรม.. งานเข้าซะละ
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:46 am |
  |
ความเดิม คุณคามินธรรมกล่าวว่า
พี่กรัชกายที่รัก
ลองทำแบบไม่คิดเลย คือไม่คิด ไม่ใช้สัญญา ไม่ใช้คำพูด ไม่ใช้อะไรเลย
ไม่ต้องนึกถึงทฤษฎี ไม่ต้องนึกพระไตรปิฏก
หรือถ้ามันนึก ก็เอาอีกจิตนึง รู้ว่ามันนึก (อีกจิตนึง คือการสมมุตินะคับ เรามี
จิตเดียวแหละ)
เมื่อไหร่หยุดนึก หยุดคิด
เมื่อนั้นแหละ วิปัสสนาญานจะเกิด
การอธิบายด้วยภาษาทั้งปวง ไม่สามารถจะอธิบายได้
อย่างมากสุดก็อธิบายได้แค่อาการ
เหมือนคนที่เกิดมาไม่เคยกินน้ำตาล
อธิบายอย่างไรก็บอกไม่ได้ว่ามันหวานอย่างไร
พักหลังๆนี่ ผมผ่อนภาคปริยัติลงไปเยอะ
คือไม่อยากจะรู้มาก รู้มากจำมากแล้วยิ่งหลุดจากสัญญายาก
รู้มากก็ลำบาก
ครั้นจะไม่ต้องรู้อะไรแล้วทำไปเลย มันก็จะกลายเป็นคนเดินทางแบบไม่มี
เป้าหมาย
คือศึกษาแต่พอรู้ทิศทางแล้วก็ทำไป
......
อย่างนี้พอจะแก้อารมณ์ที่ว่าได้ไหมคับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:58 am |
  |
(ม้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฝันว่าเจริญสติ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16831
<= ลิงค์นั้น น้องคามินธรรมตั้งโจทก์ไว้ ดังนี้=>
คือว่า ผมฝันน่ะคับ แต่ไม่รู้ตัวว่าฝัน
ในฝันก็เจออะไร fantasy บ้าๆ บวมๆ แต่นึกได้ก็กำหนดรู้เจริญสติด้วย
ปกติไม่ฝันนะคับ นอนม้วนเดียวจบเลย
แต่พอฝันว่าเจริญสติ เลยสงสัยว่า
1) ถ้าในฝันทำไปเรื่อยๆ มันจะยังไง ไปสิ้นสุดตรงไหน
ได้ผลอะไรหรือไม่
2). นอนสมาธิมีจริงๆ เหรอคับ คืออะไร ให้ผลยังไง
...............
พี่นำคำถามของน้องมาตรงนี้ด้วย เพราะโยงๆ กับเรื่องที่เราจะสนทนา
กัน
ถามก่อน ที่ว่า"เจริญสติ เจริญสติ" น้องเข้าใจการเจริญสติอย่างไร
|
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 11:06 am |
  |
อ้าว...ตั้งผิดห้องสะแล้ว ตั้งใจจะตั้งกระทู้นี้ที่ห้องฝึกสติ
แต่พลาดมาห้องนี้
ขอความกรุณาท่านเวปมาสเตอร์ ย้ายกระทู้นี้ไปห้องฝึกสติทีเถอะ
ครับ
ขอคุณล่วงหน้าครับ  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 11:25 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
พี่นำคำถามของน้องมาตรงนี้ด้วย เพราะโยงๆ กับเรื่องที่เราจะสนทนา
กัน
ถามก่อน ที่ว่า"เจริญสติ เจริญสติ" น้องเข้าใจการเจริญสติอย่างไร
|
ผมทำอย่างนี้
1. ผมไม่ได้นั่งเป้นเรื่องเป้นราวนะคับ ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องทำท่าอย่างไร
2. กำหนดรู้ไปตามจริงว่าร่างกายทำอะไร จิตทำอะไร
โดยคำว่ากำหนดรู้นี้ หมายถึง รู้อย่างเดียว ไม่คิดตาม
ทำงาน เดิน กิน คัน หิว ฯลฯ ก็รู้อย่างเดียวว่ามันมีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น มีอยู่ แล้วจบไป (โดยไม่ต้องคิด มันจะเห็นเอง ซ้ำๆในทุกๆเรื่องที่กำหนดรู้)
ถ้าคัน ก็จะเกา ไม่ใช่แบบว่าใช้ขันติอดทนความคันเอาไว้
แต่รู้ตามจิตไปว่ามันคัน ว่าคัน ว่าเกา ว่าหายคัน ว่าคันอีก
ว่าเกาอีกทีแซ่บกว่าเดิม รู้ว่าสนุกในการเกา รู้ว่ามีความสุขเกิด รู้ว่าสุขดับ รู้ว่าความทุกข์(คัน) ดับไป
และด้วยตัวรู้ตัวนี้ ที่มันรู้ซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ วันละหลายๆร้อยหลายๆพันครั้ง
บางครั้งบางทีบางเวลา มันจะเกิดสภาวะต่างๆขึ้นที่บอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากรู้ รู้ รู้ รู้ รู้
มันจะไปยังไง มายังไง มีนิมิตอะไร
ก็ใช้ตัวรู้ตัวเดิม ทำอย่างเดียวคือรู้ โดยไม่คิด ไม่สงสัย
(ไม่ใช่ข่มความคิด หรือข่มความสงสัยไว้นะ แต่มันไม่เกิดเอง มันทำอย่างเดียวคือรู้)
.......................
ทีนี้ไอ้ตอนฝันเมื่อคืนนี้คิดได้ว่า ช่วงนี้พักผ่อนๆไม่เป้นระบบ คือนอนไม่เป้นเวลามาหลายวันแล้ว
คงจะเกี่ยวกับธาตุ หรือสมดุลย์
แต่ในฝันก้ยังมิวายจะไปกำหนดรู้ ดันตื่นซะก่อน
เลยสงสัยว่าถ้าฝันแล้วไม่รู้ตัว อยู่ในภวังค์นั้น แล้วกำหนดรู้ มันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะหลุดจากภวังค์ไหม
หรือว่าผมจะฝันว่าเข้าฌาน แล้วเกิดอุตริว่าได้เป็นเทวดามีสายสะพาย หรือพระนิพพานขึ้นมาละยุ่งเลย
กลัวจะบ้าไปเสียก่อน |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 2:35 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
กรัชกาย พิมพ์ว่า:
แล้วจุดประสงค์ของการรู้ที่น้องรู้รู้ นี่รู้ไปเพื่ออะไร แล้วจะจบลงที่ใด
โป๊ะเชะ สาธู๊
นี่ถ้าพี่ไม่ถามนี่ยังไม่หายหลงนะคับเนียะ
รู้ละ ๆ ไม่ต้องกะเกณฑ์ว่าจะแซ่บไม่แซ่บ กินไป รู้ไป
รู้อย่างเดียวพอ
คามินธรรม: 28 กรกฎาคม 2008, 2:12 pm |
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=70880#70880
แล้วรู้สาเหตุที่ฝันหรือยังครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 3:18 pm |
  |
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
แล้วรู้สาเหตุที่ฝันหรือยังครับ |
สงสัยธาตุโขภะคับพี่
ก่อนหน้านี้เที่ยวดึกกระจายหลายวัน กินนอนไม่เป้นเวลา
แต่ไม่กำหนดรู้นะคับ ตอนเที่ยว เด๊่ยววูบๆวาบๆ
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 5:08 pm |
  |
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
พี่กรัชกายที่รัก
ลองทำแบบไม่คิดเลย คือไม่คิด ไม่ใช้สัญญา ไม่ใช้คำพูด ไม่ใช้อะไรเลย ไม่ต้องนึกถึงทฤษฎี ไม่ต้องนึกพระไตรปิฏก
หรือถ้ามันนึก ก็เอาอีกจิตนึง รู้ว่ามันนึก (อีกจิตนึง คือการสมมุตินะคับ เรามี
จิตเดียวแหละ)
เมื่อไหร่หยุดนึก หยุดคิด
เมื่อนั้นแหละ วิปัสสนาญานจะเกิด
การอธิบายด้วยภาษาทั้งปวง ไม่สามารถจะอธิบายได้
อย่างมากสุดก็อธิบายได้แค่อาการ
เหมือนคนที่เกิดมาไม่เคยกินน้ำตาล
อธิบายอย่างไรก็บอกไม่ได้ว่ามันหวานอย่างไร
พักหลังๆนี่ ผมผ่อนภาคปริยัติลงไปเยอะ
คือไม่อยากจะรู้มาก รู้มากจำมากแล้วยิ่งหลุดจากสัญญายาก
รู้มากก็ลำบาก
ครั้นจะไม่ต้องรู้อะไรแล้วทำไปเลย มันก็จะกลายเป็นคนเดินทางแบบไม่มี
เป้าหมาย
คือศึกษาแต่พอรู้ทิศทางแล้วก็ทำไป
อย่างนี้พอจะแก้อารมณ์ที่ว่าได้ไหมคับ |
อ้างอิงจาก: |
สงสัยธาตุโขภะคับพี่
ก่อนหน้านี้เที่ยวดึกกระจายหลายวัน กินนอนไม่เป้นเวลา
แต่ไม่กำหนดรู้นะคับ ตอนเที่ยว เด๊่ยววูบๆวาบๆ
คามินธรรม 28 กรกฎาคม 2008, 3:18 pm |
อย่างนี้พอจะแก้อารมณ์ที่ว่าได้ไหมคับ
ถึงเวลาให้คำตอบน้องคามินแล้วครับ
ตอบว่า แก้อารมณ์ที่ว่า ยังไม่ได้ครับ  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 12:33 am |
  |
หมายถึง แก้ของพี่ หรือแก้ของผมอ่ะคับ
รู้สึกว่าสงวนคำนะคับนี่
เล่นเอาผมงงรับประทานเลย  |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 6:59 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
หมายถึง แก้ของพี่ หรือแก้ของผมอ่ะคับ
รู้สึกว่าสงวนคำนะคับนี่
เล่นเอาผมงงรับประทานเลย
คามินธรรม: 29 กรกฎาคม 2008, 12:33 am |
แนวลิงค์นี้กับที่คุณคามินใช้กรัชกายกล่าวไว้ที่นี่แล้ว
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13918 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 7:17 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
พี่กรัชกายที่รัก
ลองทำแบบไม่คิดเลย คือไม่คิด ไม่ใช้สัญญา ไม่ใช้คำพูด ไม่ใช้อะไรเลย
ไม่ต้องนึกถึงทฤษฎี ไม่ต้องนึกพระไตรปิฏก
หรือถ้ามันนึก ก็เอาอีกจิตนึง รู้ว่ามันนึก (อีกจิตนึง คือการสมมุตินะคับ เรามีจิตเดียวแหละ)
เมื่อไหร่หยุดนึก หยุดคิด
เมื่อนั้นแหละ วิปัสนาญานจะเกิด
การอธิบายด้วยภาษาทั้งปวง ไม่สามารถจะอธิบายได้
อย่างมากสุดก็อธิบายได้แค่อาการ
เหมือนคนที่เกิดมาไม่เคยกินน้ำตาล
อธิบายอย่างไรก้บอกไม่ได้ว่ามันหวานอย่างไร
พักหลังๆนี่ ผมผ่อนภาคปริยัติลงไปเยอะ
คือไม่อยากจะรู้มาก รู้มากจำมากแล้วยิ่งหลุดจากสัญญายาก
รู้มากก็ลำบาก
ครั้นจะไม่ต้องรู้อะไรแล้วทำไปเลย มันก็จะกลายเป็นคนเดินทางแบบไม่มีเป้าหมาย
คือศึกษาแต่พอรู้ทิศทางแล้วก้ทำไป
คามินธรรม: 28 กรกฎาคม 2008, 10:19 am
.........................................
อย่างนี้พอจะแก้อารมณ์ที่ว่าได้ไหมคับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=70841#70841
|
ที่อ้างอิงคือความเห็นคุณ.....แล้วถามสรุปท้ายว่า อย่างนี้พอจะแก้อารมณ์ที่ว่าได้ไหมคับ
คำถามนี้ตอบว่า ไม่ได้ หรอกครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 8:23 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
หมายถึง แก้ของพี่ หรือแก้ของผมอ่ะคับ
รู้สึกว่าสงวนคำนะคับนี่
คามินธรรม: 29 กรกฎาคม 2008, 12:33 am |
คงต้องขออภัยคุณคามินธรรมแล้วนะครับ
หาก คห.นี้ พูดตรงไปตรงมา แต่น่าจะดีกว่าพูดอ้อมค้อมไปมา
แล้วนำไปตีความเป็นอื่นไป
ความเห็นของน้องคามินที่อ้างอิงข้างบน แก้อารมณ์ของผู้ปฏิบัติ
กรรมฐานแบบที่ใช้คำภาวนาร่วมด้วยไม่ได้หรอกครับ
ไม่ว่าจะเป็นพองหนอ ยุบหนอ...หรือ พุทโธๆ หรือ อื่นๆอีก
ลิงค์นี้พูดไว้ตรงๆเลย
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13918
วิธีที่น้องปฏิบัติ จะตั้งชื่อให้มันว่า วิธีดูจิต หรือชื่ออะไรสุดแท้แต่
เบื้องต้นพอได้ คือ ดูอารมณ์ปกติธรรมดา คือ หลังจากพักผ่อนหลับ
นอนเต็มอิ่มแล้ว แล้วก็ดูกันไป ด้วยจิตที่เป็นกลางไม่กลางก็ว่ากันไป
แต่ถ้าลึกลงไปอีก ดูไม่ได้แก้ไม่เป็นแล้ว หากคุณคามินติดตาม
ประเด็นนี้ ที่บอร์ดดังกล่าวจะเห็นปัญหานี้
อย่าว่าแต่จะแก้อารมณ์ให้กับผู้ปฏิบัติกรรมฐานแบบใช้คำภาวนาเลยครับ
แม้แต่สภาวะอารมณ์ที่เกิดจากการดูจิต ที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติตามแนวทาง
ที่สอนเค้า แต่มันแปลกจากที่ตนเคยดูเคยสอนเค้า ยังแก้ให้
เค้าไม่ได้เลยครับ
ขออภัยอีกครั้ง  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 6:59 pm |
  |
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
คงต้องขออภัยคุณคามินธรรมแล้วนะครับ
หาก คห.นี้ พูดตรงไปตรงมา แต่น่าจะดีกว่าพูดอ้อมค้อมไปมา
แล้วนำไปตีความเป็นอื่นไป
|
ไม่ได้เคืองคับพี่ พูดกันได้ ไม่ถือตัวคับ
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
ดูไม่ได้แก้ไม่เป็นแล้ว หากคุณคามินติดตาม
ประเด็นนี้ ที่บอร์ดดังกล่าวจะเห็นปัญหานี้
อย่าว่าแต่จะแก้อารมณ์ให้กับผู้ปฏิบัติกรรมฐานแบบใช้คำภาวนาเลยครับ
แม้แต่สภาวะอารมณ์ที่เกิดจากการดูจิต ที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติตามแนวทาง
ที่สอนเค้า แต่มันแปลกจากที่ตนเคยดูเคยสอนเค้า ยังแก้ให้
เค้าไม่ได้เลยครับ
ขออภัยอีกครั้ง
|
ที่มีคนเขาตอบไว้นี่มันก้ชัดเจนละเอียดดีอยู่แล้วนะคับพี่ (ในแบบที่ผมปฏิบัติอยู่นะ)
เพียงแต่มันอาจจะคนละสาย เหมือนไปตลาด มันมีหลาย"เส้นทาง"
เส้นทาง ก็เหมือนกับเส้นทางไปตลาดเลย แต่ละเส้นไม่เหมือนกัน
คนเดินทางไปแต่ละทาง ก้จะรู้ จะเห็น ป้ายต่าง จุดสังเกตุต่างๆ จะเลี้ยงซ้าย เลี้ยวขวา อะไรยังไง ...ทั้งหลายทั้งปวง ไม่เหมือนกัน
ทีนี้ปัญหาคงอยู่ที่ว่า
คนที่เคยทำภาวนา (ท่อง ยุบ ท่องพอง ท่องพุทโธ อะไรก็แล้วแต่)
ก็ต้องมีจริตความเคยตัว เคยชิน ในแบบของเขา
แต่พอมาฝึกในสายดูจิต กลับไม่ได้สลัดออกไปด้วย (อาจจะไม่ยอมทำ หรือทำยังไม่สำเร็จก้ตาม)
มันก็เลยเหมือนคนที่กำลังจะไปตลาดที่เลือกเส้นทางแบบ A แต่เอาแผนที่ (หลักการและวิธี) ของเส้นทาง B มาใช้
แน่นอนที่สุด มันก็แก้กันไม่ได้
ดังนั้นผู้ปฏิบัติ จึงต้องเลือกอะไรที่สัปปายะกับตัวเอง แล้วก็ต้องดำเนินแบบแผนไปตามที่ครูบาร์เขาออกแบบไว้ให้
ทีนี้ ถ้าเอาวิชาดูจิต มาแก้ยุบหนอ ยังไงก็แก้ไม่ได้
เอายุบหนอ มาแก้วิชาดูจิตก็ไม่ได้
เพราะแค่เริ่มต้น ก้ขัดกันแล้ว ทั้งวิธี และ หลักการ หลายอย่าง
แต่อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ เหมือนกัน คือจิตละรูปและนามได้เด็ดขาด
จุดที่เส้นทางทั้งสองมาบรรจบกันก็คือตรงนี้ ตรงแยกรูปและนามได้ (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เพราะผมไม่รู้ว่าแนวบริกรรมนี่ เขาบรรลุการแยกรูปและนามกันที่ตรงไหน มีจุดสังเหตุอะไร)
ในวิชาดุจิต การแยกรูปและนาม ไม่ได้เกิดจากการคิดเลย แม้แต่น้อย
ผู้ตอบกระทู้จึงพยามให้คนที่อยากใช้วิชาดูจิต พึงละการคิด และการบริกรรมเสีย
โดยคำว่าละ หมายถึง ละความพยามเข้าใจ ด้วยการคิด เพราะมันเป้นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญญาญานด้วยการคิด
แต่หมายถึงให้เอาการยุบหนอนั่นแหละเป้นผู้ถูกรู้
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
แม้แต่สภาวะอารมณ์ที่เกิดจากการดูจิต
|
ขอนิยามตรงนี้ก่อนนะคับ ในวิชาดุจิต เราจะไม่แก้อารมณ์ใดๆเลย
ไม่ยุ่งกับมันเลย หลักสำคัญคือต้องมี ผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ อยู่เสมอ
ผู้รู้ต้องตื่นเสมอ เผลอยิ่งดี มีอารมณ์ยิ่งดี
เพราะเมื่อเผลอแล้วรู้ตัวนั่นแหละ คือความรู้ของจิต (ผู้รู้ จะมีความรู้มากขึ้น)
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
แต่มันแปลกจากที่ตนเคยดูเคยสอนเค้า ยังแก้ให้เค้าไม่ได้เลยครับ
|
ความจริงก็แก้ได้นะครับ แก้ยังไง?
ต้องมองอย่างนี้
อาจารย์เขาก้สอนหลักการเดียวกัน คนทำได้ก็มี คนทำไม่ได้ก็มี
คนทำได้ มักจะไม่เคยไปยุบหนอ พองหนอ มาก่อน คือไม่เคยทำเลยล่ะ
พวกนี้มักจะดูจิตง่าย เพราะไม่คิดมาก ไม่ติด .."ของเดิม"
แต่คนที่แก้ยาก มักจะติดของเดิม แต่อยากดูจิต (เส้นทาง A แต่ใช้แผนที่ B)
การแก้ไข จึงอยู่ที่ตัวคนปฏิบัติเองว่าจะสามารถทำได้ไหม
สอนให้แก้นิสัยได้ แต่แก้ได้ไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับเขา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้า ยังแก้นิสัยคนไม่ได้เลย ได้แต่สอนให้แก้เอง
โดยการแก้ไขง่ายนิดเดียวคือ ก็เอาการบริกรรมนั่นแหละ เป้นสิ่งที่ถูกรู้
ต้องไม่ติดนิ่ง ไม่ติดแปรปรวน พยามไม่ติดอะไรเลย มีผู้รู้ที่มีความเป็นกลาง
รู้ไปตามจริง
ถึงเวลา จิตมันรู้ถึงขนาด มันจะสำรอกเองคับ
อัด สะ จอ รอ หัน กา รัน ยอ มากๆๆ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 24 ส.ค. 2008, 4:19 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
บุญชัย
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 4:54 pm |
  |
เหมือนผมครับ การปฏบัติ จะไม่มี อะไรเลย ทำ ไป แบบ โง่ โง่ |
|
_________________ ทำดีทุกทุกวัน |
|
   |
 |
ทศพล
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 10 ก.พ. 2008
ตอบ: 153
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
05 ส.ค. 2008, 5:38 pm |
  |
|
     |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
17 ส.ค. 2008, 2:08 pm |
  |
 |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|