| ผู้ตั้ง | 
ข้อความ | 
เฉลิมศักดิ์1 
บัวบาน 
 
 
  
เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007 
ตอบ: 272 
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
16 มิ.ย.2008, 6:16 am | 
   | 
 
 
 
คุณกรัชกายครับ  ในเมื่อเปิดประเด็นที่นี้แล้ว  ก็น่าจะคุยต่อได้  
 
 
ยังไงถ้าว่าง ผมจะตามไปคุยด้วย ทั้ง ๒ ที่
 
(ช่วงนี้งานยุ่งอยู่ครับ  ว่างแค่ตอนเช้า) | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
   | 
  | 
กรัชกาย 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006 
ตอบ: 2348 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
16 มิ.ย.2008, 8:05 am | 
   | 
 
 
 
สวัสดีครับ  คุณเฉลิมศักดิ์   ตั้งกระทู้ใหม่ให้ที่นี่แล้วครับ 
 
 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=66827#66827
 
 
คุยกันที่กระทู้ใหม่ที่เดียวก็ได้ครับ  
 
 
ส่วนที่นี้เก็บไว้เฉพาะประเด็นชื่อกระทู้ | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา | 
 
 
 | 
   | 
  | 
คามินธรรม 
บัวบานเต็มที่ 
 
  
  
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008 
ตอบ: 860 
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม. 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:11 am | 
   | 
 
 
 
| ปุ๋ย พิมพ์ว่า: | 
 
สิ่งที่จะต้องคัดออกไปก็คือสมมุติบัญญัติ เพราะวิปัสสนานั้นสติต้องระลึกตรงต่อปรมัตถธรรม สติต้องระลึกตรงต่อปรมัตถธรรมอย่างสุดส่วน คือรู้เฉพาะปรมัตถ์ให้มากที่สุดให้ยิ่งที่สุด เรียกว่าคัดสมมุติออกไปจากใจให้มากที่สุด ให้คงเหลืออยู่กับสภาวปรมัตถ์ 
 
 
ฉะนั้นการที่มีความจงใจในการใช้สมมุติบัญญัติเช่น คำบริกรรมต่าง ๆ ต้องละออกไปทั้งหมด คำบริกรรม เช่น พุทโธก็ดี พองหนอยุบหนอก็ดี ขวาย่างหนอหรือว่าคำว่ารูปคำว่านามก็ดี หรือคำใด ๆ ก็ตามที่เป็นคำพูด ที่เป็นภาษา จะต้องคัดออกไปให้เหลือแต่สติสัมปชัญญะล้วน ๆ ที่ทำหน้าที่รับรู้รับทราบต่อสภาวธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏ 
 
 
โดยปรกติแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะใช้ภาษา ไม่ได้ตั้งใจจะใช้คำพูดมาบริกรรม จิตเขาก็คอยจะนึกถึงภาษาอยู่แล้ว นึกถึงคำพูดอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่สังเกตจิตใจตัวเองเป็นก็จะพบว่าจิตคอยมีภาษาอยู่ คอยมีคำพูดอยู่ เรียกว่าจิตคอยไหลไปสู่บัญญัติไปสู่สมมุติอยู่ตลอด ในขณะที่จิตไหลไปสู่สมมุติก็คือจิตกำลังถูกปรุงแต่ง 
 
 
จิตกำลังถูกปรุงแต่งด้วยสัญญาความจำได้หมายรู้ วิตกคือตัวตรึกนึก วิจารเคล้าไปในอารมณ์นั้น สิ่งเหล่านี้เป็นต้นที่กำลังปรุง ปรุงแต่งจิตอยู่ อารมณ์ของจิตก็จึงต้องเป็นสมมุติเป็นภาษาขึ้น จากที่เคยจดจำไว้ ชำนาญในภาษาไทยมันก็คอยจะผุดเป็นภาษาไทย ชำนาญในภาษาอื่นมันก็ผุดเป็นภาษาอื่น นี้คือสัญญามันได้ปรุงในจิต มีตัวตรึกนึก อารมณ์ของจิตก็เป็นบัญญัติ 
 
 
เพราะฉะนั้นการที่จะให้จิตหลุดจากบัญญัติหลุดจากสมมุติ สติจะต้องระลึกเข้ามาที่การปรุงแต่ง จำไว้ สติจะต้องระลึกเข้ามาที่การปรุงแต่ง คือระลึกที่ความจำก็ดี ระลึกที่การตรึกก็ดี การนึกก็ดี ที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะที่จิตมีกระแสแล่นไปสู่บัญญัติอารมณ์ หรือพูดง่าย ๆ ว่า รู้สึกว่ามันมีคำพูดขึ้นในใจ มีภาษาขึ้นมาในใจ ขณะนั้นน่ะมีการปรุงแต่ง สติก็ระลึกเข้ามาที่ความปรุงแต่งในกระแสจิต 
 
 
แทนที่จะไปนึกถึงคำพูด แทนที่จะไปนึกถึงความหมาย แทนที่จะไปนึกที่เรื่องราวอันเป็นบัญญัติ แต่หันมุมมองมาสู่แหล่งผลิตคำพูดก็คือการปรุงแต่งนั่นเอง ถ้าสติระลึกเข้ามาที่ปรุงแต่ง เรียกว่าสติระลึกปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ จิตเขาก็จะเปลี่ยนหรือทิ้งออกจากบัญญัติมาเป็นปรมัตถ์ เพราะจิตรับได้ทีละอารมณ์ เมื่อจิตอันประกอบด้วยสติมาระลึกถึงจิตที่กำลังถูกปรุงแต่ง เขาก็ทิ้งจากบัญญัติ ฉะนั้นคำพูดก็จะหลุดไป ภาษาจะหลุดไป นี้โดยเหตุผลมันจะต้องเป็นอย่างนั้น 
 
 
 
อ่านต่อ...“วิธีหลุดจากบัญญัติ” 
 
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)
 
 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1802 | 
 
 
 
 
ถูกที่สุดเลย ธรรมชาติวิปัสนามันเกินกว่าภาษาจะเข้าใจ
 
การที่ยัง มีนู่นหนอ นี่หนอ นั่นหนอ นี่แหละคับที่ทำให้ไม่ไปถึงไหน
 
เพราะมันคือความคิด ต้องหยุดคิด จึงจะรู้
 
ไม่หยุดคิด มันก้จะติดแต่นู่นนี่นั่นไม่ไปไหน | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
 
 | 
 
 
 | 
   | 
  | 
กรัชกาย 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006 
ตอบ: 2348 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
29 ก.ค.2008, 7:03 am | 
   | 
 
 
 
| อ้างอิงจาก: | 
 
| ถูกที่สุดเลย ธรรมชาติวิปัสนามันเกินกว่าภาษาจะเข้าใจ | 
 
 
 
 
ถามคุคามิน  วิปัสสนาในความรู้สึกของคุณ   หมายถึงอะไร  ได้แก่อะไร
 
 
ดูเหมือนคุณกำลังคิดทำวิปัสสนาอยู่หรืออย่างไร | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา | 
 
 
 | 
   | 
  | 
คามินธรรม 
บัวบานเต็มที่ 
 
  
  
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008 
ตอบ: 860 
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม. 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 10:05 pm | 
   | 
 
 
 
| กรัชกาย พิมพ์ว่า: | 
 
| อ้างอิงจาก: | 
 
| ถูกที่สุดเลย ธรรมชาติวิปัสนามันเกินกว่าภาษาจะเข้าใจ | 
 
 
 
 
ถามคุคามิน  วิปัสสนาในความรู้สึกของคุณ   หมายถึงอะไร  ได้แก่อะไร
 
 
ดูเหมือนคุณกำลังคิดทำวิปัสสนาอยู่หรืออย่างไร | 
 
 
 
 
ผมตอบคุณกรัชกายไปเยอะมากแล้ว ในหลายๆกระทู้
 
น่าจะเข้าใจแล้วว่าผมคิดว่าวิปัสนาคืออะไร และผมทำอย่างไร
 
ที่ตอบอยู่ก็ชัด
 
 
ธรรมชาติ (ของ) การเฝ้าดู เฝ้ารู้ ... มันเกินกว่าภาษาจะเข้าใจ
 
ธรรมชาติ (ของ) การเฝ้าดู เฝ้ารู้ ... มันเข้าใจไม่ได้ด้วย ภาษา 
 
ธรรมชาติ (ของ ความรู้จาก) วิปัสสนา มันเกินภาษาจะเข้าใจ | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
 
 | 
 
 
 | 
   | 
  | 
กรัชกาย 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006 
ตอบ: 2348 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 8:44 pm | 
   | 
 
 
 
 
อารมณ์ที่เกิดจากการทำกรรมฐานแบบภาวนามัยไม่ว่าจะใช้คำบริกรรมอย่างไร
 
สภาวธรรมที่ปรากฏก็มีลักษณะอย่างนั้น   
 
 
ปัญหามีว่า   จะแนะนำผู้มีศรัทธาเหล่านั้นอย่างไรให้ปฏิบัติก้าวหน้าต่อไปได้   
 
 
ตัวอย่างมีเยอะแยะ เลือกๆมาตัวอย่างหนึ่ง
 
 
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=33183
 
 
(ปฏิบัติมาได้ซักระยะแล้ว    เกิดความรู้สึกอยากร้องไห้)
 
 
ไม่ทราบว่าอาการที่เป็นเกิดจากการเพ่งจิตเกินไปหรือไม่   เนื่องจากปฏิบัติแนวหลวงปู่เทียนทำ 14 จังหวะสลับกับการเดินจงกรม   แต่สังเกตว่าเวลาพูดคุยเรื่องธรรมะ      เวลาสวดมนต์ที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์      เวลาคิดถึงวัด       จะมีความรู้สึกหนึ่งพุ่งขึ้นมาคะ      ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกเศร้าหรือปีติกันแน่    รู้แต่ว่าอยากจะร้องไห้      แต่พอกลับมารู้สึกตัวกับการเคลื่อนของมือหรือเท้า     ความรู้สึกนี้ก็จะค่อยๆเบาและหายไป        ถ้าคิดใหม่มันก็จะกลับมาอีก       ควรทำอย่างไรกับสภาวะนี้ดีคะ      ควรจะเดินจงกรมอย่างเดียวหรือเปลี่ยนแนวไปดูจิตแทนการทำ 14 จังหวะ       กรุณาให้คำแนะนำด้วยคะ | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา | 
 
 
 | 
   | 
  | 
กรัชกาย 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006 
ตอบ: 2348 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 9:15 pm | 
   | 
 
 
 
การปฏิบัติกรรมฐานพึงอิงหลักใหญ่   คือ   สติปัฏฐาน  4  ฐาน  คือ   
 
 
ตามดูรู้ทันกาย   1   ตามดูรู้ทันเวทนา  1   ตามดูรู้ทันความคิด  1  ตามดูรู้ทัน
 
 
กิเลสนิวรณ์  1  
 
 
ไม่ใช่ดูทีข้อหรือปฏิบัติกันทีละข้อๆนะ     ไม่ใช่   ขณะนั้นอะไรเกิดกระทบความ
 
 
รู้สึก   ให้กำหนดรู้อันนั้นได้เลย    
 
 
รายนี้นึกถึงครูบาอาจารย์   นึกถึงข้อธรรมแล้วปีติเกิด   เกิดแล้วปล่อยให้ผ่าน
 
 
ไปลอยๆ    ความคิดดังกล่าวจึงเกิดวนไปวนมา
 
 
หากกำหนดลงไปว่า   คิดหนอๆๆ   หรือว่า จะร้องไห้หนอๆ    เพียงเท่า
 
 
นี้อารมณ์นั้นก็ดับ  นี่คือตัวอย่างการแก้อารมณ์ในการปฏิบัติกรรมฐาน   
 
 
สภาวะอื่นจากนี้ก็มีวิธีปฏิบัติทำนองนี้    แล้วจึงบริกรรมฐานที่ใช้ต่อไป | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา | 
 
 
 | 
   | 
  | 
กรัชกาย 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006 
ตอบ: 2348 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 9:30 pm | 
   | 
 
 
 
 
อีกตัวอย่างหนึ่ง   จะกี่ร้อยรายกี่พันตัวอย่างก็ตาม  
 
 
วิธีปฏิบัติต่อสภาวะนั้นๆมีอย่างเดียว คือ  กำหนดรู้สภาวะนั้นตามที่มันเป็น 
 
 
หรือตามเป็นจริง  รู้สึกอย่างไรกำหนดนอย่างนั้น  
 
 
แล้วก็อย่างกระทู้นี้ตั้งข้อสังเกตไว้   ว่าผู้ไม่เคยทำภาวนามัยมาก่อน  จะ
 
 
ไม่รู้ถึงสภาวะประมาณนี้เลย  
 
 
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=33185
 
 
(นั่งสมาธิแล้วเห็นขาตัวเองแยกออกจากตัว)
 
 
เริ่มจากที่ภรรยาชวนไปปฏิบัติรรมที่วัดแห่งหนึ่งครับ
 
มีการเดินจงกรมสลับการนั่งสมาธิ........พอถึงการนั่งสมาธินั่งนานประมาณ30นาที(คาดคะเนในใจ)เริ่มมีอาการปวดที่ขาเกิดขึ้นที่ละนิดที่ละน้อย.......................................จนเริ่มปวดมากขึ้นจนในใจคิดว่าจะต้องเปลี่ยนอริยาบสหรือขยับขาเพื่อให้ผ่อนคลายอาการปวดขา.............เกิดความคิดในใจว่าขึ้นมาว่าเรามาปฏิบัติธรรมต้องทำให้ได้ต้องอดทน........อีกในใจกลับบอกว่าถ้านั่งนานไปเดี๋ยวขาจะเจ็บหนักขับรถกลับไปบ้านไม่ได้นะ......ในใจผมเกิดความคิดอย่างนี้สลับกันไปสลับกันมานานพอสมควรจนถึงจุดๆหนึ่งตัดสินใจนั่งต่อไปเป็นไงเป็นกัน.................จนรู้สึกว่าขาข้างที่ปวดหลุดออกจากตัวแล้วรู้สึกว่าผมมองดูขาข้างที่ปวด(ขาข้างขวา)ผมเห็นขาตัวเองมีอะไรบ้างอย่างพันรัดแน่นคล้ายงูกำลังรัดเหยื่อ.....ความรู้ตอนนั้นเหมือนว่ามันไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนมันไม่ใช่ขาของผมเลยครับ..............
 
อาการอย่างนั้นปรากฏอยู่นานจนนาฬิกาจับเวลาการนั่งสมาธิดังเตือนว่านั่งสมาธิครบ 1 ชั่วโมงแล้วดังขึ้นผมก็เลยรู้สึกว่ามีขาอีกครั้งครับ
 
 
 
บอร์ดใหม่
 
 
 
http://fws.cc/whatisnippana/index.php | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา | 
 
 
 | 
   | 
  | 
| 
 |