Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อายตนะสัมผัส อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ค.2008, 9:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะผัสสะ โลกจึงมี

เพราะผัสสะ เวทนาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สัญญาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สังขารจึงเกิด

เพราะผัสสะ วิญญาณจึงเกิด


อายตนะ คื่อโลก

อวิชชา ตัญหา อุปทาน ..........คื่ออัตตา

เมื่ออวิชชาสำรอกจนหมดสิ้น

เมื่อตัญหาสำรอกจนหมดสิ้น

อุปทานก็หาย

คื่อวิสังขาร คื่อไม่มีอัตตา

หมายถึงนิพพาน



หากมีจุดที่ผิดพลาดไม่สมบูรณ์ท่านทั้งหลายจะได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น และจะได้เป็นหัวข้อสนทนา

ฉนั้นผมจึงไม่กางตำราโพสต์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 6:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะผัสสะ โลกจึงมี

เรียนถาม คำว่า โลก ทางปรมัตถธรรมแล้ว คืออะไรครับ

--
ส่วนข้อความอันนี้นั้น
--
เพราะผัสสะ โลกจึงมี

เพราะผัสสะ เวทนาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สัญญาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สังขารจึงเกิด

เพราะผัสสะ วิญญาณจึงเกิด

--- ที่จริง ต้องบอกว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา


เมื่ออวิชชาสำรอกจนหมดสิ้น--อันนี้ ต้องบอกว่า

เพราะมีวิชชา อวิชชาจึงดับ
--
เมื่อตัญหาสำรอกจนหมดสิ้น--อันนี้ ต้องบอกว่า

เพราะเวทนาดับ ตันหาจึงดับ
--
อุปทานก็หาย
--

แต่คงยังไม่ถึงนิพพานหรอกครับ

เพราะการเข้าใจตัวหนังสือกับ การทำจิตนั้นต่างกันมาก

--

สรุปความ ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนสั้น ว่า

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี

เพียงเท่านี้ก็ครอบคลุมหมดแล้ว ไม่ว่า จะพิจารณาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนครับ

เศร้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 8:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
เพราะผัสสะ โลกจึงมี

เรียนถาม คำว่า โลก ทางปรมัตถธรรมแล้ว คืออะไรครับ


ในความคิดของผมคื่ออายตนะ นั่นเองครับ

อ่านจากพุทธธรรมครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 9:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

งั้นอีกทีครับ

ภพ ในปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวเนื่องกับ อายตนะหรือเปล่า รวมถึงโลกด้วยครับ

ขอความกรุณาครับ

เศร้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 9:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ MES ตั้งกระทู้ได้ดี และไม่กางตำรา เอาจากการสังเกตุของตนตามความจริง ถ้าหากว่า มันยังไม่ละเอียดหรือชัดเจนก็ยังประเสริฐกว่าคนไม่ได้มองเลย

ที่ว่ามีผัสสะ จึงมีโลก ข้อนี้ดีมากที่คิด แต่ว่า สรรพสิ่งมีอยู่แล้ว แต่เพราะเราเอาใจไปสัมผัสมันเอง มันจึงเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ในใจ
แต่ว่า เราห้ามสัมผัสไม่ได้ เพราะว่า เราอยุ่ในภพ เราก็ต้องมองให้ขาดว่า สรรพสิ่งเป็นไปเอง เราก็เพิกถอนความสัมผัสนั้นเสีย เพราะเท่าทันว่ามันเป็นตามธรรมดา ดังนั้นเหตุที่เกิดผัสสะ คือ ตัวหลง ไปจับ เรียกว่า อวิชชา

ที่ว่าเพราะผัสสะ เวทนาจึงเกิด ข้อนี้ เพราะมีสังขารจึงมีผัสสะได้ เมื่อมีผัสสะ แล้ว กระทบแล้วจึงเกิดว่าดีหรือไม่ดี ทั้งนี้ ก็ไปวิพากษ์มันเองใช่ไหม ถ้ากระทบแล้ว ไม่สนใจก็ได้ เพราะกระทบแล้วก็ต้องจบไป ไม่มีว่ากระทบแล้วตั้งอยู่ได้นาน โดนชกทีเดียว แว็บเดียว แต่ที่เจ็บนี้เจ็บใจ

่ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นแต่เหตุ การดับ ให้ดับที่เหตคือ อวิชชาุเป็นที่สุด ถ้าหากว่ามีปัญญามองเห็น ก็ดับที่อวิชชาเลย ถ้ายังไม่มีปัญญาพอ สติยังไม่พอก็ให้ดูที่เหตุที่ ใกล้ขึ้น

อะไรก็ตามที่เป็นทุกข์ เพราะเอาใจเข้าไปจับ เพราะหลง เอาใจเผลอตัวไปคิด เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง เป็นเรื่องเป็นราว
นี่เฉพาะสายอวิชชา สายเดียวนะ ถ้าจะดับถึงพระนิพพาน ก็ต้อง สัมประยุต สายอวิชชาอื่นๆ ทั้งหมด คือ จิตดับอวิชชาทั้งหมด ลงสู่นิโรธ
นั้นแหละ จะเรียกได้ว่า แจ้งทีแรก
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 1:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ภพ ในปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวเนื่องกับ อายตนะหรือเปล่า รวมถึงโลกด้วยครับ

ขอความกรุณาครับ


ในปฏิจจสมุปบาท ภพเกิดจากตัญหา ตัญหาเกิดจากอวิชชา อวิชชาคื่อความนึกคิด คื่อธรรมรมณ์ เป็นอายตนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
อาจารย์ครับ ถ้าเราหูหนวก ตาบอด ไร้ความรู้สึก หรือคนที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง ไม่รู้สึกใดๆ ผัสสะและโลกจะเกิดได้ไหมครับ......
ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 3:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ตายนะสิครับ เพราะไม่มีจิตมาหล่อเลี้ยง
คนที่เป็นอัมพาต หรือ คนที่เป็นเจ้าชยนิทราจึงอยู่ได้ไม่นาน
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 10:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ขอร่วมสนทนาด้วยครับ


mes...กล่าวว่า

อ้างอิงจาก:
เพราะผัสสะ โลกจึงมี

เพราะผัสสะ เวทนาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สัญญาจึงเกิด

เพราะผัสสะ สังขารจึงเกิด

เพราะผัสสะ วิญญาณจึงเกิด



ขอกล่าวว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นคุณสมบัติเดิมอยู่แล้ว
ของจิตอวิชชา มีอยู่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดเพราะผัสสะ...

กล่าวคือ ... (คุณสมบัติของจิต)

รู้สึกว่าเราคือจิต ............. เวทนา

จำได้ว่าเราคือจิต ........... สัญญา

คิดได้ว่าเราคือจิต ............ สังขาร

รู้ว่าเราคือจิต.. ......... วิญญาณ

เพ่งพลังให้จิตอื่นรู้ว่าเราคือจิต ......อภิชฌา


อ้างอิงจาก:
อายตนะ คื่อโลก


ขอกล่าวว่า...การที่จิตอวิชชาตะแบงคิดด้วยคุณสมบัติคือสังขาร(คิด)ไปว่า ถ้ามีอะไรที่มากไปกว่าจิตเดิมจะเป็นอย่างไร (ด้วยความไม่รู้)

จึงใช้อภิชฌาซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตเดิมอีกข้อหนึ่งเพ่งพลังสร้างสิ่งที่มากไปกว่าจิต

สิ่งที่สร้างขึ้นมาที่มากไปกว่าจิตเดิม เราจึงเรียกว่า "สังขาร"
(เพื่อให้เกรียติต่อคุณสมบัติของจิตคือ สังขาร)

จึงกล่าวว่า....
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย.....จึงทำให้เกิดสังขาร....

และ สังขารจึงคือโลก ที่จิตอวิชชาสร้างขึ้น

ไม่ใช่อายตนะคือโลก

โลกหรือสังขาร สังขตธรรม จึงอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์

้เมื่อไรจิตมีวิชชา คือนิพพาน นั่นคืออสังตธาตุ

พ้นไตรลักษณ์ พ้นโลก สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 11:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ RARM กล่าวว่า

อ้างอิงจาก:
ภพ ในปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวเนื่องกับ อายตนะหรือเปล่า รวมถึงโลกด้วยครับ

ขอความกรุณาครับ


ขอกล่าวว่า...ภพในปฏิจจสมุปบาท โดยปฏิโลมเกี่ยวเนื่องกับอายตนะ

เพราะอายตนะ----ผัสสะ----เวทนา----ตัณหา----อุปทาน---ภพจึงเกิดขึ้น

โลกคือส่วนต้นที่เรียกตั้งแต่อวิชชาแล้วครับ(อวิชชา---สังขาร)
(อะไรที่มากไปกว่าจิต.....นั่นคือโลก)

สาธุ คุณ mes กล่าวว่า
อ้างอิงจาก:

อวิชชาคื่อความนึกคิด


ผมขอกล่าวว่า อวิชชาไม่ใช่ความนึกคิด

สังขารคือความนึกคิด

อวิชชา ไม่ใช่ธรรมารมณ์

สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
natdanai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2008, 11:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

" ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตทรงตรัสแสดงถึงเหตุเหล่านั้น เมื่อสิ้นเหตุเหล่านั้นจึงดับทุกข์ได้ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวาทะตรัสสอนเช่นนี้เสมอ "

ลองเอาไว้พิจารณาครับท่าน mes กระผมจำมาจากครูบาอาจารย์ครับ ท่านเล่าให้ฟังว่า พระสารีบุตรท่านบรรลุธรรมจากประโยคนี้ครับ
 

_________________
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 7:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึง mes

ในปฏิจจสมุปบาท ภพเกิดจากตัณหา ตัณหาเกิดจากอวิชชา อวิชชาคื่อความนึกคิด คื่อธรรมรมณ์ เป็นอายตนะครับ

---

ในการพิจารณาของผมนะครับ ภพเกิดจากตัณหานั้น ก็จะกระโดดข้ามไปกล่าวคือ

ต้องอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิด ภพ --- ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

ภพ หมายเอา ที่อยู่ ที่อาศัย ของสรรพสิ่ง ซึ่งก็รวมถึงอายตนะด้วย

เรียกได้ว่า อายตนะก็คือ ภพๆหนึ่ง ซึ่งก็รวมถึงโลกด้วย เพราะโลกก็เป็นภพอันหนึ่งคือ เป็นที่อยู่ที่อาศัย

--

ตัณหาเกิดจากอวิชชา จริงๆ แหละครับ แต่ว่า ถ้าจะไล่เรียงมา ก็ต้องเกิดมาจนครบทุกตัวแล้วก็ว่าได้ หรือจะกล่าวกระโดนอย่างนี้ก็ว่าได้ เป็นได้ทั้งนั้นแล้วแต่จะพิจารณา

---

ส่วนอันสุดท้าย

อวิชชาคื่อความนึกคิด คื่อธรรมรมณ์ เป็นอายตนะครับ

ถ้าบอกว่า อวิชชาคือความคิด และถ้าไม่คิดเป็นอวิชชาไหมครับ
--

ต้วผมเองพิจารณาได้ว่า

อวิชชา คือ ไม่รู้ไปตามความเป็นจริง ของธรรมชาติ(ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา) จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (3 คือ มโน กาย วจี +สังขาร)

สังขารจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ (วิญญาณ 6 คืออันนี้ตามตำรา)

เมื่อมีวิญญาณ ย่อมเกิด นามรูป (วิบาก) นามรูป

เป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ (อายตนะนั่นเองครับ)แล้วก็เกิดผัสสะ เพราะอาศัย อายตนะภายนัยกับภายนอก มากระทบกัน จึงมีอารมณ์สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นมาอีก แล้วก็ตัณหา แล้วก็ อุปทาน แล้วก็ภพแล้วก็ชาติ แล้วก็ โสกะ(ทุกข์ใหญ่ นั่นเอง)

ส่วนการดับไปแห่งทุกข์นั้น คือผมพิจารณาว่า ถ้ามีสติตอนไหน คือพิจารณาได้ว่าอันไหนมีเหตุมีปัจจัย มาจากอะไรแล้ว มันก็ดับทุกข์ได้ทุกตอนครับ


---



เศร้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 1:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ RARM กล่าวว่า

อ้างอิงจาก:
ภพ หมายเอา ที่อยู่ ที่อาศัย ของสรรพสิ่ง ซึ่งก็รวมถึงอายตนะด้วย


เมื่อมีตัณหา อยากมากๆ....ก็จะยึด(อุปทาน)
เมื่อยึดๆอยากๆยึดๆอยากๆ....ก็จะสร้าง มโนภาพ จินตนาการต่างๆ
ขึ้นในจิต เราเรียกว่าสร้างภพ สร้างภาพ รู้สึกได้ด้วยธรรมารมณ์ (ยังไม่ใช่รูปธรรมุที่สัมผัสได้)


อ้างอิงจาก:
เรียกได้ว่า อายตนะก็คือ ภพๆหนึ่ง ซึ่งก็รวมถึงโลกด้วย เพราะโลกก็เป็นภพอันหนึ่งคือ เป็นที่อยู่ที่อาศัย


ถ้าหมายเอาว่าภพคือ.....โลกเป็นที่เราอาศัยอยู่แล้วคงไม่ใช่

อ้างอิงจาก:
ส่วนการดับไปแห่งทุกข์นั้น คือผมพิจารณาว่า ถ้ามีสติตอนไหน คือพิจารณาได้ว่าอันไหนมีเหตุมีปัจจัย มาจากอะไรแล้ว มันก็ดับทุกข์ได้ทุกตอนครับ


ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้ง รู้รอบในอริยสัจสี่ จะไม่สามารถถอนรากถอนโคนอันได้แก่อาสวะ อวิชชา
อันครุกกรุ่นอยู่ในจิต
ที่สะสมมานมนานหลายภพหลายชาติได้เลย....

จะดับทุกข์ได้เฉพาะขณะเท่านั้น ไม่ดับสนิท(นิพพาน)

สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 1:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์

แก้ไขล่าสุดโดย thammathai เมื่อ 26 ก.ค.2008, 2:04 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 2:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
เรียนถาม คำว่า โลก ทางปรมัตถธรรมแล้ว คืออะไรครับ


โลกทางปรมัตธรรมแล้วหมายเอาสิ่งที่มากไปกว่าจิต....
อะไรที่เกินเลยไปกว่าจิตเดิม คือโลก คือสังขาร ทั้งสิ้น

จิตเดิมปภัสสรแต่ไร้เดียงสา เหมือนเด็ก
ยังไม่มีความรู้.....จิตเรียกว่าเป็นจิตอวิชชา

เพราะคุณสมบัติของจิตคือการคิด....
จึงตะแบงคิดไปได้ว่า....ถ้ามีอะไรที่มากไปกว่าจิตจะเป็นอย่างไร

เดิมมีแต่จิต เป็นอมตธาตุ

จิตเดิมมีมาก่อนแล้ว(มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา )

ธรรมทั้งหลายมีใจมาก่อน (มโนปุพพัง) มีใจประเสริฐสุด และสำเร็จได้ด้วยใจ

เดิมนั้นเราคือใจ ที่ไม่มีรูปร่างตัวตน ไม่ใช่สัตว์ชีวิตหรือบุคคล เป็นภาวะจิตในสภาพบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นธรรมชาติเดิมอย่างนั้น

และอยู่ด้วยภาวะของความไม่กระเสือกกระสน ไม่กระวนกระวาย เรียกว่านิ่ง เป็นภวังคจิต หรือ ฐีติภูตัง

จิตนี้มีคุณภาพในตัวเองเป็นพิเศษ คือ รู้ คิด และจำ รู้ว่านั่นอะไร นี่อะไร คิดทำอย่างไร ควรทำอย่างไร ไม่ทำอย่างไร

จำว่าทำอะไรไป คิดอะไร ใครทำอะไรที่เห็นที่รู้ จำได้ นี่คือคุณภาพเดิมของจิตที่รู้ คิด จำ

เป็นธรรมชาติอยู่ในจิตเองซึ่งตอนแรกไม่แสดงออก แม้จะมีคุณภาพรู้ คิด จำ แต่ก็อยู่ในภาวะแห่งภวังคจิต

จิตนี้ถึงแม้ว่าจะบริสุทธิ์เป็นภวังคจิต แต่เป็นจิตที่มีอวิชชา คือ ไม่รู้รอบ ไม่รอบรู้ และไม่มีประสบการณ์

คำว่าอวิชชานี้หมายถึงโง่ก็ได้ ที่ไม่รู้รอบไม่รู้จริงและไม่ได้รอบรู้ จึงหลงคิด (หลง แปลเป็นบาลีว่า โมหะ)

จึงหลงคิดไปว่าถ้ามีอะไรที่มากกว่าจิตจะเป็นอย่างไร

จิตนี้ก็เริ่มคิดเริ่มแล่น เมื่อจิตนี้เริ่มหวั่นไหวเริ่มสั่นสะเทือน เริ่มแล่น ก็เปลี่ยนจากภวังคจิตมาเป็นวิถีจิตหรือจรจิต

จึงใช้สภาวะพลังของจิตที่เป็นพลังงานมาเพ่ง เรียกว่า อภิชฌา ทำให้เกิดการรวมพลังมาเป็นมวลสาร กลายมาเป็นตัวตนขึ้น

เรียกว่าเกิดการประมวลมาซึ่งมวลสาร กลายเป็นตัวตนคือร่างกายขึ้น อันประกอบด้วยธาตุ ๔ เป็นต้น

เมื่อได้อุปกรณ์คือร่างกายนี้มาด้วยตนเอง ปรารถนาว่าคงจะดีมีความสุข ด้วยความคิดเช่นนี้

และการเพ่งเพื่อให้เกิดร่างกายจนกระทั่งได้ร่างกายนี้มา
ดังนั้นร่างกายนี้จึงเป็นสิ่งที่เพ่งปรุงแต่งสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยการรวมพลังรวมธาตุกันขึ้นมาเป็นร่างกาย ร่างกายนี้อุปกรณ์นี้จึงเรียกว่าสังขาร

เพราะฉะนั้น อวิชชาหรือความไม่รู้หรือโมหะเป็นความหลงที่คิดว่าจะดี จึงก่อให้เกิดสังขาร

โลกทางปรมัตธรรมหรือสังขารจึงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่คิดมีอะไรมากไปกว่าจิตนั่นเอง สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 3:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกความคิดเห็นของทุกท่าน เป็นประโยชน์กับผม และกับผู้อ่านท่านอื่นๆครับ

เป็นประโยชน์ทั้งในการสนทนา และในธรรมที่สนทนา

เป็นมงคลสำหรับทุกท่านครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 6:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนถามคุณ thammathai

1. อยากจะเรียนถามสอบความเข้าใจตัวเองเรื่อง ภพ ในปฏิจสมุปบาทน่ะคับ

1.1 อย่างนี้เป็นภพหรือไม่
+ พระราชา - ประชาชน
+ มารดาบิดา - บุตร
+ ความเป็นตัวตนนิสัย - การถือว่านี่คือฉัน
+ การมีสิ่งของบางอย่าง ที่มีค่าทางใจกับตัวเรา แต่สำหรับคนอื่นไม่มีค่าราคาอะไร
+ การติดอยู่ในอารมณ์ต่างๆ
+ การมีความคิดเกิดขึ้น แล้วจบไป ชั่วแว๊บหนึ่ง

1.2 ภพที่กล่าวมานี้ คือภพในความหมายเดียวกันหรือเปล่าคับ


2.อย่างนี้เข้าใจถูกไหม
คือวัตถทั้งหลายในโลก มันก็มีอยู่ของมันอยู่แล้ว
แต่การเกิดปฏิจสมุปบาทนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเราสร้างวัตถุเหล่านั้นขึ้น (ไม่ใช่จิต ได้เนรมิตวัตถุขึ้น)

แต่หมายถึงจิต ที่สร้างความยึดถือในวัตถุขึ้น
ในทำนองเดียวกัน จิตก้สร้างความยึดถือในนามธรรมทั้งปวง โดยอาศัยกระบวนการเดียวกัน

3. ทำไมจิตที่ดับลง (ผัสสะดับลง)
ทำไมวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่ดับด้วย เพราะเมื่อไม่มีอายตนะ มันก้ต้องขาดช่วง ไม่เป็นเหตุให้เกิดลำดับต่อไป

4. อย่างนี้เข้าใจถูกไหม
การดับวงจรปฏิจจสมุปบาทด้วยวิชชานั้น
ไม่ได้หมายความว่า ทั้งชีวิตมันมีวงจรนี้แค่วงจรเดียว
แต่เราต้องดับวงจรนี้วันละเป็นร้อย เป็นพันครั้ง และต้องดับไปเรื่อยๆจนจิตมันทำเองโดยอัตโนมัติ
จึงจะเรียกว่า ได้บรรลุการดับทุกข์แห่งจิต
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 9:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมขอแสดงความเห็นนะครับ

ภพ คือ อะไรก็ตามที่ติดอยู่ ยึดอยู่ เพราะว่า ภพนี้มี เหตุ คืออวิชชา

ดังนั้น ทั้งอารมณ์ ทั้งอะไรก็ตามที่ติดอยู่ ยึดอยู่ จะนานเท่าไรก็ตามถ้ายึดอยู่ นั้นคือ ภพ และนี่คือ ภพ แห่งมนุษย์ มันก็ติดอยู่เป็นสายปฏิจสมุบาทหลัก

ทีถามมาว่า ภพทั้งหลายนั้นมีความหมายเหมือนกันไหม ตอบว่า เหมือนกัน แต่ เป็นคนละสายปฏิจสมุบาท คือ ปัจจยาการแห่งกรรม

ข้อ 2 ที่ถามมา ตอบว่าไม่ถูก เพราะสรรพสิ่งทั้งหลาย นั้นแหละ เกิดจากอวิชชา ตึกราบ้านช่อง ก็เป็นกรรมปรุงขึ้นมาอย่างมีเหตุ และหลายเหตุประชุม เราเป็นเหตุก็มี เราไม่ใช่เหตุก็มี ดังนัั้นสรรพสิ่งที่เป็นมาอยู่แล้ว เราก็ย่นย่อลงมา คือ ค่อยๆ เพิกเฉย จากหยาบสุด มาละเอียดสุด
ก็สรุปว่า ทั้งรูป ทั้งนาม นั้นแหละ

ข้อ 3 ตอบว่า อวิชชายังอยู่ ต้นสายมันอยู่ที่อวิชชา มันไม่ใช่อยู่ที่สังขาร และ อายตนะ และ ผัสสะ มันก็ปรุงต่อ

ข้อ 4 เห็นอวิชชาตัวหลักทีเดียว คือ ความหลงเข้าไปปรุงนั้นนี่ พออวิชชาหลักดับไป ก็จะเห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวง เราแตกออกไปเองโดยไม่รู้ตัว
นั้นแหละ นิโรธ เบื้องต้น

ก็สรุปว่า นี่ คุณ คามินธรรม ยังอยู่ในขั้นที่ กำหนด รูป นาม เห็นทุกข์ และ สมุทัย บางส่วน ต้องอบรมปัญญา ให้เห็น สมุทัยที่ละเอียดกว่านี้ และทุกข์ที่ละเอียดกว่านี้ จึงจะดับ สมุทัยทั้งหมด เข้าสู่นิโรธ ครั้งแรกได้
ก็จะเรียกว่า โคตรภูญาณ
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thammathai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 9:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับคุณคามินธรรม

อ้างอิงจาก:
เรียนถามคุณ thammathai

1. อยากจะเรียนถามสอบความเข้าใจตัวเองเรื่อง ภพ ในปฏิจสมุปบาทน่ะคับ

1.1 อย่างนี้เป็นภพหรือไม่
+ พระราชา - ประชาชน
+ มารดาบิดา - บุตร
+ ความเป็นตัวตนนิสัย - การถือว่านี่คือฉัน
+ การมีสิ่งของบางอย่าง ที่มีค่าทางใจกับตัวเรา แต่สำหรับคนอื่นไม่มีค่าราคาอะไร
+ การติดอยู่ในอารมณ์ต่างๆ
+ การมีความคิดเกิดขึ้น แล้วจบไป ชั่วแว๊บหนึ่ง


ขอกล่าวว่า...
+ พระราชา - ประชาชน
+ มารดาบิดา - บุตร
+ ความเป็นตัวตนนิสัย - การถือว่านี่คือฉัน

ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่ภพ.... น่าจะเป็นการปรากฏแห่งขันธ์....
แล้วเกิดอุปทานความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในฐานะที่มี ที่เป็นแล้ว (อัตตวาทุปาทาน)


+ การมีสิ่งของบางอย่าง ที่มีค่าทางใจกับตัวเรา แต่สำหรับคนอื่นไม่มีค่าราคาอะไร

คือ ยึดในกามคุณ (กามุปาทาน)

+ การติดอยู่ในอารมณ์ต่างๆ

อาจจะใกล้เคียงกับความยึดมั่นในแบบแผนความประพฤติและข้อปฏิบัติที่
จะให้ได้สิ่งที่ปรารถนา (สีลัพพตุปาทาน)


+ การมีความคิดเกิดขึ้น แล้วจบไป ชั่วแว๊บหนึ่ง

กล่าวว่าเป็นธรรมมารมณ์

ภพนั้นจะยังไม่ปรากฏเป็นตัว เป็นตน ยังไม่หยั่งลง(ชาติ)
จะเป็นการสร้างภาพในจิตเท่านั้น

กล่าวว่า ภพคือ เจตนา เจตจำนงที่จะกระทำการตามอุปทานนั้นๆ เพื่อให้ได้มาและให้เป็นไป......
ตามความยึดมั่นถือมั่นนั้น และนำให้เกิดกระบวนพฤติกรรม (กรรมภพ)

อ้างอิงจาก:
2.อย่างนี้เข้าใจถูกไหม
คือวัตถทั้งหลายในโลก มันก็มีอยู่ของมันอยู่แล้ว
แต่การเกิดปฏิจสมุปบาทนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเราสร้างวัตถุเหล่านั้นขึ้น (ไม่ใช่จิต ได้เนรมิตวัตถุขึ้น)

แต่หมายถึงจิต ที่สร้างความยึดถือในวัตถุขึ้น
ในทำนองเดียวกัน จิตก้สร้างความยึดถือในนามธรรมทั้งปวง โดยอาศัยกระบวนการเดียวกัน


ตอบว่า เข้าใจถูกต้องครับ จิตเกิดความอยาก(ตัณหา)และยึดๆ(อุปทาน)
ในสิ่งที่เป็นกามคุณ รูป และ อรูป จนเกิดภพอันได้แก่ กามภพ รูปภพและอรูปภพ

อ้างอิงจาก:
3. ทำไมจิตที่ดับลง (ผัสสะดับลง)
ทำไมวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่ดับด้วย เพราะเมื่อไม่มีอายตนะ มันก้ต้องขาดช่วง ไม่เป็นเหตุให้เกิดลำดับต่อไป


จิตเป็นอมตธาตุ ไม่ได้ติดๆดับๆ
ส่วนที่เกิดๆดับๆคือคุณสมบัติของจิต....

อันได้แก่เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณที่อาศัยอายตนะเท่านั้น

แม้ไม่มีอาตนะ ... จิตก็มีคุณสมบัติสามารถรับรู้ด้วยตัวมันเอง สะสมสิ่งต่างๆที่รับรู้ตลอดเวลา แม้ถึงนิพพานจิตก็รู้ว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

อ้างอิงจาก:
4. อย่างนี้เข้าใจถูกไหม
การดับวงจรปฏิจจสมุปบาทด้วยวิชชานั้น
ไม่ได้หมายความว่า ทั้งชีวิตมันมีวงจรนี้แค่วงจรเดียว
แต่เราต้องดับวงจรนี้วันละเป็นร้อย เป็นพันครั้ง และต้องดับไปเรื่อยๆจนจิตมันทำเองโดยอัตโนมัติ
จึงจะเรียกว่า ได้บรรลุการดับทุกข์แห่งจิต



ไม่ต้องกล่าวว่าเป็นการติดๆดับๆแล้วคอยไล่ดับวันละร้อยวันละพัน
การมองเช่นนี้ ทำให้การปฎิบัตินั้นยากมาก การเกิดๆดับๆนั้นเป็นแค่คุณสมบัติของจิต...

จิตไม่ได้เกิดๆดับๆ....มันเป็นอมตธาตุ...จนเข้านิพพาน...
ก็จิตนี่แหละเข้านิพพาน...รับรู้สุขในนิพพาน(นิพพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง)
ก็จิตดวงนี้แหละแต่...เป็นจิตที่มีวิชชาแล้วนั่นเอง ไม่ได้สูญหายไปไหน

ถ้าการถึงซึ่งนิพพานแล้วจิตดับลงสูญสิ้นไป....เราจะปฎิบัติกันไปทำไม
แต่การถึงซึ่งนิพพานของจิตเป็นการสูญสิ้นจากกิเลส อวิชชา โดยสิ้นเชิง

การมีวิชชาคือการมีญาณปัญญาเห็นแจ้งรู้จริงในอริยสัจสี่
ด้วยทางเดินแห่งมรรคมีองค์แปด....

เห็นด้วยตน รู้ด้วยตนว่า จริงๆเราคือจิตที่บริสุทธิ์

อะไรที่มากไปกว่าจิตคือ โลก คือ ทุกข์ทั้งสิ้น

รู้อย่างนี้ ให้ได้อย่างนี้เป็นญาณปัญญา ไม่ต้องคอยไล่ดับ

กล่าวสั้นๆว่า "พึงเป็นผู้มีปัญญารักษาใจให้บริสุทธิ์"
สาธุ
 

_________________
เราคือใจที่บริสุทธิ์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2008, 10:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบพระคุณคุณขันธ์ และ คุณ thammathai มากๆเลยครับผม
ไหว้งามๆ สาธุ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง