ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 3:19 pm |
  |
คุณ"คามินธรรม"ครับ
มักจะมั่นใจมาก ยึดถือมาก
จะเปลี่ยนแปลงอะไรยากหน่อย
....ถ้าผมยึดถือ ก็ไม่รู้ความจริง ไม่ยึดถือจะพบความจริง คุณจะเปลี่ยนแปลงพุทธะได้อย่างไรครับ
เมื่อคุณเข้าไม่ถึงความเป็นพุทธะ มีพุทธะมาสอนคุณก็ไม่เชื่อ เพราะศาสนาพุทธที่ถูกสอนโดย
สมมุติสงฆ์ ล้วนแต่เป็นสัทธรรมปฏิรูปทั้งสิ้น
ผมไม่เห็นมีความขัดแย้ง ผมชี้แนะคนอื่น เขาไม่เชื่อ ผมก็ไปบังคับไม่ได้ ผมมีแต่โดนบังคับจาก
เว็บมาสเตอร์ในเว็บศาสนาต่างๆให้ออกไปต่างหาก
พระพุทธเจ้าท่านรู้ทุกอย่าง เป็นสัพพัญญู แต่พระองค์ไม่ได้ส้งจิต export (ส่งออกนอก)นะครับ
ี |
|
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 3:38 pm |
  |
คุณ พลศักดิ์
คำว่า " โสดาบัน " นี่จ๊าบจริงๆ เห็นคนเขาฮิตพูดกันเหลือเกิน เท่าที่อ่านๆมากับบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็น " โสดาบัน " ขนาดสักกายะทิฏฐิยังละไม่ได้เลย ยังยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองว่าต้องถูกเสมอ กับครูบาฯก็ยังกล้าจ้วงจาบกล้าละเมิด
จริงๆแล้วก็แค่ถามๆไปอย่างนั้นว่าคุณเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า เพราะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่ใช่ แต่อยากจะพูดเพื่ออาจจะทำให้คุณรู้ตัว บุคคลทั้งหลายย่อมเป็นไปตามวิบากกรรม เนื่องจากเหตุที่ได้เคยสร้างไว้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
นิมิตก็คือนิมิต ดิฉันไม่เคยให้ค่าให้ความหมายในสิ่งเหล่านี้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ อวดอ้างออกไปเท่ากับเอากิเลสไปหลอกชาวบ้านให้งมงาย เมื่อชาวบ้านงมงาย อามิสบูชาก็ตามมา
ได้แต่บอกว่ากุศลแต่ละคนสร้างสั่งสมมาไม่เท่ากัน กรรม ( การกระทำ ) ทำอย่างไร ย่อมได้รับวิบากกรรม ( ผลของการกระทำ ) เช่นนั้น
อ้อ... ที่บอกว่า รู้ว่าไม่ใช่พระอรหันต์ก็เพราะ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่มาตามเว็บบอร์ดหรอก
............................................................
จากข้อความที่คุณพลศักดิ์โพส
....ถ้าผมยึดถือ ก็ไม่รู้ความจริง ไม่ยึดถือจะพบความจริง คุณจะเปลี่ยนแปลงพุทธะได้อย่างไรครับ
เมื่อคุณเข้าไม่ถึงความเป็นพุทธะ มีพุทธะมาสอนคุณก็ไม่เชื่อ เพราะศาสนาพุทธที่ถูกสอนโดย
สมมุติสงฆ์ ล้วนแต่เป็นสัทธรรมปฏิรูปทั้งสิ้น
................................................................
เนี่ย .... จากข้อความตรงนี้ คุณเองยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนอุปกิเลสมันหลอกเอา |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 6:00 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
คุณ "ratchadapa" ครับ
อนัตตลักขณสูตร
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร เรื่องอนัตตาในขันธ์ ๕ ต่อเหล่าพระปัญจวัคคีย์ทั้ง๕ จนสำเร็จพระอรหันต์[๒๐]
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา(ไม่มีตัวตน ที่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง - ไม่ใช่ตัวใช่ตนแท้จริง - หรือกล่าวอีกอย่างที่มีความหมายเดียวกันว่า มีตัวตนแต่ไม่เป็นแก่นเป็นแกนแท้จริง)ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวน เช่น เจ็บป่วย) และบุคคลย่อมไม่ได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. (กล่าวคือ ถ้ารูปนั้นเป็นของตัวของตนจริงๆแล้วไซร้ จะต้องควบคุมบังคับได้ตามปรารถนา ต้องควบคุมบังคับให้ไม่แปรปรวนหรือดับไปตามสภาวธรรมได้ด้วยตัวตนของตนเองอย่างแท้จริงและแน่นอน)
เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้นเวทนาจึง เป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวน) และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่าสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้วสังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่าวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่าวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ตามคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่จะเป็นอัตตาได้ สิ่งนั้นจะต้องไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และพึงได้ในสิ่งนั้นว่า จงเป็นอย่างนี่เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย |
ตรงสีแดงนี่ ตอนจบนี่เอง ที่คุณพลศักดิ์สรุปเอง โดยไม่ได้ออกจากพระโอษฐ์
เพราะในสูตรไม่ได้พูดไว้อย่างนั้น
แต่พี่สรุปแบบอนุมานสิ่งตรงกันข้าม
พูดง่ายๆว่า พูดกลับกัน และทึกทัก deduction/induction เองว่าจึงจริงไปด้วย
พระพุทธเจ้าพูดว่า... ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะ...
1. มันบังคับไม่ให้อาพาธไม่ได้ มันต้องอาพาธ เป็นธรรมดา
2. มันบังคับให้เป็นไปอย่างใจต้องการไม่ได้ มันเป้นไปของมันเอง บังคับไม่ได้
แตพี่กลับคิดในมุมกลับว่า ถ้างั้น ... สิ่งใดๆมันย่อมเป็นอัตตาเมื่อ ...
1. ไม่อาพาธ
2. บังคับได้อย่างใจ
แล้วก็ไปตีความคำว่านิพพานว่าเป็นอัตตา เพราะนิพพานนั้น..
1.ไม่อาพาธ ( ไม่มีความเสื่อม มีตลอดไป)
2. บังคับได้อย่างใจ (จะเข้า จะออกเมื่อไหร่ก็ได้)
อ้างอิงจาก: |
พลศักดิ์ - ตามคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่จะเป็นอัตตาได้ สิ่งนั้นจะต้องไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และพึงได้ในสิ่งนั้นว่า จงเป็นอย่างนี่เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย |
การสรุปกลับไป reverse แบบนี้มักทำให้เข้าใจผิด ประมาทเอาการอยู่
ผมจะยกตัวอย่างดังนี้
สมมุติผมว่า ช้างไม่เคยเข้ามาในผัสสะของผมเลย ไม่เคยมีสัญญาว่าช้างเป้นอย่างไร
พอพระพุทธเจ้ามาบอกว่า ... ช้าง.... ต้องมี 4 ขา
วันหลังผมไปเจอม้า จับๆดู พบว่ามี 4 ขา
ผมจึงบอกว่า .... โอ้ ... เจอแล้ว ช้างของพระพุทธเจ้า
พระองคืบอกว่า "ช้างต้องมี 4 ขา" นี่นา
... ดังนั้น เจ้าตัวนี้... " มี 4 ขา จึงเป็นช้าง"
ซึ่งผิดอย่างอุกฤษ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 20 ก.ค.2008, 6:52 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 6:41 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
...(คามินธรรมขอตัดข้อความที่ไม่จพเป็นต้องอ้างออกไป)...
...........
คุณ"คามินธรรม"ครับ ...
คุณจะเปลี่ยนแปลงพุทธะได้อย่างไรครับ
เมื่อคุณเข้าไม่ถึงความเป็นพุทธะ
มีพุทธะมาสอนคุณก็ไม่เชื่อ
เพราะศาสนาพุทธที่ถูกสอนโดยสมมุติสงฆ์
ล้วนแต่เป็นสัทธรรมปฏิรูปทั้งสิ้น [/b]
|
1. ขอถามเพิ่มหน่อยนึง ไม่เข้าใจตรงคำว่าพุทธนี่ล่ะคับว่าทำไม..
A. ต้องเปลี่ยน หรือไม่เปลี่ยน พุทธะ
B. พุทธะในที่นี้ หมายความอย่างไร เป็นนาม เป็นรูป หรือผสมกัน
และพุทธที่ว่านั้น รู้ได้ด้วยอะไร
2. สัทธรรมปฏิรูป มันก็เป็นของปกติ ธรรมดา ประจำโลก เช่นนิกายต่างๆ ก็ปฏิรูปทั้งนั้น ต้องทำใจรับให้ได้
การทำให้สัทธรรมบริสุทธิ์ เป็นอัธยาศัยของแต่ละคน
เป็นปัจจัตตัง ด้วยตน ของตน
บางคนก็ต้องการโลกียสุข แค่ธรรมะผิวๆ เขาก็พอใจแล้ว
บางคนต้องการโลกุตรสุข
พระสงฆ์ก็ครึ่งๆ กลางๆก็มี กลับไม่ได้ไปไม่ถึงโลกอุดรก็มาก
หน้าที่คุณพลศักดิ์คือต้องฝึกตน แล้วจึงฝึกผู้อื่น
อย่างที่หลวงปู่มั่นบอกไว้
แต่วิธีฝึกผู้อื่นของคุณพลศักดิ์ มันมีสภาพบังคับอยู่กลายๆ
คือต้องการเปลี่ยน ..เถรวาท ... ให้บริสุทธฺ์ในบริบทของคุณพลศักดิ์
หมดความเชื่อถือในผู้อื่นที่ไม่ใช่อรหันต์
และเชื่อว่าเถรวาท หรือศาสนาพุทธ ... ต้องสั่งสอนโดยอรหันต์เท่านั้น
ผมก็ไม่เข้าใจว่าว่า
ทำไมไม่ไปลงที่ ..วัชรยานบ้าง
ทำไมไม่ไปลงที่ ... ลังกาวงศ์บ้าง
ทำไมไม่ไปลงที่ ... มหายานบ้าง
ทำไมไม่ไปลงที่ ... นิกายอันนัมบ้าง
ปฏิรูปเยอะแยะ ทำไมต้องเถรวาท ...
ทำไมมีอะไรแง่ลบอย่างมาก... กับเถรวาท .. อย่างเจาะจง
ได้แต่ภาวนาให้คุณพลศักดิ์ อย่าพยามเปลี่ยนคนอื่นเลย
พี่เชื่อของพี่ยังไงก็ไม่มีใครว่า เป็นตัวของตัวเองได้ ประกาศจุดยืนได้
ประเทศเรามีเสรีภาพจะตายไป
แรงเสียดทานมันก็มีเป็นของธรรมดา
ถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับนาลันทา
ถือว่ายังน้อยเมื่อตอนพุทธศาสนาเข้ามาในหมู่ผู้นับถือผีของเอเชียตะวันออกในสมัยโบราณ พระตายเยอะมาก
อ้างอิงจาก: |
ผมไม่เห็นมีความขัดแย้ง ผมชี้แนะคนอื่น เขาไม่เชื่อ ผมก็ไปบังคับไม่ได้ ผมมีแต่โดนบังคับจาก
เว็บมาสเตอร์ในเว็บศาสนาต่างๆให้ออกไปต่างหาก
|
อันนี้ก้ชัดเจนว่า การสอนใคร ต้องดูด้วยว่าเขารับได้ไหม
สังคมหนึ่งๆ บริบทหนึ่งๆ มันมีความเฉพาะตัว
เมื่อเขาไม่มีปีก ท่านจะสอนให้บินได้อย่างไร
เมื่อเขาไม่พอใจที่ท่านพยามสอนเขาบิน
ท่านจะไปน้อยใจ เคืองเขาเหล่านั้นได้อย่างไร มันเปลืองแรงเปล่าๆ
อุปมาเหมือนคุณพลศักดิ์พบอาหารชั้นเลิศ
อยากเอาอาหารที่คุณพลศักดิ์คิดว่าดี คิดว่าเลิศแล้ว มาให้คนอื่นได้กินกัน
แต่เขาไม่กิน ... คุณพลศักดิ์ก็ยิ่งยืนยันว่าดี ควรกิน
เขาก้ยังยืนยันว่าไม่กิน ... คุณพลศักดิ์ก็ยิ่งแจกแจงว่าดี และอยากให้เขากิน
เขาก็เลยไม่พอใจ เลยบังคับคุณพลศักดิ์ออกมา
แม้จะชัดเจนว่าเป็นความขัดแย้ง แค่คุณพลศักดิ์กลับมองว่าไม่ขัดแย้ง
มันก็ชัดเจนอยู่ว่าพี่มองไม่ออก หรือเลือกจะไม่มอง |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 7:19 pm |
  |
<ผมขอคัดมาเฉพาะประเด้นที่จะคุยนะคับ>
อ้างอิงจาก: |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ ตอบคุณ "ratchadapa"
2. พระพุทธเจ้าพูดถึงความหมายของอัตตา เอาไว้ด้วย แต่ตัวนี้ผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพานจะรู้
และเข้าใจได้ เมื่อผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว ไปอ่านพระไตรปิฎกอีกครั้ง จะตรัสรู้ธรรม
ด้วยตนเองเลยว่า สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตายนั้น มีขันธ์หรือกายเหมือนกัน เรียกว่า
ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย อายตนะนิพพานก็คือธรรมกายนี่เอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เที่ยง....ที่ผมกล่าวว่า
" สิ่งใดเที่ยง, ไม่มีทุกข์, ไม่ปรวนแปรเป็นธรรมดาสามารถบังคับบัญชาให้เป็นอย่างใจหวังได้
สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นอัตตา "
คุณไม่เข้าใจตอนนี้ ก็คงไม่เป็นไร สักวันหนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่งเมื่อคุณมีบุญบารมีพร้อมจะเข้าถึงแก่นธรรม
คุณย่อมเข้าใจเอง ผมไม่อยากไปยัดเยียด หรือบังคับอะไรให้คุณ ผู้เป็นบัญฑิตที่ใช้สมองคิด
และตีความพระไตรปิฎกอย่างเดียว ให้เชื่อตามผม
|
ผมมองว่า ไม่ต้องเข้ากระแสนิพพาน ก็สรุปได้ว่าผิด
ใช้ตรรกะธรรมดา สอบสวนได้
เพราะประมาทในการตีความแบบ reverse กัน
ภาษาเทคนิคเรียกว่า induction/deduction
เหมือนที่ผมยกตัวอย่างสมมุติว่า ....
... พระพุทธเจ้าบอกว่า ช้างมี 4 ขา ...
พอเราเจออะไรมี 4 ขา เราก็ว่าเป็นช้าง ...
ทั้งนี้เพราะเราเก็งคำตอบแบบสุดโต่ง
คือต้องมีขาว หรือ ดำ เท่านั้น
ไม่มีเทา
จากสูตรที่ยกว่า
พระพุทธเจ้าบอกว่า ขันธ์เป้นอนัตตา เพราะ
1. มีอาพาธ
2. บังคับไม่ได้
แล้วเราก็เลยสรุปเอาเองแบบตรงข้ามว่า
ถ้างั้น อะไรที่เป็นอัตตา ย่อมมี
1. ความไม่อาพาธ
2. บังคับได้ดังใจ
ซึ่งผิด
อันนี้แหละ สัทธรรมปฎิรูปนะพี่
ของไม่มีอยู่เดิม แต่ใช้ของเดิมมากลับหัวกลับหางให้ได้ของใหม่งอกขึ้นมา
แล้วสรุปว่าจริง เพราะของเดิมเป็นความจริง
ถ้าพระพุทธเจ้าบอกว่า ...
มานี คือผู้หญิง
แล้วพี่จะสรุปว่า ดังนั้น ผู้หญิง คือ มานี
หรือ?
อ้างอิงจาก: |
พลศักดิ์ ตอบ ratchadapa
คุณ "ratchadapa" ครับ
อ่านข้อความสุดท้ายซิครับ
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าาข้า
ตอนนี้ ผมจะลองถามใหม่ว่า
ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
คุณจะตอบว่าอะไรครับ
ข้อนั้นควรเลย พระพุทธเจ้าข้า
สรุป "อัตตา"ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงนั้น ไม่ใช่อัตตาทางโลก อัตตาทางโลกไม่มี อัตตาทางโลกเป็นอุปทาน
หรือมายา มันจึงเป็นอนัตตา แต่มีอัตตาแท้ๆอีกตัวหนึ่งที่พระพุทธเจ้าให้ความหมายไว้ว่า สิ่งที่จะเป็นอัตตา
ได้ต้องเที่ยง ไม่มีอาพาธ ไม่แปรปรวน เป็นไปได้ดังใจหวัง
นอกจากนี้ ผมขอนำคำเทศน์ของ สมเด็จพระสังฆราช
อริยวงศาคตญาณ (แพติสูรเทโว) มาลงด้วย เพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษากัน
"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็น
นิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" |
ตรงสีเขียวนี่เอง
ที่เจอแล้วว่าเป็นปมปัญหา
คือผมอยากรู้ว่า อัตตา อนัตตา ในความหมายของพี่
มันคือยังไงกันแน่ แถวรวาทว่ายังไง
อะไรคือเหตุของความแตกต่างระหว่างอัตตา กับอนัตตา
อัตตา อนัตตา เป็นกริยา หรือ noun
เราใช้คำเหล่านี้อย่างไร เมื่อต้องใช้กับรูปะ หรือนามะ
เมื่อตรงนี้จูนตรงกันได้
ผมว่ามันก็มีที่จบได้
เพราะคุยบนบัญญัติเดียวกัน |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 8:03 pm |
  |
คุณ"คามินธรรม" ครับ
ข้อความของคุณ
การสรุปกลับไป reverse แบบนี้มักทำให้เข้าใจผิด ประมาทเอาการอยู่
ผมจะยกตัวอย่างดังนี้
สมมุติผมว่า ช้างไม่เคยเข้ามาในผัสสะของผมเลย ไม่เคยมีสัญญาว่าช้างเป้นอย่างไร
พอพระพุทธเจ้ามาบอกว่า ... ช้าง.... ต้องมี 4 ขา
วันหลังผมไปเจอม้า จับๆดู พบว่ามี 4 ขา
ผมจึงบอกว่า .... โอ้ ... เจอแล้ว ช้างของพระพุทธเจ้า
พระองคืบอกว่า "ช้างต้องมี 4 ขา" นี่นา
... ดังนั้น เจ้าตัวนี้... " มี 4 ขา จึงเป็นช้าง"
ซึ่งผิดอย่างอุกฤษ
..............ในกรณีสิ่งที่เป็นอนัตตา มายาของโลก เป็นอัตตาอุปทาน ตรรกกะของคุณถูกต้อง
เพราะสรรพสิ่งในจักรวาล มันมีมากมายหลายชนิด แต่ในพระนิพพาน จะเข้าไปอยู่ได้ต้องละราคะ โทสะ
โมหะให้หมดเท่านั้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขของอัตตา (อสังขตธาตุ)
ด้วยเหตุนี้ จึงมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็น อัตตา สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าให้ความหมายไว้ว่า สิ่งที่จะเป็น
อัตตาได้ ต้องเที่ยง ไม่มีอาพาธ ไม่แปรปรวน เป็นไปได้ดังใจหวัง สิ่งนั้นก็คือ นิพพาน นิพพานจึงเป็น
อัตตา เพราะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่มีเงือนไขสอดคล้องกับนิยามอัตตาของพระพุทธเจ้า |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 8:16 pm |
  |
คุณ"walaiporn" ครับ
ข้อความสุดท้ายของคุณ
เนี่ย .... จากข้อความตรงนี้ คุณเองยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนอุปกิเลสมันหลอกเอา
........อย่าพยายามดูจิตของผมเลย ผมมีอุปกิเลสหรือไม่ผมย่อมรู้ดี คุณควรใช้จิตพุทธะของคุณดูจิต
ที่ยังมีกิเลสของคุณจะดีกว่า |
|
|
|
  |
 |
หลงเข้ามา
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2007
ตอบ: 8
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 8:58 pm |
  |
สวัสดีคุณพลศักดิ์
เราจะเข้าถึงความเป็นพุทธจิตได้อย่างไร |
|
|
|
  |
 |
ratchadapa
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 9:35 pm |
  |
ขอบคุณค่ะที่คุณพลศักดิ์อุตส่าห์ตอบอย่างยาวเหยียด
เรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ถ้าคุณไปรู้ไปเห็นนิพพานหรือพระบรมศาสดาส่งคุณมา คงไม่มีใครไปรู้เห็นตามได้ และคงยากจะมีคนเชื่อ ในพรหมชาลสูตรตอนท้ายๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว จะไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์อีกเลย
ปุถุชนอย่างดิฉันคงจะไม่มีความสามารถไปเห็นนิพพานอย่างคุณ ตอนนี้ขอแค่มีชีวิตไปแต่ละวันโดยไม่มีความทุกข์ก็พอสำหรับภพชาตินี้ค่ะ
 |
|
_________________ พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 10:11 pm |
  |
หลงเข้ามา พิมพ์ว่า: |
สวัสดีคุณพลศักดิ์
เราจะเข้าถึงความเป็นพุทธจิตได้อย่างไร |
คุณหลงเข้ามาจากเว็บพลังจิตหรือเปล่าครับ วันนี้คุณขันธ์ก็เข้ามา พุทธจิตเข้าถึงได้ง่ายๆ
เพียงแต่ไม่มีอารมณ์ในสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ใครด่าเราเราก็ไม่โกรธ ใครชมเรา เราก็ไม่ดีใจ
ทุกอย่างเป็นของลวงหลอกจิตทั้งนั้น |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 10:16 pm |
  |
ratchadapa พิมพ์ว่า: |
ขอบคุณค่ะที่คุณพลศักดิ์อุตส่าห์ตอบอย่างยาวเหยียด
เรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ถ้าคุณไปรู้ไปเห็นนิพพานหรือพระบรมศาสดาส่งคุณมา คงไม่มีใครไปรู้เห็นตามได้ และคงยากจะมีคนเชื่อ ในพรหมชาลสูตรตอนท้ายๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว จะไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์อีกเลย
ปุถุชนอย่างดิฉันคงจะไม่มีความสามารถไปเห็นนิพพานอย่างคุณ ตอนนี้ขอแค่มีชีวิตไปแต่ละวันโดยไม่มีความทุกข์ก็พอสำหรับภพชาตินี้ค่ะ
 |
ในเว็บธรรมะใดๆ ก็ต้องมีคนที่มีแววเห็นดวงตาธรรมอยู่ ไม่เช่นนั้น พระพุทธองค์คงไม่ให้ผม
ถูกขับออกจากเว็บพลังจิต เว็บพันทิพย์ และเป็นที่ไม่ต้องการของเว็บต่างๆ สุดท้ายก็หลงเข้ามาใน
เว็บนี้ |
|
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ค.2008, 10:45 pm |
  |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า
......อย่าพยายามดูจิตของผมเลย ผมมีอุปกิเลสหรือไม่ผมย่อมรู้ดี คุณควรใช้จิตพุทธะของคุณดูจิต ที่ยังมีกิเลสของคุณจะดีกว่า
...............................................................................
เพียงพิมพ์ให้อ่าน ถ้าทำให้ขุ่นเคืองจะมากหรือจะน้อยก็ต้องขออภัย ขอบคุณที่แนะนำให้ดิฉันดูจิตของตัวเอง ดูมาตลอดแหละ ดูแล้วก็เห็นกิเลสเห็นมันเต้นๆๆๆๆๆ แบบว่าอยากพูด อยากสนทนา แต่ไม่ได้คิดอยากจะสอนใครเพื่อสนองกิเลส แล้วก็ให้บังเอิญไม่มีกิเลสที่อยากจะสอนใครเสียด้วยสิคะ เพียงแต่มันยังมีกิเลสอย่างที่บอกคืออยากพูด อยากสนทนา แต่อารมณ์นี้เป็นไม่นานหรอกค่ะ น๊านๆนานถึงจะฮิตขึ้นมาสักที แบบว่ามาดูๆมาแจมๆ เผื่อมีใครที่อาจจะติดขัดแบบที่เคยเป็น ไม่ได้มาคิดสอนใครนะคะขอย้ำ เพียงแค่อาจจะแนะแนวทาง ส่วนเขาจะทำหรือไม่ทำมันก็เรื่องของเขา
นำมาให้อ่าน ....
อธิโมกข ได้แก่ ศรัทธา คือเกิดศรัทธาขึ้นมามากมาย เป็นศรัทธาที่มีกำลังมาก เพราะจิตและเจตสิกผ่องใสเป็นอย่างยิ่งด้วยอำนาจศรัทธากล้า พาให้นึกคิดไปใหญ่โต เช่น คิดถึงคนทั้งหลายอยากให้เขาได้เข้ากัมมัฏฐานอย่างตนบ้าง เป็นต้นคนที่รักใคร่ชอบ บิดา มารดา อุปัชฌาอาจารย์ อันศรัทธาชนิดนี้มีความรุนแรงมาก ขนาดที่ว่าแม้ท่านผู้มีพระคุณเหล่านั้นได้ตายไปแล้ว ตนก็แทบจะไปขนกระดูกท่านเหล่านั้นมาปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเหมือนตนบ้างทีเดียว เมื่อนึกใกล้เข้ามาถึงอาจารย์ผู้ให้กัมมัฏฐานแก่ตนในปัจจุบัน ก็เกิดว่าตนได้พบเห็นธรรมะได้รับความสุขอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะได้อาจารย์ช่วยแนะนำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่บัดนี้เชื่อจริงๆ ถ้าทำกุศลใดๆในภายหน้า ก็จะทำเฉพาะกุศลที่เกี่ยวกับวิปัสสนานี้ เพราะได้เห็นคุณค่าของการปฏิบัติ ถ้าโยคีผู้นั้นเป็นบรรพชิตก็เกิดคิดวางแผนการณ์สร้างมโนภาพว่า เมื่อตนสำเร็จออกจากกัมมัฏฐานไป จะต้องไปหาที่ที่เหมาะตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานขึ้น แล้วตั้งตัวเองเป็นอาจารย์สั่งสอนให้คนทั้งหลายได้รู้จักพระศาสนาที่ถูกต้อง ว่าประโยชน์ที่แท้จริงคือการวิปัสสนานี้เอง คนทั้งหลายยังโง่มากที่ไม่รู้จักปฏิบัติอย่างที่ตนกำลังทำอยู่นี้ เป็นที่น่าสงสาร ฉะนั้น จะต้องช่วยเขาไม่ให้หลงผิด จะได้พ้นทุกข์ เมื่อคิดเพลิดเพลินไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้า โยนั้นก็เลยลืมมูลกัมมัฏฐานคือการรตั้งสติกำหนด ทำให้กัมมัฏฐานรั่ว คือบกพร่อง อันที่จริงความศรัทธาที่เกิดขึ้นนี้เป็นของดี เพราะเป็นศรัทธาที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งคนธรรมดาจะเกิดศรัทธาขนาดนี้ไม่ได้ แต่ที่จะเป็นวิปัสสนูปกิเลสก็เพราะว่า เมื่อจิตเพลิดเพลินไปด้วยศรัทธา ก็ทำให้ละเลยมูลกัมมัฏฐาน คือการตั้งสติกำหนด ทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติวิปัสสนา และเมื่อมนสิการไม่ดี มีตัณหา,มานะ,ทิฏฐิเข้ามาประสมด้วย ก็จะทำให้การบำเพ็ญซัดส่ายยิ่งขึ้น ไม่ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร
...........................................................................
แล้วก็นี่ค่ะ ธรรมะจากหลวงปู่ดุลย์
กล่าวเตือน
ท่านกล่าวเตือนว่า " การปฏิบัติให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลายกำหนัด ยินดี เพื่อความดับทุกข์ มิใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมานหรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห้นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆไม่ต้องอยากเห็นอะไรเพราะพระนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตนหาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปแล้วจะรู้เอง
มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตัง คือ รู้เห็นได้ จำเพาะตนโดยแท้ ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในศาสนาโดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป แม้จะมีผู้สามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่ สิ่งนั้นยังไม่แน่นอน
ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้สองโลก คือโลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ ในน้ำ ขืนขึ้นมาบนบกก็ตายหมดฯ
วันหนึ่ง เต่าลงไปในแม่น้ำ แล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำฯ
ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า บนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่า มันจะลึกอะไรก็มันบกฯ
เอ บนบกมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไรก็มันบกฯ
เอ บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไรก็มันบกฯ
ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
" จิตปถุชนที่เดามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา " |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 12:16 pm |
  |
คุณ"walaiporn"ครับ
ขอบพระคุณครับที่นำเอา ธรรมะจากหลวงปู่ดุลย์ มาฝาก
เรื่อง มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง รู้เห็นได้ จำเพาะตน ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง
แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในศาสนาโดยสิ้นเชิง
แต่เราทุกคนควรรู้เป้าหมายของศาสนาพุทธก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้สมมุติสงฆ์และปถุชนทำสัทธรรมปฏิรูป
เดาและมั่วคำสอนของพระพุทธเจ้ากันไปเรื่อยๆ ศาสนาพุทธจะอยู่ได้ถึง 5000 ปี ต้องมีผู้รู้จริงกล้าออกมาพูด
ผมโดนไล่ออกจากเว็บพันทิพย์ 6 ครั้ง โดนไล่ออกจากเว็บพลังจิต และอีกหลายเว็บ ผมหาได้สนใจไม่
ผมก็จะบอกความจริงในพระพุทธศาสนาต่อไป |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 6:42 pm |
  |
แต่เราทุกคนควรรู้เป้าหมายของศาสนาพุทธก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้สมมุติสงฆ์และปถุชนทำสัทธรรมปฏิรูป
เดาและมั่วคำสอนของพระพุทธเจ้ากันไปเรื่อยๆ ศาสนาพุทธจะอยู่ได้ถึง 5000 ปี ต้องมีผู้รู้จริงกล้าออกมาพูด
ผมโดนไล่ออกจากเว็บพันทิพย์ 6 ครั้ง โดนไล่ออกจากเว็บพลังจิต และอีกหลายเว็บ ผมหาได้สนใจไม่
ผมก็จะบอกความจริงในพระพุทธศาสนาต่อไป
แล้วตำนานผีสาวในเวปเมเนเจอร์ที่คุณยุ่งด้วย เป็นการบอกกล่าวของอริยชน
เป็นการประกาศบอกความจริงในพระพุทธศาสนาหรือ
อะไรคือวจีทุจริต อะไรคื่อมโนทุจริต อะไรคื่อสัญญาวิปปลาส
คำตอบอยู่ข้างบนนั้น |
|
แก้ไขล่าสุดโดย mes เมื่อ 23 ก.ค.2008, 8:38 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
   |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 8:20 pm |
  |
คุณ"mes"
แล้วตำนานผีสาวในเวปเมเนเจอร์ที่คุณยุ่งด้วย เป็นการบอกกล่าวของอริยชน
เป็นการประกาศบอกความจริงในพระพุทธศาสนาหรือ
อะไรคือวจีทุจริต อะไรคื่อมโนทุจริต อะไรคื่อสัญญาวิปปลาส
คำตอบอยู่ข้างบนนั้น
.........ผมไม่เคยยุ่งกับผีครับ กรุณาอย่าใส่ความ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ผมแผ่เมตตาปล่อยผี
และสร้างปัจจัย 4 ให้เกิดขึ้นกับผี ที่อยู่ในหมู่บ้าน ช่วยวิญญาณตนใดไป เขาก็ต้องมาหาเพื่อ
ขอบคุณ มีอยู่วันหนึ่งขณะทำกรรมฐาน ผมสงสัยในใจว่าวิญญาณในภูมิต่ำๆเหล่านี้ เขายังมีอารมณ๋เพศ
และร่วมเพศกันได้ไหม? ในเมื่อเขาต้องกิน ต้องอยู่เหมือนคนในโลก แค่สงสัยเท่านั้น ตอนผมนอน
วิญญาณสาวคนหนึ่งเปลีอยกายเข้ามากอดจูบผม แล้วเขาก็เอาอวัยวะเพศของเขาวางสอดไว้ต้องนิ้วมือของผม
ผมอยู่ในอาการผีอำ ขยับ(วิญญาณของ)นิ้วมือได้เท่านั้น ผมก็ขยับดู เลยรู้ว่าผีผู้หญิงก็มีน้ำเมือกเหมือนกัน
คราวนี้ชัดเจนเลยว่า ผีในภูมิต่ำ ยังใช้วิธีร่วมเพศเหมือนมนุษย์
คุณตามผมมาทุกเว็บเลยนะครับ คุณน่าจะเป็นคนเดียวกับคุณastro neemo เว็บพลังจิต และ
ในเว็บเมเนเจอร์ คุณก็คือ คุณเสี่ยวอีสาน วางเถอะครับ อย่าเป็นเครื่องมือมาร ทำบาปอีกเลย |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 8:35 pm |
  |
คุณพลศักดิ์
ผมเชื่อคุณนะ แต่นี่ไม่ใช่ทางแก้กิเลสครับ แต่กลับเป็นการสั่งสมกิเลสให้มากขึ้น แล้วมันเป็นกามราคะด้วย มันเป็นนักเลงโตนะครับ คุณรู้มั้ยครับ |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 8:42 pm |
  |
guest พิมพ์ว่า: |
คุณพลศักดิ์
ผมเชื่อคุณนะ แต่นี่ไม่ใช่ทางแก้กิเลสครับ แต่กลับเป็นการสั่งสมกิเลสให้มากขึ้น แล้วมันเป็นกามราคะด้วย มันเป็นนักเลงโตนะครับ คุณรู้มั้ยครับ |
กามราคะ โทสะ โมหะ ผมละได้กว่า 90%นานแล้วครับ ผมเป็นคนชอบพูดความจริง ไม่ใช่นักเลงโต
มีอันธพาลมาหาเรื่องเรา เราไม่หาเรื่องตอบ แต่ก็ต้องชี้แจง มันก็แค่นี้ครับ
ผมโดนพระยามารส่งลูกน้องเข้าสิงใจทีมงานเว็บมาสเตอร์ในเว็บพลังจิต เว็บพันทิพย์ เว็บเมเนเจอร์
เว็บธรรมะไทย เขาเล่นงานผมตลอดล่ะครับ ผมมาเว็บนี้ มารเขาก็ตามมา แต่อย่าหวังทำอะไรผมได้เลย
อย่างมากเขาก็สิงใจทีมงานเว็บไล่ผมออกไป ผมก็ไปเว็บอื่นต่อ เพื่อเผยแพร่สัจธรรมของฟ้า |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 8:56 pm |
  |
คุณพลศักดิ์
ผมถามหน่อยครับ แล้วคุณไปขยับนิ้วทำไม ทำไมคุณไม่ขัดขืน ผมว่าคุณปฏิบัติกรรมฐานมา คุณน่าจะมีพลังจิตที่เหนือกว่าผีตนนั้นนะครับ |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ค.2008, 11:55 pm |
  |
guest พิมพ์ว่า: |
คุณพลศักดิ์
ผมถามหน่อยครับ แล้วคุณไปขยับนิ้วทำไม ทำไมคุณไม่ขัดขืน ผมว่าคุณปฏิบัติกรรมฐานมา คุณน่าจะมีพลังจิตที่เหนือกว่าผีตนนั้นนะครับ |
คุณอย่าถามอะไรที่มันฉลาดน้อย และพาลหาเรื่องแบบคุณmessซิครับ 20 ปีก่อน ผมมีความอยากรู้
อยากเห็น แล้วผมก็ไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อนิ้วสอดอยู่ ก็ต้องเคลื่อนมันดูบ้างเป็นธรรมดา สนองความประสงค์ของ
วิญญาณสาวดวงนั้น และสนองความอยากรู้อยากเห็นของผม ถอดจิตวิญญาณไปนรก ผมยังเคยถอดไปเลย
แค่อยากรู้อยากเห็นว่านรกมีจริงหรือไม่ เรื่องวิญญาณผมพบมาเป็นแสนดวงครับ ผมเล่า 5 ปี
ก็เล่าไม่จบ ความรู้ในปรโลกของผมเกินกว่าที่คุณจะนึกได้ ไม่น้อยหน้าพระมาลัยแน่นอน
พระยายมราชยังเกรงใจผมเลย ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมเป็นใคร ถามท่านดูได้เมื่อคุณตาย
ชื่อของผมก่อนโดนไล่ออกจากเว็บพลังจิต คือ ใบไม้นอกกำมือ การที่ผมจะรู้ใบไม้นอกกำมือได้
แสดงว่าผมต้องรู้และปฏิบัติสิ่งที่เป็นใบไม้ในกำมือได้มากแล้ว |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2008, 12:10 am |
  |
คุณ พลศักดิ์
ช่วยเล่าให้ฟ้งหน่อยซิครับนรกที่คุณเห็นกับวิญญาณในนรกเป็นยังไง ผมไม่เคยเห็น แล้วคุณมีวิธีถอดวิญญาณยังไงผมจะลองทำดูเผื่อทำได้
ผมยังไม่รู้เลยผมจะตายเมื่อไหร่ ใน 1 นาทีข้างหน้าผมอาจตายก็ได้ ผมไม่กล้าถามท่านยมราชหรอกครับผมเกรงใจท่าน เพราะไม่แน่ใจว่าคุณยิ่งใหญ่ขนาดไหน คุณควรจะบอกผมก่อนว่าคุณเป็นใครผมจึงกล้าถามท่าน
คุณพลศักดิ์ ผมว่าคุณจิตส่งออกนะครับ |
|
|
|
  |
 |
|