ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
thammathai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 4:21 pm |
  |
คุณพลศักดิ์กล่าวว่า
ดูที่พระพุทธเจ้าตรัสสิครับ
จากที.ปา. ๑๑/๕๕/๙๒/พ.ศ. ๒๕๒๕ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฺฐา อธิวจนํ ธมฺมกาโย อิติปิ
พฺรหฺมกาโย อิติปิ ธมฺมภูโต อิติปิ พฺรหฺมภูโต อิติปิฯ
ดูกรวาเสฏฐะ และภารทวาชะ เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี ว่า พรหมกายก็ดี
ว่าธรรมภูตก็ดี ว่าพรหมภูตก็ดี เป็นชื่อของตถาคตฯ
คือพระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดี คำที่เป็นชื่อต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น"
ปรมาตมันหรือพรหมันก็คือ พรหมภูต นั่นเอง
ผมว่าไม่เป็นการด่วนสรุปเร็วเกินไปหรือครับ......ผมขอถามดังนี้ครับ...
1.วาเสฏฐะ และภารทวาชะ คือใคร ทำไมพระพุทธเจ้าต้องตรัสเช่นนี้
2.คำว่า ธรรมกายก็ดี ว่า พรหมกายก็ดี ว่าธรรมภูตก็ดี ว่าพรหมภูตก็ดี
แปลว่าอะไร ทำไมพระองค์จึงตรัสว่าเป็นชื่อของตถาคต
(ลองไปค้นดูในอัคคัญญสูตรและอรรถกถานะครับ) |
|
_________________ เราคือใจที่บริสุทธิ์ |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 4:45 pm |
  |
คุณ"thammathai" ครับ
(ลองไปค้นดูในอัคคัญญสูตรและอรรถกถานะครับ)
อรรถกถานั้นเขียนโดยสมมุติสงฆ์ เชื่อถือไม่ได้หรอกครับ เพราะเขาไม่เข้าถึงธรรม ยังถูกมารครอบงำจิตได้อยู่
ดังเช่นกระทู้เรื่องรุกฆาต พวกที่เชื่อว่า นิพพานเป็นอนัตตา คนที่เข้าไม่ถึงธรรม ถูกมารครอบงำจิตใจ
เขาไม่มีทางโต้เหตุผลกับผมได้ ใช้วิธีลบกระทู้ผมไปเฉยๆเลย ยังดีที่ไม่ใช้วิธีไล่ผมออกไปจากเว็บ
มารเขาสู้กับพุทธะอยู่ครับ โลกนี้มารเขาคุม เมื่อผมรู้ความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในพุทธศาสนา
และพยายามเปิดเผย เขาย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อปิดปากผม |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 7:57 pm |
  |
คุณพลศักดิ์ วังวิวัฒน์
๑.จิตบริสุทธิ์-จิตพระอรหันต์
กิเลสปงฺโก อันว่าเปือกตมคือกิเลส ติฏฺฐติ ย่อมตั้งอยู่ จิตฺเต ในจิต อรหนฺตานํ ของพระอรหันต์ทั้งหลาย น จิรติฏฺฐติ ย่อม ไม่ตั้งอยู่ได้นานย่อมกลิ้งตกไปฉันใด เหมือนกันกับน้ำตกลงบนใบบัว ตกลงแล้วต่างอันต่างไม่มีเจตนาต่อกัน น้ำก็กลิ้งตกไป ใบบัวก็ไม่ซึมซาบกับน้ำ นั่นแหละเรื่องกิเลส กับ จิตบริสุทธิ์
๒.จิตประภัสสร(จิตผ่องใส)-จิตปุถุชน
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ แปลว่า จิตเดิมผ่องใสแต่อาศัยกิเลสที่จรเข้าจรออก กิเลสจรมาจรไป แล้วก่อให้เกิดเชื้อไฟกับไฟประสานกันลุกเป็นเปลวไฟขึ้นมาภายในจิตใจของสัตว์ ท่านจึงเรียกว่ากิเลสเผาหัวใจสัตว์โลก
ซึ่งจิตประภัสสร คือ "จิตผ่องใส" รับกิเลสที่จรมาจรไปแล้วเกิดปฏิกิริยาคือเปลวไฟบนหัวใจสัตว์ ไฟคือราคะ ไฟคือโมหะ ไฟคือโทสะ
"จิตบริสุทธิ์" กับ "จิตประภัสสร" ต่างกันดังนี้
เมื่อถึงนิพพานแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล |
|
|
|
  |
 |
thammathai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 9:37 pm |
  |
อัคคัญญสูตร
เป็นพระสูตรอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ตั้งแต่หน้า 145 เชื่อถือได้ไหมครับคุณพลศักดิ์
เวลาอ่านเรายังเพิ่งด่วนสรุป ...... ต้องโยนิโสมนสิการก่อนว่าเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าแสดงนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
ในพระสูตรนี้ เสฏฐะ และภารทวาชะ เป็นสามเณรที่เคยนับถือพราหมณ์มีตระกูลเป็นพราหมณ์ มาก่อน
การสั่งสอนนั้นจึงต้องเปรียบเปรยกับสิ่งที่ทั้งสองเชื่อถือมา(เหมือนกับชฎิล 3 พี่น้อง นับถือลัทธิไฟ การสอนท่านก็เปรียบเปรยกับไฟ จะได้เห็นชัด)
ท่านสอนเสฏฐะ และภารทวาชะ เรื่องของธรรมอันสูงสุด โดยเปรียบเทียบกับลัทธิพราหมณ์เดิมให้ทั้งสองเข้าใจง่ายเช่น
1.ธรรมอันประเสริฐสูงสุด ท่านเปรียบเทียบธรรมสูงสุดว่าเปรียบกับพรหมอันสูงสุดของพราหมณ์
(ไม่ได้สรุปว่าพระพุทธเจ้าคือพรหม )
2.พราหมณ์ทั้งหลายเป็นบุตร
เกิดแต่อกเกิดจากปากของพรหม เกิดจากพระพรหมโดยตรง พรหมเนรมิตขึ้นเป็นทายาทของพรหม คือ กายพรหม พรหมภูต
ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก ตั้งมั่นอย่างมั่นคงควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค
คือศากยบุตร ก็เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรม เรียกว่า ธรรมกาย ธรรมภูต
จึงทรงแสดงเปรียบเทียบว่า...
ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคตดังนี้ เพื่อให้ทั้งเสฏฐะ และภารทวาชะได้เข้าใจง่ายขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับลัทธิเดิมของตน
ไม่ได้สรุปเช่นที่คุณพลศักดิ์กล่าวว่า
อ้างอิงจาก: |
ปรมาตมันหรือพรหมันก็คือ พรหมภูต นั่นเอง
พระเจ้าคือพระพรหม(ปรมาตมัน)จริงๆ แต่ไม่ใช่
รูปพรหมหรืออรูปพรหม แต่เป็นพรหมภูต คือ แม้แต่พระพรหมก็ยังไม่เห็นท่าน พระเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า
|
นั่นคือพรหมภูตเปรียบเป็นชือของพระพุทธเจ้า(ใช้สอนเปรียบเทียบข้างต้น)
แต่พระพุทธเจ้าไม่ใช่พรหมภูต ไม่ใช่ที่คุณพลศักดิ์กล่าวข้างต้น
เจริญในธรรม  |
|
_________________ เราคือใจที่บริสุทธิ์ |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 11:01 pm |
  |
คุณ thammathai และคุณคามินธรรมครับ
ตัวเองเป็นพระอาทิตย์ กลับมองไม่เห็นตัวเอง
ตัวเองมีตัวรู้อยู่ แต่ไปมองหาตัวรู้ที่อื่น
ตัวเองมีนิพพานอยู่ กลับเที่ยวค้นหานิพพาน
อย่าหานิพพานจากภายนอก นิพพานนั้นแหละคือคุณ |
|
แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 16 ก.ค.2008, 11:29 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 11:23 pm |
  |
คุณ thammathai และคุณคามินธรรมครับ
ผมถามคุณ thammathai กับคุณคามินธรรมง่ายๆว่า?
ดวงอาทิตย์ มันก็คือ ดวงอาทิตย์ไม่ใช่หรือครับ ดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงเดิมใช่ไหม เพียงแต่เอาเมฆที่บังมันออกไป
กลับไปนั่งคิด นอนคิด สงบๆ ทำใจเย็นๆ เมื่อไรมีดวงอาทิตย์ดวงใหม่บอกผมด้วยนะ
2. จิตเดิม หรือจิตปภัสสร นั้นไม่ได้อยู่ในนิพพาน (มาจากไหนก็ไม่รู้อะนะ ยังหาไม่เจอ) .......คุณไปหานิพพาน
จากภายนอก แต่ไม่รู้ว่านิพพานก็คือ คุณก็คือนิพพาน เพราะคุณเป็นดวงอาทิตย์
3. จิตเดิม นั้นเป็นเพียงจิต ที่ยังไม่มีตัวรู้ มีสิทธิหลงอีก ต้องทำให้มันรู้โดยอุบายแห่งวิปัสสนา จึงจะนิพพาน จิตนิพพาน มีตัวรู้ ไม่หลงอีก ไม่กลับมาอีก ......ทำวิปัสสนา สติปัฏฐาน 4 เอาจิตไปดูจิต ก็คือเอาจิตบริสุทธิ์ของคุณไปดูจิตไม่บริสิทธิ์ ก็คือเอาดวงอาทิตย์(จิตบริสุทธิ์)ไปดูเมฆ(จิตไม่บริสุทธิ์) |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 11:44 pm |
  |
คุณ"guest" ตรับ
ไฟคือราคะ ไฟคือโมหะ ไฟคือโทสะ ที่ก่อขึ้นในจิตปุถุชน เมื่อดับไฟทั้งหมดนั้นแล้ว จิตมันก็ปภัสสร
เหมือนเดิมไม่ใช่หรือครับ แล้วมันมีของใหม่หรือครับ
ดวงอาทิตย์ก็ดวงเดิมไม่ใช่หรือครับ????
"จิตบริสุทธิ์" กับ "จิตประภัสสร" มันอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว แค่กิเลสมาบังตา เลยมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นดวงอาทิตย์ |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 11:52 pm |
  |
คุณ"thammathai"ครับ
อย่าพยายามตีความด้วยตัวเองเลยครับ ถ้าจิตคุณยังไม่บริสุทธิ์พอ ยกพระไตรปิฎกเล่มที่ 15
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 145 เรื่อง อัคคัญญสูตร ตรงๆมาเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะไปยกมา |
|
แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 17 ก.ค.2008, 12:11 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 12:00 am |
  |
อัคคัญญสูตร
เรื่อง วาเสฎฐะภารทวาชะ
............................
พวกพราหมณ์ทั้ง หลาย เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระ พรหม พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม พวกท่านมา ละเสียจากวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือพวก สมณะโล้น เป็นพวกคหบดีเป็นพวกดำ เกิดจากเท้าของพระพรหม การที่ท่านมาละเสียจากวรรณะประเสริฐสุด ฯลฯ เช่นนี้ ไม่เป็น การดี ไม่เป็นการสมควรเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ได้ พากันด่าบริภาษข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำบริภาษอันสมควรแก่ตนอย่าง เต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลย อย่างนี้แลดังนั้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้ จึง กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่า อื่นเลวทราม พราหมณ์เท่านั้นมีวรรณะขาว วรรณะเหล่าอื่นดำ พวก พราหมณ์เท่านั้นบริสุทธิ์ หมู่ชนที่ไม่ใช่พราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวก พราหมณ์ เป็นบุตรเกิดแต่อุระ เกิดจากปากของพรหมณ์ เกิดจากพระ พรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ ตามที่ปรากฏชัดเจนอยู่ว่า นางพราหมณีของพวกพราหมณ์ ทั้งหลายมีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ก็พราหมณ์ เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทางช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐที่สุด ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม ดังนี้ ก็พราหมณ์ เหล่านั้นย่อมกล่าวตู่พระพรหม และพูดมุสา พวกเขาจะต้องประสพ สิ่ง ไม่เป็นบุญมากมาย
.............มีข้อความต่อไปอีกมากมายจนมาถึงหน้าที่ 150....................
ว่าด้วยบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งหลายแล มีชาติเกิดต่างกัน มีชื่อต่างกัน มีโคตรต่างกัน ออกจาก เรือนมาบวชเป็นบรรชิต ถูกเขาถามว่า ท่านเป็นพวกไหนดังนี้ พึงตอบ เขาว่า พวกเราเป็นพวกพระสมณะศากยะบุตรดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก ตั้งมั่นอย่าง มั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เคลื่อน ย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต........มาดูในอรรถกถาหน้า ที่ 175 ในเล่มเดียวกันนี้...................
ความจริง พระอริยสาวกนั้นอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเกิดขึ้นในภูมิของ พระอริยะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นบุตรของพระผู้มีพระภาค และชื่อว่าเป็น โอรสเกิดแต่พระโอษฐ์ เพราะอยู่ในอกแล้วดำรงอยู่ในมรรคในผลด้วย อำนาจแก่การกล่าวธรรมอันออกมาจากพระโอษฐ์ ชื่อว่าเกิดแต่ธรรม เพราะ เกิดจากอริยธรรม และชื่อว่าธรรมอันเนรมิตขึ้น เพราะถูกอริยเนรมิตขึ้น ชื่อว่าธรรมทายาท เพราะควรได้รับมรดกคือ นวโลกุตตรธรรม (โลกุตตรธรรม 9)
คำว่า ธมฺมกาโย อิติปิ ความว่า เพราะเหตุไร พระ ตถาคตจึงได้รับขนานนามว่า ธรรมกาย เพราะพระตถาคตทรงคิดพระ พุทธพจน์คือพระไตรปิฎกด้วยพระหทัยแล้ว ทรงนำออกแสดงด้วยพระวาจา ด้วยเหตุนั้น พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงจัดเป็นธรรมโดยแท้เพราะ สำเร็จด้วยธรรม พระธรรมเป็นกายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นดังพรรณนา มานี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่าธรรมกาย ชื่อว่าพรหมกายเพราะ มีธรรมเป็นกายนั่นเอง แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหมเพราะเป็น ของประเสริฐ บทว่า ธมฺมภูโต ได้แก่สภาวธรรม ชื่อว่า พรหมภูต เพราะเป็นผู้ที่เกิดจากพระธรรมนั่นเอง
------------------------------------------------------------------------------------ |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 12:07 am |
  |
คุณ"thammathai"ครับ
พวกพราหมณ์ทั้ง หลาย เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระ พรหม
พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม = ควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ
เกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต
หัวใจของเรื่องคือ
1. แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหม
2. พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้า
3. พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ปรมาตมัน หรือพรหมัน นั่นเอง |
|
|
|
  |
 |
thammathai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 9:33 am |
  |
คุณพลศักดิ์กล่าว
อ้างอิงจาก: |
หัวใจของเรื่องคือ
1. แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหม
2. พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้า
3. พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ปรมาตมัน หรือพรหมัน นั่นเอง |
ข้อ 1 และ 2 เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้สอนวาเสฎฐะภารทวาชะ ถูกต้องตามนั้นครับ
ข้อ 3.คุณสรุปเอง....ตีความเองนะครับ....ไม่เห็นด้วยครับ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมเป็นนก ผมจะบินไปไกลๆๆ
แต่ไม่ได้สรุปว่าผมเป็น "นก " จริงๆ
เช่นกันพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบกับพรหมดังพระสูตร "พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต"
แต่ี่คุณพลศักดจะิ์สรุปว่า"พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ปรมาตมัน หรือพรหมัน นั่นเอง" ไม่ได้ครับ
 |
|
_________________ เราคือใจที่บริสุทธิ์ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 9:49 am |
  |
thammathai พิมพ์ว่า: |
คุณพลศักดิ์กล่าว
อ้างอิงจาก: |
หัวใจของเรื่องคือ
1. แท้จริง พระธรรมท่านเรียกว่าพรหม
2. พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ พระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้า
3. พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ปรมาตมัน หรือพรหมัน นั่นเอง |
ข้อ 1 และ 2 เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้สอนวาเสฎฐะภารทวาชะ ถูกต้องตามนั้นครับ
ข้อ 3.คุณสรุปเอง....ตีความเองนะครับ....ไม่เห็นด้วยครับ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมเป็นนก ผมจะบินไปไกลๆๆ
แต่ไม่ได้สรุปว่าผมเป็น "นก " จริงๆ
เช่นกันพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบกับพรหมดังพระสูตร "พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต"
แต่ี่คุณพลศักดจะิ์สรุปว่า"พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ปรมาตมัน หรือพรหมัน นั่นเอง" ไม่ได้ครับ
 |
ข้อความของท่านทำให้กระผมนึกถึงประโยคที่ว่า " ธรรมเป็นทุกอย่าง แต่ทุกอย่างอาจไม่ใช่ธรรม " |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
thammathai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 10:12 am |
  |
หลังจากที่ผมนั่งจิบน้ำเย็นๆ นั่งคิด นอนคิดแล้วครับ
อ้างอิงจาก: |
ตัวเองเป็นพระอาทิตย์ กลับมองไม่เห็นตัวเอง
ตัวเองมีตัวรู้อยู่ แต่ไปมองหาตัวรู้ที่อื่น
ตัวเองมีนิพพานอยู่ กลับเที่ยวค้นหานิพพาน
อย่าหานิพพานจากภายนอก นิพพานนั้นแหละคือคุณ |
ข้อค้านครับ....
ตัวเองเป็นพระอาทิตย์ กลับมองไม่เห็นตัวเอง....เพราะอวิชชา
ตัวเองมีตัวรู้อยู่ แต่ไปมองหาตัวรู้ที่อื่น.....เดิมยังไม่มีตัวรู้ มีแต่อวิชชา
ตัวเองมีนิพพานอยู่ กลับเที่ยวค้นหานิพพาน....จิตเดิมยังไม่เป็นนิพพาน
เมื่อไม่รู้จึงหลงโง่ก่อเกิดสังสารวัฏมากมาย
เมือจิตหนึ่งที่เวียนว่ายมานานแสนนาน สะสมบารมีมานานแสนนานค้นพบวิชชาแล้ว(พระพุทธเจ้า)
เลิกโง่แล้ว จึงกลับไปสู่จิตเดิมอันบริสุทธิ์ที่มีวิชชา
แล้วได้บอกจิตอื่นๆว่าทางนี้ซิ(มรรค 8) สุขจริงแท้แน่นอน(นิพพาน)
ถามว่าดวงอาทิตย์ดวงเดิมไหม...ก็ต้องถามว่า
คุณพลศักดิ์ตอนเด็กกับตอนโตเป็นผู้ใหญ่....เป็นคนเดียวกันไหม
ก็ตอบว่าคนเดียวกันนั่นแหละ....แต่มีความรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ไม่ไร้เดียงสาแล้ว.....เลิกโง่แล้ว
ดังนั้นมันก็จิตดวงเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีดวงใหม่หรือพระอาทิตย์ใหม่
แต่ต่างกันที่มีวิชชากับอวิชชา
อ้างอิงจาก: |
คุณไปหานิพพาน
จากภายนอก แต่ไม่รู้ว่านิพพานก็คือ คุณก็คือนิพพาน |
ถามคุณพลศักดิ์ว่าตอนเป็น ด.ช.พลศักดิ์ คุณพกปริญญาตรีออกมาด้วยไหม......
ไม่มีใช่ไหมครับ......คุณต้องเรียนรู้ จบแล้วได้ปริญญามาตอนเป็นผู้ใหญ่
เช่นกันจิตเดิม...ปภัสสร....ไร้เดียงสา....ยังไม่มีนิพพาน
เมื่อจิตเดิมมีวิชชา.....ได้ปริญญา...เท่ากับมีนิพพาน
คุณไม่ได้คาบนิพพานออกมาแน่ เพราะยังไม่มีนิพพาน
 |
|
_________________ เราคือใจที่บริสุทธิ์ |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 11:49 am |
  |
คุณthammathai ครับ
1. เรื่อง วาเสฎฐะภารทวาชะ พวกเขาถกกันเรื่องอะไรครับ เรื่องนี้ไม่ใช่หรือครับ
พวกพราหมณ์ทั้ง หลาย เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพระพรหม เกิดจากพระพรหม
พระพรหมเนรมิตขึ้นมา เป็นทายาทของพระพรหม
พระพุทธเจ้าเข้าไปสอด และพระองค์สรุปว่าอย่างนี้ไม่ใช่หรือครับ
ควรจะเรียกผู้นั้นว่าเราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม
พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี
พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต
พระพุทธองค์กำลังสอนความจริงสูงสุดให้ว่า
a. พระธรรมเป็นผู้เนรมิตทุกอย่างขึ้น
b. พระธรรมก็คือ พระพรหมสูงสุด พระพรหมสูงสุดเป็นพรหมภูต เป็นธรรมภูต เป็นธรรมกาย
แล้วพรหมสูงสุดที่ศาสนาพราหมณ์เขาสอนเรียกว่า พรหมมัน ปรมาตมัน ใช่ไหมครับ แต่เขาไม่รู้ว่าใครคือพรหมสูงสุด พระพุทธเจ้าตอบให้เลยว่า พรหมมัน ปรมาตมัน ก็คือ พระธรรม พระพุทธเจ้าก็คือ พระธรรม(พรหมกายก็ดี ธรรมภูตก็ดี พรหมภูตก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต)
ยังมองไม่ออกอีกหรือครับ เอาความรู้ทางศาสนาที่ผิดๆมาตลอดชีวิตของคุณอออกไป แล้วคุณจะรู้
ความจริง สัจธรรมสูงสุดมีเพียงอันเดียวเท่านั้น ศาสนาพุทธเรียกว่า พระพุทธ ศาสนาคริสต์เรียกว่า ยะโอวา
ศาสนาอิสลามเรียกว่า อัลเลาะห์ ฮินดูเรียกว่า ปรมาตมัน พรหมมัน คุณแม่เกสรเรียกว่า พระวิสุทธิพุทธรังษี
มหายานเรียก อาทิพูทธ หลวงพ่อสดเรียก พระพุทธเจ้าต้นธาตุ ฯลฯ แต่มันก็คือสิ่งเดียวกัน |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 12:39 pm |
  |
thammathai พิมพ์ว่า: |
หลังจากที่ผมนั่งจิบน้ำเย็นๆ นั่งคิด นอนคิดแล้วครับ
อ้างอิงจาก: |
ตัวเองเป็นพระอาทิตย์ กลับมองไม่เห็นตัวเอง
ตัวเองมีตัวรู้อยู่ แต่ไปมองหาตัวรู้ที่อื่น
ตัวเองมีนิพพานอยู่ กลับเที่ยวค้นหานิพพาน
อย่าหานิพพานจากภายนอก นิพพานนั้นแหละคือคุณ |
ข้อค้านครับ....
ตัวเองเป็นพระอาทิตย์ กลับมองไม่เห็นตัวเอง....เพราะอวิชชา
ตัวเองมีตัวรู้อยู่ แต่ไปมองหาตัวรู้ที่อื่น.....เดิมยังไม่มีตัวรู้ มีแต่อวิชชา
ตัวเองมีนิพพานอยู่ กลับเที่ยวค้นหานิพพาน....จิตเดิมยังไม่เป็นนิพพาน
เมื่อไม่รู้จึงหลงโง่ก่อเกิดสังสารวัฏมากมาย
เมือจิตหนึ่งที่เวียนว่ายมานานแสนนาน สะสมบารมีมานานแสนนานค้นพบวิชชาแล้ว(พระพุทธเจ้า)
เลิกโง่แล้ว จึงกลับไปสู่จิตเดิมอันบริสุทธิ์ที่มีวิชชา
แล้วได้บอกจิตอื่นๆว่าทางนี้ซิ(มรรค 8) สุขจริงแท้แน่นอน(นิพพาน)
ถามว่าดวงอาทิตย์ดวงเดิมไหม...ก็ต้องถามว่า
คุณพลศักดิ์ตอนเด็กกับตอนโตเป็นผู้ใหญ่....เป็นคนเดียวกันไหม
ก็ตอบว่าคนเดียวกันนั่นแหละ....แต่มีความรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ไม่ไร้เดียงสาแล้ว.....เลิกโง่แล้ว
ดังนั้นมันก็จิตดวงเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีดวงใหม่หรือพระอาทิตย์ใหม่
แต่ต่างกันที่มีวิชชากับอวิชชา
อ้างอิงจาก: |
คุณไปหานิพพาน
จากภายนอก แต่ไม่รู้ว่านิพพานก็คือ คุณก็คือนิพพาน |
ถามคุณพลศักดิ์ว่าตอนเป็น ด.ช.พลศักดิ์ คุณพกปริญญาตรีออกมาด้วยไหม......
ไม่มีใช่ไหมครับ......คุณต้องเรียนรู้ จบแล้วได้ปริญญามาตอนเป็นผู้ใหญ่
เช่นกันจิตเดิม...ปภัสสร....ไร้เดียงสา....ยังไม่มีนิพพาน
เมื่อจิตเดิมมีวิชชา.....ได้ปริญญา...เท่ากับมีนิพพาน
คุณไม่ได้คาบนิพพานออกมาแน่ เพราะยังไม่มีนิพพาน
 |
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
1. ในพระไตรปิฎกนั้น ผมก็เห็นว่าการเปรียบเทียบลักษณะนี้มากมาย
คือเปรียบเทียบโดยเทียบเคียงพื้นความรู้เดิมของผู้ที่มาถามพระพุทธเจ้า
ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจ เช่น พรหมวิหารธรรม
ในสมัยนั้น มีผู้คนนับถือฮินดู และพรหมณ์ อยู่ทั่วไป
หากมีชาวคริสต์อยู่ด้วย เกรงว่า
พระคริสต์ก้จะกลายเป้นพระพุทธเจ้ากะเขาด้วย ในบริบทของคุณพลศักดิ์
2. ขอถามคุณพลศักดิ์ง่ายๆว่า
ในสภาวะนิพพาน จิตยังคิดอยู่หรือไม่ มีความอยากหรือไม่ ?
3. คุณพลศักดิ์ต้องทำใจกว้างกว่านี้
เช่นถ้ามีผู้ยกธรรมะในไตรปิฏกมา เขาย่อมทำได้ เพราะท่านก็ทำเข่นกัน
แต่พอเขายกมา ท่านกลับกล่าวว่าพระธรรมนั้นๆเขียนโดยสมมุติสงฆ์ เชื่อถือไม่ได้ เป้นต้น
ถ้าหากมีคนอ้างว่า ธรรมทั้งหลายที่ท่านยกมา ทั้งจากมหายานก็ดี จากพรหมณ์ก็ดี ที่ท่านตัดแปะนำมาปะติดปะต่อกัน
แล้วเขากล่าวต่อท่านว่า ผู้ที่ท่านยกมานั้นไม่ใช่พระอริยะ จึงไม่รู้จริง
เขาไม่ยอมรับข้อมูลของท่าน
ท่านจะว่าอย่างไร
อีกอันหนึ่งคือ
เมื่อท่านตีความพระไตรปิฏกแล้วท่านก็นำมาเสนอไว้
ต่อมาคนอื่นตีความบทนั้นบ้าง เพื่อเสนอมุมของเขา
ท่านก้บอกว่าจิตเขาไม่บริสุทธิจึงตีความไม่ถูก
ถ้าลองเป็นแบบนี้ต่อไป
รับประกันได้ว่า ไม่มีทางจบลงด้วยปัญญา
เหมือนเป่ายิงฉุบ ฆ้อน กำปั้น กรรไกร
เพราะเมื่อต้องการชนะฆ้อน ท่านก็กระดาษมาใช้
อะไรชนะกระดาษได้ ท่านก็เอากรรไกรมาใช้
อะไรชนะกรรไกรได้ ท่านก็กลับเอาฆ้อนมาใช้อีก
ท้ายที่สุด ก็ไม่รู้ว่าจะเป่ายิงฉุบแล้วได้อะไรเป็นผล
เหมือนหมู่ปลากำลังเถียงกันเรื่องสถานที่ ที่เต่าไปถึง
ก็ในเมื่อนิพพานนั้น ยังไม่มีใครไปถึง
พระพุทธเจ้าบอกว่า
นิพพาน คือหลุดพ้นไปล้วจากวัฏฏะสงสาร ไม่เกิดอวิชชาขึ้นอีก ไม่เกิดวงจรทุกข์ขึ้นอีก
แต่ท่านกลับบอกว่า จิตนิพพานนั้นต้องกรลงมาเล่นเกมส์อะไรก็แล้วแต่
ก็ในเมื่อจิตนิพพานของท่าน ยังมีภวตันหา วิภวตันหา กิเลสเล็กๆน้อยๆ
ที่ไม่อยากอยู่ในนิพพาน และอยากจะลงมาเกิดเล่นเกมส์อะไรก้ตาม
ย่อมแสดงว่า จิตนั้นไม่ได้ถึงนิพพาน แต่เข้าใจว่าตัวเองอยู่ในนิพพาน
จึงไม่พอใจในนิพพาน
ถ้า่ท่านยืนกรานว่า
จิตเดิมคืออยู่ในนิพพานอยู่แล้ว แล้วไม่พอใจ จึงมาเกิดอีก
ท่านก็มีสิทธิเสนอความคิดของท่านต่อไป แต่จะมีใครเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ท่านต้องทำใจรับให้ได้
ท่านยังมีสิทธิตั้งนิกายใหม่ได้ด้วยซ้ำไป
ท่านสามารถนำเสนอความคิดในนิกายใหม่ท่านได้โดยเสรี
รับศาสนิกโดยเสรี มีความเชื่อโดยเสรี
เพราะชาติไทย คุ้มครองทุกความเชื่อ ตราบเมื่อความเชื่อนั้นเป็นไปเพื่อสันติ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 17 ก.ค.2008, 1:28 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 1:05 pm |
  |
ความจริง
มีคำถามง่ายๆของผมหลายอัน
ที่คุณพลศักดิ์ยังไม่ตอบ
แต่ผมก็ไม่ได้ไปบีบคอเอาคำตอบให้ได้
ทั้งนี้เพระผมเชื่อคำสอนของพระสมมุติสงฆ์ธรรมดาๆอย่างท่านติช นัช ฮาน
ที่พูดถึงคนที่นำทุเรียนมาถวายท่าน
ทั้งที่ท่านไม่ชอบ แต่ท่านก็รับไว้ ไม่ได้รังเกียจในการถวายนั้น
เพียงท่านรับไว้เฉยๆ ไม่ได้ฉันทุเรียนนั้น
ท่านบอกว่า ท่านคงจะเป็นทุกข์ทันที ถ้าผู้ที่นำมาถวายกล่าวว่า ท่านติช โปรดฉันสักคำสองคำเถิด เพราะทุเรียนนั้นเขาได้เตรียมมาด้วยความตั้งใจดี
ท่านว่าถ้าท่านติชไม่ฉันทุเรียน และคนที่นำมาถวายนั้นเสียใจ
ถามว่า ใครผิด ...
คนนำมาถวายนั้นแหละผิด
เพราะไม่มีความพอดี พอเพียง
ความจริงเขาควรจะวางความตั้งใจดีของเขา
วางลงพร้อมๆกับทุเรียนที่ถวายนั่นแหละ เพราะได้ทำแล้ว ถวายแล้ว
แต่เขาไม่พอดี ตรงที่เขาอยากจะยัดลงไปในปากท่านติชด้วย
หากไม่เห็นท่านติชกินลงไป เขาก็คงไม่สมปารถนาและเ็ป็นทุกข์
เพราะคิดว่าทุเรียนนั้นดี ท่านติชควรกินของดีที่เขานำมาให้
และท่านติชควรกินลงไปซะ
อ้างอิงจาก: |
พลศักดิ์กล่าว >>
"..ยังมองไม่ออกอีกหรือครับ เอาความรู้ทางศาสนาที่ผิดๆมาตลอดชีวิตของคุณอออกไป แล้วคุณจะรู้ ..." |
ศาสนา และความเชื่อทางศาสนา ไม่ได้มีสภาพบังคับ
ท่านติช มีสิทธิจะ กินหรือไม่กินทุเรียน นั้นก็ได้
ผู้ถวาย ไม่ควรจะบังคับให้ท่านติช กินลงไป
เพียงเพราะเขาเห้นว่ามันดี มันถูกต้อง มันเหมาะกับท่านติช
(เขาคิดไปเอง ว่าทุเรียนมันเหมาะกับท่านติช)
การจะให้อะไรใคร พึงประกอบด้วยเมตตา
พึงรู้ว่าขอบเขตของเรา ของเขา มันอยู่ตรงไหน และไม่ล้ำแดนกัน
ซึ่งก็คือความพอดีในบทบาทหน้าที่
พูดภาษาท่านพุทธทาส เรียกว่า ธรรมะคือหน้าที่
รู้หน้าที่ คือความพอดีในธรรม |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 6:41 pm |
  |
คุณคามินธรรมและท่านอื่นๆครับ
1. สัจธรรมแท้มีเพียง 1 หนึ่ง พระเจ้าของชาวคริสต์หรือพระยะโฮวา คือ พระพุทธเจ้าต้นธาตุ พระเยซูคือ
พระอรหันต์ที่เป็นพระโพธิสตว์มหายาน อัลเลาะห์คือ พระพุทธเจ้าต้นธาตุ ปรมาตมันคือ พระพุทธเจ้าต้นธาตุ
อวิชชา อีโก้ กิเลส ความอยากเหนือกว่าคนอื่น ศาสนาอื่น ทำให้เรายกสิ่งที่เรานับถือสูงสุด เหนือสิ่งสูงสุดของคนอื่น
2. ในสภาวะนิพพาน จิตยังคิดอยู่หรือไม่ มีความอยากหรือไม่ ?......คิดแต่ไม่ปรุงแต่ง เช่น
พระพุทธเจ้าก็คิดคำพูดสนธนากับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็คิดคำพูดคุยกับพระพุทธเจ้า การกระทำเป็น
ไปแค่กิริยาเท่านั้น ถ้ายังมีราคะ โทสะ โมหะ ย่อมอยู่ในนิพพานไม่ได้
พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า ท่านบรรลุอรหันต์นานแล้ว แต่ท่านมีความอยากจะช่วยสรรพสัตว์พาเข้านิพพาน
ให้หมด ท่านจึงดำรงสภาพเป็นพระโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรท่านอยู่ในนิพพานมาก่อน แต่อยากจะช่วย
สรรพสัตว์พาเข้านิพพาน ท่านจึงออกจากนิพพานมาดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์
3. คุณพลศักดิ์ต้องทำใจกว้างกว่านี้ เช่นถ้ามีผู้ยกธรรมะในไตรปิฏกมา เขาย่อมทำได้ เพราะท่านก็ทำเข่นกัน แต่พอเขายกมา ท่านกลับกล่าวว่าพระธรรมนั้นๆเขียนโดยสมมุติสงฆ์ เชื่อถือไม่ได้ เป้นต้น
......ต้องยกต้นฉบับคำพูดของพระพุทธเจ้ามาเท่านั้น อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ นี่แหละผู้ที่
ทำสัทธรรมปฏิรูปคำสอนของพระพุทธเจ้า |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ค.2008, 11:41 pm |
  |
คุณ"guest" ตรับ
ไฟคือราคะ ไฟคือโมหะ ไฟคือโทสะ ที่ก่อขึ้นในจิตปุถุชน เมื่อดับไฟทั้งหมดนั้นแล้ว จิตมันก็ปภัสสร
เหมือนเดิมไม่ใช่หรือครับ แล้วมันมีของใหม่หรือครับ
ดวงอาทิตย์ก็ดวงเดิมไม่ใช่หรือครับ????
"จิตบริสุทธิ์" กับ "จิตประภัสสร" มันอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว แค่กิเลสมาบังตา เลยมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นดวงอาทิตย์
---------------------------------------------------------------------
คุณ พลศักดิ์ ครับ
จิตประภัสสร ดับกิเลสด้วยอำนาจของสมาธิเหมือนหินทับหญ้า และยังมีเชื้อให้เกิดไฟกิเลสปะทุได้ใหม่ คือ อวิชชายังคงอยู่
จิตบริสุทธิ์ เป็นสมุจเฉทปหานด้วยปัญญา ดับอวิชชาขาดสบั้นจากใจ ไม่มีเชื้อให้ไฟกิเลสปะทุได้อีก
จิตประภัสสรไม่ได้อยู่ในนิพพานแต่อยู่ในโลกธาตุ(กามโลก รูปโลก อรูปโลก)
จิตบริสุทธิ์อยู่ในนิพพาน
ผมคิดว่าไม่น่าจะเข้าใจยากอะไร เพียงแต่คุณจะยอมเข้าใจเองหรือไม่ มันอยู่ที่ใจของคุณเอง |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 6:00 pm |
  |
คุณ"guest" ตรับ
จิตปภัสสรจะไม่อยู่ในโลกแห่งอวิชชา(3 ภพ) จะอยู่ในนิพพาน จิตที่อยู่ใน 3 ภพได้คือ
จิตในปฏิจจสมุปบาท หรือจิตอวิชชา หรือจิตที่ยังติดกิเลสอยู่
จิตประภัสสร ดับกิเลสด้วยอำนาจของสมาธิเหมือนหินทับหญ้า และยังมีเชื้อให้เกิดไฟกิเลสปะทุได้ใหม่
คือ อวิชชายังคงอยู่ ....คงไม่ใช่มั๊งครับ พวกที่ทำสมาธิ สามารถดับกิเลส และอวิชชา ได้เหมือนกัน
เรียกว่า เจโตวิมุติ
พวกพราหมณ์เขาทำสมาธิได้ถึงขั้นอรูปพรหม เขาดับความโลภ และความโกรธได้แล้ว แต่ที่ดับไม่ได้คือ ความหลง ทำให้ยังมีเชื้อให้เกิดไฟกิเลสปะทุได้ใหม่ เมื่อจุติจากอรูปพรหม ความหลงจะนำไปสู่ความโลภ และความโกรธ ได้ใหม่ (ดังนั้นอวิชชาจึงยังคงอยู่) |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 6:09 pm |
  |
จิตปภัสสร นั้นมีอวิชชามาเยือน พออวิชชามาเท่านั้น ก็หลงไปตามอวิชชา มันจึงต้อง
จุติใน 3 ภพ
ในศาสนาคริสต์ อวิชชาคือ ลูกappleที่งู(ซาตาน) เอามาล่ออาดัมกับอีฟ พอทั้งคู่หลงเชื่องู(อวิชชาหรือซาตาน)
ก็ตกจะสวรรค์นิรันดร(นิพพาน)
ในศาสนาฮินดู พระนางสุรัติสวดี หนึ่งในพระแม่แห่งตรีมุรติ หลงไปหัวเราะห์เยาะ(ความอวดดี)อวตาร
ของพระศิวะ ท่านก็ต้องตกจากพรหมโลกชั้นสูงสุดของพรหม(พระเจ้า)มาเกิด
พระศิวะแบ่งตัวเองเป็นอสูร 2 ตน อสูร 2 ตนไปหลงว่าตนมีอำนาจเหนือผู้อื่น(พระพรหม) อสูร 2 ตนนั้น
ก็ต้องมาเกิดถึง 3 ชาติ ชาติที่ 2 เกิดเป็นทศกัณฐ์
ในศาสนาพุทธมหายน สรรพสัตว์ทั้งหมดล้วนมีพุทธะอยู่ในตัวเอง เพราะพวกเราล้วนมาจากพระพุทธเจ้าต้นธาตุ เราเพียงแต่ถูกอวิชชาล่อลวงให้หลงไป จึงไม่เห็นความเป็นพุทธะของตัวเอง พุทธะนั้นคือจิตประภัสสร |
|
|
|
  |
 |
|