Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พญาช้างผู้เสียสละ (ธรรมสภา)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นิทาน-การ์ตูน
ผู้ตั้ง
ข้อความ
admin
บัวทอง
เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
ตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 4:10 pm
พญาช้างผู้เสียสละ
นิทานธรรม ฉบับพิเศษ
จัดพิมพ์ โดย ธรรมสภา
บริเวณป่าหิมพานต์ มีช้างป่าอยู่โขลงหนึ่งจำนวนนับเป็นแสนเชือกอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ครั้งนั้น
พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นช้างขาวปลอด
ทั่วทั้งตัวมองดูแล้วเหมือนกองเงิน ตาทั้งสองข้างกลมเหมือนก้อนแก้วมณี หน้าแดงระเรื่อเหมือนผ้ากัมพลแดง งวงขาวย้วยเหมือนพวงเงินที่ประดับด้วยหยดทองคำขาว เท้าทั้ง ๔ แดงเหมือนทาด้วยน้ำครั่ง และมีชื่อว่า
พญาช้างสีลวะ
เนื่องจากเป็นช้างถือศีล
พระเทวทัตเกิดเป็นพรานป่า
พญาช้างสีลวะมีรูปร่างสวยงามมาก เมื่อเติบโตเป็นช้างหนุ่ม
ก็มีช้าง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็นบริวารห้อมล้อม
ต่อมาเกิดเบื่อหน่ายโขลงช้างที่รับผิดชอบดูแลจึงปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง ต่อมา มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งเดินทางไปบริเวณป่าหิมพานต์เพื่อหาเก็บผักผลไม้และล่าสัตว์เลี้ยงชีพ เขาเดินไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในป่าลึกและจำไม่ได้ว่าทิศไหนเป็นทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ทิศเหนือหรือทิศใต้ จึงหลงทางกลับเมืองพาราณสีไม่ถูก และเมื่อไม่เห็นทางจะช่วยตนเองได้ ก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กลางป่านั้นเอง
พญาช้างสีลวะได้ยินเสียงคร่ำครวญของพรานป่าแล้วเกิดสงสารจะช่วยเขา ชายคนนั้นเขาประสบทุกข์ เราจะต้องช่วยเขา พญาช้างคิดพลางค่อยๆ เดินเข้าไปหาพรานป่า
ฝ่ายพรานป่าเห็นช้างเดินมาใกล้ก็รู้สึกกลัวจึงถอยหนี พญาช้างเห็นพรานป่าถอยหนีก็หยุดยืนมองอยู่เฉยๆ
เอ๊ะ..... ช้างตัวนี้มีท่าทางแปลกประหลาด พรานป่าเริ่มคิดได้ เวลาเราหนี มันกลับหยุด เวลาเราหยุด มันกลับเดินเข้ามา สงสัยจะมาช่วยเรา
ครั้นคิดได้ดังนั้น จึงรวบรวมความกล้ายืนคอยช้างซึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ พญาช้างเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ แล้วส่ายสายตามองดูพรานป่าชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถามไปว่า
ท่านผู้เจริญ ท่านเดินร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทำไม
พรานป่ารู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงช้างถามขึ้นอย่างอ่อนโยน จึงตอบไปว่า
ข้าพเจ้าร้องไห้คร่ำครวญเพราะกลับบ้านไม่ถูก คงตายอยู่กลางป่านี้เป็นแน่
ท่านมาจากไหน
จากเมืองพาราณสี
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเมืองพาราณสีอยู่ที่ไหน แต่จะพาท่านออกไปให้พ้นป่า จากนั้นท่านค่อยหาทางกลับบ้านเอง
ขอบคุณท่านมาก พญาช้าง
พญาช้างสีลวะชำนาญเส้นทางเดินลัดเลาะภูเขาและป่าไม้ก็ถึงบริเวณชายป่าหิมพานต์ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อให้พรานป่าลงได้อย่างสะดวก เมื่อพรานป่าลงมายืนบนพื้นดินแล้วพญาช้างก็พูดขึ้นว่า
ท่านผู้เจริญ เลยป่านี้หน่อยหนึ่งก็เป็นทางใหญ่ที่มนุษย์เดินไปมากัน ทางสายนี้คงจะมีทางแยกไปเมืองพาราณสี
ข้าพเจ้าช่วยท่านครั้งนี้มิได้หวังอะไรตอบแทน ช้างพูดขึ้น มีอยู่อย่างเดียวที่จะขอท่าน จะให้ข้าพเจ้าได้หรือเปล่า
ท่านขออะไรว่ามาเลย
ขอให้ท่านอย่าบอกเรื่องที่มาพบข้าพเจ้าและอย่าบอกเรื่องที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่
เท่านี้เองหรือ พรานป่าแสดงท่ารับคำขอร้องได้
ขอบคุณท่านมาก พญาช้างพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าป่าลึกไป
ฝ่ายพรานป่า ตลอดเวลาที่นั่งหลังพญาช้างออกมาจากป่านั้น ก็คอยสังเกตหนทางโดยอาศัยภูเขาเล็กๆ และต้นไม้เป็นเครื่องหมาย
สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีก
เขาคิดอยู่ในใจ
ช้างตัวนี้งาสวย ถ้าใครต้องการซื้อเราจะมาตัดไปขาย
ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสีแล้ว วันหนึ่งขณะเดินไปตามท้องถนนเห็นพวกช่างงาช้างกำลังเอางาช้างมาทำเป็นรูปแปลกๆ ก็พลันคิดถึงพญาช้างสีลวะ เขาจึงเดินเข้าไปถาม
ท่านอยากได้งาช้างเป็นกันไหม
พูดเป็นเล่นไป พวกช่างงาแสดงท่าอยากได้ งาช้างเป็น มีค่ากว่างาช้างตายอีก
ถ้าพวกท่านอยากได้ ข้าพเจ้าจะไปหามาให้
ไปเอามาเลย เอามาเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งดี
เมื่อพวกช่างงายืนยันว่ารับซื้อแน่นอน พรานป่าก็รีบกลับมาบ้านเตรียมเลื่อยเหล็กและเสบียง แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปป่าหิมพานต์ที่อยู่ของพญาช้างสีลวะทันที เขาชำนาญการเดินทางและจำเครื่องหมายได้ดี เดินทางอยู่ไม่กี่วันก็ไปถึงที่อยู่ของพญาช้าง
ท่านผู้เจริญ ท่านกลับมาทำไมล่ะ พญาช้างสีลวะถามเขา ซึ่งบัดนี้มายืนอยู่เบื้องหน้า
พญาช้าง พรานป่าตอบละล่ำละลัก ข้าพเจ้ามาหาท่านนั่นแหละ
มีเรื่องอะไรหรือ
พญาช้าง ข้าพเจ้าไม่มีญาติพี่น้องแถมยังหากินฝืดเคือง มาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาท่านสักสองท่อนเพื่อเอาไปขาย
ได้ ถ้างาของข้าพเจ้าจะช่วยให้ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ พญาช้างสีลวะพูดด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็หมอบลง
พรานป่าดีใจมากจึงรีบเอาเลื่อยออกมาเลื่อยตรงบริเวณส่วนปลายงาทั้งสองข้าง ทันทีที่งาขาดตกลงกับพื้นดิน พญาช้างสีละก็เอางวงจับงาทั้งสองนั้นขึ้นมากำไว้แน่น พร้อมกับกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าให้งาทั้งสองนี้แก่ท่าน ไม่ใช่เพราะมันทำให้เรือนร่างของข้าพเจ้าสวยงาม แต่ยังมีงาอีกชนิดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่า เพราะเป็นงาที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งธรรมทั้งปวงนั่นคือ พระสัพพัญญุตญาณ และยังช่วยโลกให้พ้นทุกข์ได้อย่างใหญ่หลวง
ครั้นแล้ว พญาช้างสีลวะก็ชูงวงตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วยื่นงาให้พรานป่าไป
พรานป่าได้งาแล้วก็รีบเดินทางกลับไปเมืองพาราณสี นำงาช้างไปขายให้พวกช่างงาได้ราคามางามทีเดียว เขาเป็นอยู่อย่างสุขสบายได้ระยะหนึ่งเงินก็หมด จึงเดินทางกลับมาขอตัดงาส่วนที่เหลืออีก
พญาช้าง งาสองท่อนที่ท่านให้ไปขายได้ราคาเพียงแค่ใช้หนี้เท่านั้น ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาที่ยังเหลือไปขายอีก พรานโอดครวญ
เชิญท่านตัดเลย พญาช้างสีลวะบอกพรานป่าพลางหมอบลง
พรานป่าก็ตัดเอางาไปอีก ๒ ท่อน รายได้จากงา ๒ ท่อนนั้นช่วยให้เขาเป็นอยู่อย่างสบายได้ระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมาขอตัดงาส่วนที่ยังเลือกอยู่อีก จนครั้งสุดท้ายมาขอตัดเอาโคนงาส่วนที่ยังฝังอยู่ในเนื้อ
เชิญท่านตัดเลย พญาช้างสีลวะเสียสละให้เหมือนอย่างเคย พรานป่าจึงมาเอาเลื่อยแล้วปีนขึ้นไปตัดจนขาด ครั้นได้ตามต้องการแล้วก็รีบจากไปด้วยความดีใจ
ขณะที่เขาเดินจากพญาช้างสีลวะไปด้วยความดีใจนั้น ก็พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น คือ แผ่นดินตรงที่เขาเดินอยู่นั้นได้แยกออกแล้วสูบเขาจมหายไป แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟจากอเวจีมหานครลุกท่วมร่างของเขาแดงฉาน
เทวดาตนหนึ่ง สถิตอยู่บริเวณป่านั้น เห็นพฤติกรรมของพรานป่ามาตลอดจนกระทั่งถึงเวลาที่แผ่นดินสูบ จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า
คนอกตัญญูเห็นแก่ได้ แม้ใครยกแผ่นดินให้เขาครอบครอง ก็ไม่ทำให้เขาหยุดโลภได้
ฝ่ายพญาช้างสีลวะ แม้บัดนี้จะไม่มีงาแล้ว ก็ต้องสู้ข่มความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ต่อมาไม่นานก็ล้มไปเมื่อถึงอายุขัย
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนอกตัญญูนั้น แม้ตอนแรกจะดูรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็จะพบความวิบัติ เหมือนอย่างพรานป่าอกตัญญูพญาช้างสีลวะแล้วพบกับความวิบัติฉะนั้น
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 01 ส.ค. 2006, 4:13 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
กาย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 4:12 pm
ขอให้มีเว็บนี้ตลอดไปครับ
suvitjak
บัวบาน
เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen
ตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2008, 11:55 am
ขอบคุณครับ
_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
bumbim
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 03 ก.ค. 2008
ตอบ: 8
ตอบเมื่อ: 16 ก.ค.2008, 12:33 am
อยากให้นักการเมืองมาอ่านจัง
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นิทาน-การ์ตูน
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th