Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จริง แต่ไม่จริง - หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จริง แต่ไม่จริง

ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สรรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ

หลวงปู่บอกว่า

"ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"

[Webmaster-หมายเตือนเรื่องนิมิต ที่ไปยึดหมาย อันจะก่อให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสเป็นที่สุด, หลวงปู่กล่าวดังนี้เพราะ ผู้ที่เห็นนั้น เขาก็อาจเห็นจริงๆตามความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของสัญญาเขา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นจริงตามนั้น อ่านรายละเอียดความเป็นไปได้ในบทนิมิตและภวังค์]

แนะวิธีละนิมิต

ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที่ หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล

หลวงปู่ตอบว่า

เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น "ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง"

[Webmaster-ผู้เห็น หมายถึงจิตหรือสติ จึงหมายถึงกลับมาอยู่กับสติเสียนั่นเอง, ส่วนผู้ที่เห็นนิมิตอยู่เสมอๆเนื่องจากการปฏิบัติสั่งสมดังนั้นมานานโดยไม่รู้คือตามหรือเชื่อในนิมิต จนเป็นสังขารองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั่นเอง จึงมักเกิดขึ้นเองเสมอๆ แม้โดยไม่ได้เจตนา]

จาก http://www.wimutti.net/pudule/
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 5:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 1:16 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พึงตระหนักว่า หลวงปู่ดุลย์เน้นที่วิปัสสนาอย่างเดียว ไม่เน้นที่สมถะ เมื่อเน้นที่วิปัสสนาอย่างเดียว
สิ่งที่รู้เห็นในจิตทุกอย่างค้องถูกเอาออกไปให้หมด เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องวิญญาณพวกนี้เป็นสิ่งที่ทีอยู่
จริง แต่การทำวิปัสสนา เมื่อรู้เห็นสิ่งใด ต้องไม่ส่งจิตออกนอกไปรับรู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่านะพี่

มันพิสูจน์ให้แจ้งได้แน่ๆ แต่ยากหน่อยนึง

คือต้องรอให้พระอริยะผู้มีตาบอดแต่กำเนิด
ผู้ได้พบเห็นสิ่งเหล่านั้น
แล้วจึงถามท่านในสิ่งที่เห็น

หากเป็นนิมิต ท่านย่อมไม่สามารถอธิบายภาพนรกสวรรค์ได้อย่างเราๆ
เพราะไม่เคยมีภาพเหล่านั้นปรากฎในสัญญาของท่าน

หากเป้นจริง มีจริง
อริยะผู้บอดนั้นย่อมอธิบายสิ่งเหล่านั้นได้ตรงกับผู้ตาดี

เมื่อนั้นจึงทราบว่าเป็นการปรุงแต่งขึ้นแห่งจิตหรือไม่

พี่ว่าการทดลองนี้เป้นยังไงบ้างอะคับ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 10:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัญญา 3 ส่วน สมาธิ 1 ส่วน สมมติ เรียก เจริญ วิปัสสนา

ปัญญา 1 ส่วน สมาธิ 3 ส่วน สมมติ เรียก เจริญ สมถะ

เศร้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 11:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คามินธรรม พิมพ์ว่า:
ผมว่านะพี่

มันพิสูจน์ให้แจ้งได้แน่ๆ แต่ยากหน่อยนึง

คือต้องรอให้พระอริยะผู้มีตาบอดแต่กำเนิด
ผู้ได้พบเห็นสิ่งเหล่านั้น
แล้วจึงถามท่านในสิ่งที่เห็น

หากเป็นนิมิต ท่านย่อมไม่สามารถอธิบายภาพนรกสวรรค์ได้อย่างเราๆ
เพราะไม่เคยมีภาพเหล่านั้นปรากฎในสัญญาของท่าน

หากเป้นจริง มีจริง
อริยะผู้บอดนั้นย่อมอธิบายสิ่งเหล่านั้นได้ตรงกับผู้ตาดี

เมื่อนั้นจึงทราบว่าเป็นการปรุงแต่งขึ้นแห่งจิตหรือไม่

พี่ว่าการทดลองนี้เป้นยังไงบ้างอะคับ



กว่า 30% ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก กฎแห่งกรรม ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่มีจริง
แสดงว่าพระพุทธเจ้ามั่วใช่หรือไม่ครับ

การเจริญวิปัสสนามีเป้าหมายให้ผู้เจริญวิปัสสนารู้เห็นความจริงว่า แม้เรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก กฎแห่งกรรม
มีอยู่จริง แต่ก็เป็นแค่มายามาลวงจิตเท่านั้น ไม่ควรส่งจิต ออกไปพัวพันธ์ จะทำให้ไม่พ้นทุกข์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 2:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่า เป็นอุบายสอนธรรมแก่ลูกศิษย์คนนั้นของหลวงปู่ครับ ถ้าเป็นลูกศิษย์คนอื่นหลวงปู่อาจตอบอีกแบบครับ ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของผู้เป็นศิษย์ครับ เพราะครูอาจารย์ผู้แม่นยำท่านต้องเล็งดูจริตนิสัยของศิษย์ก่อนครับ ถ้าสอนไป 100% แต่คนรับ รับได้ 50% ส่วนที่รับไม่ได้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร และอาจทำให้เป็นผลเสียต่อการปฏิบัติได้ครับ ตัวอย่างเช่น ผู้ปฏิบัติบางคนไปฟังคนนั้นคนนี้มาว่าปฏิบัติแล้วเห็นหรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอตัวเองปฏิบัติบ้างก็ไปหมายหรืออยากให้เป็นเหมือนอย่างเค้า เมื่อเป็นอย่างนี้กิเลสก็แทรก ภาวนาไปจิตก็ไม่สงบซักทีครับ

ส่วนเรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน หลวงปู่รู้แจ้งหมดแล้วครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 2:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

กว่า 30% ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก กฎแห่งกรรม ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่มีจริง
แสดงว่าพระพุทธเจ้ามั่วใช่หรือไม่ครับ


อ้างอิงจาก:

การเจริญวิปัสสนามีเป้าหมายให้ผู้เจริญวิปัสสนารู้เห็นความจริงว่า แม้เรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก กฎแห่งกรรม
มีอยู่จริง แต่ก็เป็นแค่มายามาลวงจิตเท่านั้น ไม่ควรส่งจิต ออกไปพัวพันธ์ จะทำให้ไม่พ้นทุกข์


มันก็น่าคิดนะคับ

ผมเป็นปลา พระพุทธเจ้าเป็นเต่า
ในเมื่อเต่ามีขา สามารถจะรู้ได้มากกว่าปลา

แต่เต่าพระพุทธเจ้าดีอย่าง ไม่เคยอ้างว่าตนมีขา
สามารถรู้อะไรมากกว่าปลา ดังนั้นเธอ(ปลา)ต้องเชื่อฉัน(เต่า)

่แต่ตรงกันข้าม เต่าพระพุทธเจ้าบรรยายไว้หมดว่าถ้าอยากรู้ ต้องทำอย่างไรบ้าง เรียกว่าบอกวิธีหาคำตอบไว้หมด

และยังสำทับไว้อีกด้วยว่า บรรดาความรู้นั้น
ต้องพึงอยากรู้แต่เฉพาะที่จำเป็น
พึงอยากรู้แต่เฉพาะที่เป็นหน้าที่
พึงอยากรู้เฉพาะที่สามารถจะรู้ได้

แต่ทั้งพี่และผม ก็ยังไม่ถึงสภาวะนิพพาน
เราจึงเหมือนปลาสองตัวถกกันว่า บนฝั่งมีจริงหรือ
เราจะหาเครื่องมือพิสูจน์ได้อย่างไร

ครั้นพี่จะมาถามผมว่า พระพุทธเจ้ามั่วหรือ
แล้วเดี๋ยวผมก้ต้องยกกาลามะสูตรมาอีก
คราวนี้ก็คุยกันไปคนละทาง

เป็นอันว่า กำลังพูดถึงวิธีพิสูจน์ ตามประสาปลาสองตัว
แต่เราก็ย้อนวกกลับไปเรื่องที่เป็นเหตุของคำถาม (ทำไมไม่เชื่อเต่า เต่าเขารู้มากกว่าเรา)
แล้วมันก็วนกลับมาเรื่องเดิมนะพี่
เหมือนปลาสองตัว คุยกันเรื่องสิ่งที่เต่าเล่าให้ฟัง
ถ้าเราจะถือหลัก ไม่ควรส่งจิต ออกไปพัวพันธ์ จะทำให้ไม่พ้นทุกข์ แต่แรก คือ เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่
มันลึกซึ่งเกินกว่าจะรู้ได้ เป็นปัตจัตตัง
เราก็ต้องพึงเลิกคุยเรื่องพวกนี้
ผู้รู้ได้ ก็รู้ไป ผู้รู้ไม่ได้ก็ไม่รู้ต่อไป ตามธรรมดา


แต่เอาละ ถ้าอยากคุย อยากเอามาเป้นหน้าที่ อยากรู้ว่าลูกดอกมาจากทางไหน ใครยิง
เราก็มาคุยกันแบบปลาสองตัวแบบนี้

พี่อาจจะเป็นปลาที่ภาษีดีกว่าผม คืออาจจะขึ้นฝั่งได้บ้าง
แล้วเราก็มาคุยกันเรื่องของที่อยู่บนฝั่ง
ผมก็ตั้งสมมุติฐาน หาคำตอบไปงั้นเอง ตามประสาปลาอยากมีขา

ผมแค่อยากรู้ว่า คนที่ไม่เคยเห็นภาพอะไร คนที่ไม่เคยมีสัญญา อย่างคนตาบอด จะเห็นนรกสวรรค์ พรม แบบคนมีตาดีหรือไม่


แต่ถ้าคนที่ตาบอดแต่กำเนิด ไม่มีจักขุวิญญาน
ไม่มีสัญญาภาพว่านรกอย่างไร สวรรค์อย่างไร
แล้วยังเห็นแบบนั้นเห็นสิ่งเดียวกันกับพี่ แปลว่า
ที่พี่ว่าจริงนั้น มันจริง จริงๆ มีอยู่จริง


แต่ถ้าคนตาบอด กลับไม่เห็นสิ่งเดียวกัน
ผมก็เดาว่า นั่นเพราะเขา
ไม่มีผัสสะทางตา จึงไม่มี สฬายตนะ (ทางตา)
เมื่อไม่มีสฬายตนะ (ทางตา) จะเห็นรูปของสววรค์นรกได้อย่างไร
เมื่อไม่มีรูปของสววรค์นรก จึงไม่มีวิญญาน(ทางตา)เรื่องสวรรค์นรก
เมื่อไม่มีวิญญานเรื่องสวรรค์นรก จึงไม่มี สังขาร(ทางตา) ของสวรรค์นรก
เมื่อไม่มีสังขารของสวรรค์นรก จึงไม่มี อวิชชา(ทางตา)ในเรื่องสวรรค์นรก
เมื่อไม่มีอวิชชาในเรื่องสวรรค์นรก จึงไม่มี ชาต(ทางตา)ิ ในสวรรค์นรก
ไม่มีชาติในสวรรค์นรก จึงไม่มีภพ(ทางตา)ในสวรรค์นรก
เมื่อไม่มีภพในสวรรค์นรก จึงไม่มีอุปาทาน(ทางตา)ในสวรรค์นรก
เมื่อไม่มีอุปาทานในสวรรค์นรก จึงไม่มี วิภวะตันหา(ทางตา)ในนรก ภวตันหา(ทางตา)ในสวรรค์
เมื่อไม่มีตันหาในสววรค์นรก จึงไม่มีเวทนา (ทางตา)
เมื่อไม่มีเวทนา จึงไม่มี ผัสสะ(ทางตา)
ครบวงจรพอดี


จากการเปรียบเทียบดังกล่าว
แยกเป็นสองคำถาม
1. นรก สวรรค์ พรหม ... มีจริงไหม
2. นรก สวรรค์ พรหม ... มีลักษณะอย่างไร



1.1 - A กรณีคนตาบอด ที่สมมุติว่า นรกสวรรค์มีจริง

นาม - ของนรกสวรรค์ เราจำลองว่ามีจริง
รูป - คนตาบอดย่อมไม่มีรูปของนรกสวรรค์เกิดขึ้น ดังแจงไว้แล้วในวงจรปฎิจจสมุปบาท ข้างต้น


1.1 - B กรณีพี่ ที่สมมุติว่า นรกสวรรค์มีจริง
นาม - นามของนรกสวรรค์ เราจำลองว่ามีจริง เหมือนกรณีคนตาบอด
รูป - รูปที่พี่เห็น ย่อมเป็นภาพลวง เป็นจิตปรุงแต่งขึ้น
เพราะคนตาบอด ไม่มีรูปเกิดขึ้น ตามวงจรที่กล่าวมา

สรุป
แม้จะสมมุติให้ นามธรรมของนรกสวรรค์มีจริงไว้ทั้งสองกรณี (พี่/คนตาบอด)
แต่การมีอยู่ของรูปธรรม กลับต่างกันไป
คนตาบอดไม่เห็น พี่เห็น
คนตาบอดเห็นอย่างหนึ่ง พี่เห็นอย่างหนึ่ง
นรกของฝรั่งอย่างหนึ่ง แต่งตัวอย่างหนึ่ง
นรกคนจีนมหายานอย่างหนึ่ง แต่งตัวอย่างหนึ่ง

ดังนั้น การมีอยู่จริงของนรกสวรรค์ แม้จะมีจริง ก็คงมีแต่เพียงนามะ
แต่รูปะ ไม่จริง .... ย่อมเห็นกันไปต่างๆนาๆตามสังขารที่ปรุงขึ้น


1.2 ถ้ากำหมดสมมุติว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริง
- ทั้งรูปะ และนามะ ย่อมเกิดจากปรุงแต่งทั้งสิ้น


ดังนั้นที่หลวงปู่ว่าไว้ ถูกแล้ว
"ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"

คือเขา เห็นภาพจริงๆ เห้นรูปจริงๆ
แต่นั่นไม่ใช่นรกจริง
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง