ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 2:36 pm |
  |
ทางที่จะบรรลุพระนิพพาน มีได้ 3 อย่าง คือ
1. ทางพระอรหันต์
2. ทางพระปัจเจกโพธิเจ้า
3. ทางโพธิสัตต์สร้างบารมี 30 ทัศ |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 3:03 pm |
  |
1. ทางพระอรหันต์ ใช้เวลาบำเพ็ญน้อยประมาณ ๑ อสงไขย แสนกัปป์
๒. พระปัจเจกโพธิ ต้องเพียรพยายามประมาณ ๒ อสงไขย แสนกัปป์
๓. พระโพธิสัตต์
๓.๑ ถ้าพระโพธิสัตต์นั้นมีปัญญามาก วิริยะและศรัทธาปานกลาง ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างน้อย ๔ อสงไขย แสนกัปป์
๓.๒ ถ้าพระโพธิสัตต์มีวิริยะมาก ปัญญากับศรัทธาปานกลาง ต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีประมาณ ๘ อสงไขย แสนกัปป์
๓.๓ ถ้าพระโพธิสัตต์ มีศรัทธามาก ปัญญากับวิริยะปานกลาง ก็สร้างบารมีไปเรื่อย ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ถึงก็ไม่ร้อนใจอะไร ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๑๖ อสงไขย แสนกัปป์ |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 3:40 pm |
  |
วิธีปฏิบัติ
๑.ทางพระอรหันต์ ด้วยการพยายามกำจัดกิเลสของตนให้หมดไปอย่างเดียว ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ยุ่งเกี่ยวช่วยเหลือใคร แม้บ้านเมืองจะล่มจมอย่างไรก็...ช่างมัน...และ...ช่างเขา...เราไม่เกี่ยว ตัดช่องน้อยไปแต่คนเดียวจริงๆ เมื่อตัดกิเลสได้ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้แก่ ผู้เคร่งทางฝ่ายเถรวาท อย่างในเมืองไทยสมัยนี้ ถืออย่างเถรวาทกันมาก |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 3:43 pm |
  |
๒. ทางพระปัจเจกโพธิ์เจ้า สำเร็จแล้วเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่สอนใคร รู้ด้วยตัวเอง ทำได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยบารมีเก่าส่งเสริมสำเร็จในเวลาว่างพระศาสนา |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 3:49 pm |
  |
|
  |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 3:52 pm |
  |
๓. ไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต คือ ประพฤติปฏิบัติทางโพธิสัตต์ ถือเอาตั้งแต่ ตอนเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช และเสวยแต่ผลไม้ บำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ จนได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงสั่งสอนคนทั่วไปให้เข้าถึงความหลุดพ้น จนหมดอายุสังขารเข้าปรินิพพานเมื่อวัยชรา
ทางที่ ๓ นี้ พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน นับถือกันมาก และแบ่งแยกโพธิสัตต์ออกเป็นสองพวก (รายละเอียดในกระทู้ พระโพธิสัตต์) |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 4:19 pm |
  |
ทั้ง ๓ ทาง เมื่อจิตบริสุทธิ์ ใสสะอาด แล้วก็บรรลุพระนิพพานได้ |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 4:26 pm |
  |
มรรค ๘ ยังมีอยู่ตราบใด ทางสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 4:33 pm |
  |
การปฏิบัติทางจิตนั้น มีทางสมถะ ๔๐ วิธี และวิปัสสนา ๖ อย่าง ซึ่งเหมาะสำหรับทางฝ่ายเถรวาทหรือหินยาน |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 5:49 pm |
  |
ทางโพธิสัตต์นั้น มักจะปฏิบัติตามทางพุทธยาน คือ สร้างบารมี ๓๐ ทัศ และช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ นับถือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ บางครั้งทำสมาธิทางวิปัสสนา แต่เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็จะปฏิบัติไปทางเมตตา เพื่อนำทางไปสุ่แดนสุขาวดีของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ผู้ซึ่งจะมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยะเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าอมิตาภะทรงตั้งปณิธานไว้ว่าจะช่วยสัตว์จนถึงที่สุด ผู้ใดนึกถึงท่าน ท่านจะมารับเมื่อถึงคราวดับสูญ การทำสมาธิหรือนับลูกประคำโดยนึกถึงพระนามของท่านเป็นสำคัญ |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 6:14 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
วิธีปฏิบัติ
๑.ทางพระอรหันต์ ด้วยการพยายามกำจัดกิเลสของตนให้หมดไปอย่างเดียว ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ยุ่งเกี่ยวช่วยเหลือใคร แม้บ้านเมืองจะล่มจมอย่างไรก็...ช่างมัน...และ...ช่างเขา...เราไม่เกี่ยว ตัดช่องน้อยไปแต่คนเดียวจริงๆ เมื่อตัดกิเลสได้ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้แก่ ผู้เคร่งทางฝ่ายเถรวาท อย่างในเมืองไทยสมัยนี้ ถืออย่างเถรวาทกันมาก |
พาลแล้วล่ะคับคุณ
คิดแต่ว่าคนอื่นจะต้องทำอะไร
ความจริงควรจะคิดว่าตัวเองควรทำอะไร มีหน้าที่หรือไม่
และเพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร
และเพราะไม่รู้ว่าใครมีหน้าที่อะไร
แล้วก็ไปเที่ยวพาลให้คนนั้นคนนี้มาเป็นธุระในหน้าที่นั้นๆ
หนำซ้ำยังมาพาลให้พระสงฆ์องค์เจ้าไปมีหน้าที่กับเรื่องของคนอื่น แย่กว่าเดิม
อุปมาเหมือน
คนกลุ่มใหญ่ พากันถือก้อนหิน
แล้วก็บ่นกร่นด่ากันว่าตัวเองเป็นทุกข์เพราะก้อนหินที่ถือ
แล้วคุณเจ้าของกระทู้ ก็ไปเห็น แล้วก็เอามาเป็นธุระ
พูดง่ายๆว่าก็ไปหาก้อนหินมาถือเองอีก
แล้วถือไว้อย่างนั้น ทุกข์อย่างนั้น บ่นอย่างนั้นไม่พอ
มาเที่ยวต่อว่าพระ ต่อว่าพระศาสนาว่า มาเที่ยงต่อว่าศาสนทายาทที่มุ่งธรรมมะพ้นโลก
ว่าทำไมไม่รู้จักเอามาเป็นธุระ
ทำไมตัดช่องน้อยแต่พอตัว
พุทธศาสนาสอนให้สนใจตัวเอง หน้าที่ตัวเอง
ไม่ใช่สนใจคนอื่น เรื่องอื่น โทษคนอื่น โทษปัจจัยอื่น
เพราะเรานั่นแหละ หยิบก้อนหินขึ้นมาถือ แล้วก้บ่นว่าทำไมคนอื่นไม่เอามันออก
สมมุติกันขึ้นแล้วก็เข้าไปยึดถือว่านั่นคือสรณะ นั่นคือตัวตน
นั่นคือก้อนหินของฉัน ฉันต้องทำอะไรสักอย่างกับมัน
เมื่อจนใจก็มาพาลพระที่เขามุ่งสายโลกุตระว่าเห็นแก่ตัว
ความจริงบ้านเมืองไม่มีปัญหาหรอก
พันธมิตรนั่นแหละ ปัญหา
พูดให้ชัดคือ ความหลงในตัวกูของกู ของพันธมิตรมันรุนแรงเหลือเกิน
เมื่อหลงว่านั่นคือความถูกต้อง ก็ตั้งแง่ว่าเป็นสงคราม ต้องมีแพ้ ต้องมีชนะ
พูดมากจะเป็นการเมืองไป เจ้าของเว็บเขาจะลำบากใจ
แต่รู้ไว้เถิดว่า คนดีมักจะไม่สร้างปัญหา
และถ้ามีปัญหา คนดีจะใช้ปัญญาแก้ไข
พยามจะจบ ... ไม่ชอบเลี้ยงปัญหา
พระอรหันต์รู้จักทุกข์แล้ววาง ... ไม่ใช่เห็นทุกข์แล้วถือ
ไม่ใชใช้วิธีตัวกูของกู
แต่เป็นวิธี... ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู
ท่านอ่าน ปฏิจสมุปบาทของอาจารย์พุทธทาสแล้วจะเข้าใจได้ง่าย
ว่าอะไรคือคำว่าตัวกูของกู |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 6:27 pm |
  |
ถึงคุณคามินธรรม
การดำเนินทางพระอรหันต์ ซึ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามละกิเลสเครื่องเศร้าหมองให้หมด เมื่อจิตบริสุทธิ์ ใสสะอาด แล้วก็บรรลุพระนิพพานได้
"ไม่ยุ่งเกี่ยวช่วยเหลือใคร แม้บ้านเมืองจะล่มจมอย่างไรก็...ช่างมัน...และ...ช่างเขา...เราไม่เกี่ยว ตัดช่องน้อยไปแต่คนเดียวจริงๆ"
ข้าพเจ้าไม่ได้คิดที่จะพาลใคร วัตถุประสงค์ เพียงแต่อยากจะอธิบายให้เข้าใจ เห็นภาพพจน์ชัดเจนก็เท่านั้น ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และปราศจากอคติใดๆ
ท่านที่อ่านแล้ว จะแปลเป็นอย่างไร และจะให้เกี่ยวพันกับเรื่องใดนั้น ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ มุมมอง บารมีและสติปัญญาของท่านเอง |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 6:36 pm |
  |
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณคามินธรรม ที่แสดงความคิดเห็น ทำให้ได้ตรึกตรองว่า บางครั้ง การเขียนข้อความก็ต้องดูสถานการณ์ปัจจุบันด้วย โดยเฉพาะทางการเมือง หากยึดติดถือติด ก็จะพามาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆได้ง่าย เพราะความรู้สึกและจิตใจคนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
ด้วยมิตรภาพจากกัลยาณมิตร |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 8:00 pm |
  |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย พิมพ์ว่า: |
ทางที่จะบรรลุพระนิพพาน มีได้ 3 อย่าง คือ
1. ทางพระอรหันต์
2. ทางพระปัจเจกโพธิเจ้า
3. ทางโพธิสัตต์สร้างบารมี 30 ทัศ |
ข้อแสดงความคิดเห็นที่เป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้ว่า
ทางที่จะบรรลุนิพพานได้นั้น ต้องประกอบไปด้วยหลักการ หรือวิธีการดังต่อไปนี้
1. การเอาใจจดจ่อในสิ่งนั้น หรือการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น หรือการเอาใจไปผูกอยู่ในสิ่งนั้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว และระลึกได้ (สมาธิ )
2. ความรู้ หมายถึง ความรู้ในทางหลักธรรมะและความรู้อื่นๆอันเกี่ยวข้องกับหลักธรรมะนั้นๆ
3. การแปลงความรู้ให้เป็นการปฏิบัติ หมายถึง การแปลงความรู้อันประกอบด้วย ความรู้สึกตัว และระลึกได้ (สมาธิ) ให้เป็นพฤติกรรม หรือสามารถขจัด คลื่นแห่งสภาพแห่งสภาวะจิตใจ ในรูปแบบต่างๆ หรือคลื่นแห่งอารมณ์ ความรู้สึก ให้ออกจากสรีระร่างกายได้
4.การแปลงการปฏิบัติ ให้เป็นความรู้ ความเข้าใจ (อันนี้หมายรวมถึงการปฏิบัติของผู้อื่นด้วย
อนึ่ง ความรู้ หรือ หลักธรรมนั้น ให้คุณไปอ่านกระทู้เรื่อง "ศาสนาช่วยอะไรได้บ้าง ยุคเศรษฐิกิจฝืดเคือง" ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ตามแต่กำลังสมองสติปัญญาของแต่ละบุคคล |
|
|
|
  |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 8:23 pm |
  |
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณBuddha สำหรับคำอธิบายดังกล่าว
ตัวข้าพเจ้าเอง ความรู้และการได้สัมผัสในพระพุทธศาสนานั้น ยังน้อยอยู่มาก ข้อคิดเห็นต่างๆ ข้าพเจ้ายินดีที่จะน้อมรับเป็นอย่างยิ่ง และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ และความรู้สึกกันและกัน เพื่อพัฒนาตัวข้าพเจ้าเองทั้งทาง EQ และ IQ และเพื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆ
ข้าพเจ้ายึดในหลักการที่ว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และต้องให้โอกาส
คารวะด้วยไมตรีจิต |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 8:57 pm |
  |
พระโพธิสัตว์ของเถรวาทต่างกับพระโพธิสัตว์ของมหายาน
พระโพธิสัตว์ของเถรวาท ไม่จำเป็นต้องบรรลุอรหันต์ เพียงแต่มี
จิตมุ่งพุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พระโพธิสัตว์ของมหายาน ต้องเป็นพระอรหันต์ที่บรรลุมรรคผลแล้ว
มาก่อน แต่ด้วยหลักมหากรูณาต่อสรรพสัตว์ พวกท่านจึงไม่ยอมเข้า นิพพานไป จะอยู่ช่วยเหลือสรรพสัตว์จนกว่าทุกสรรพสัตว์พ้นทุกข์หมด พวกท่านจึงจะเสร็จสุ่นิพพาน
พระโพธิสัตว์กวนอิมและพระอรหันต์จี้กง เป็นพระโพธิสัตว์มหายาน
หลวงพ่อสด และพระเยซู ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์มหายาน จิตของ
พวกท่านเข้าถึงอรหันต์นานแล้วทั้งนั้น แต่เพราะพวกท่านต้องการ โปรดสัตว์ จึงต้องอยู่ใน 3 ภพต่อไป
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พวกท่านบรรลุอรหันต์ แล้ว ก็เข้านิพพานไป
พระพุทธเจ้าตอนที่ ท่าบบรรลุอนุตตรสัมโพธิญานตรัสรู้เมื่ออายุ 45 ปี ท่านเป็นอรหัน ต์ จะเข้านิพพานไปก็ได้ แต่ท่านไม่เข้า อยู่สอน
ชาวโลกต่ออีกจนถึงอายุ8 0ปี ช่วงอายุ 45-80ปี ท่านดำรงตนเป็นทั้
งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มหายาน แต่ในชาติที่ท่านเป็นพระ เวสสันดร และในชาติก่อนหน้านั้นหลังจากที่ท่านตั้งปณิธานจะเป็น
พระพุทธเจ้า ท่านดำรงตนเป็นพระโพธิสัตว์ ตามความหมายของ เถรวาท |
|
|
|
  |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ค.2008, 9:55 pm |
  |
ขอขอบคุณในความกรุณา สำหรับความรู้จากคุณพลศักดิ์
พระพุทธเจ้าอมิภาตะทรงมีพระอัครสาวกซ้ายขวาคือ พระมหาสถามปราบต์ และพระอวโลกิเตศวร หรือพระกวนอิม สานุศิษย์ซึ่งสร้างบารมีตามท่านอย่างใกล้ชิดอีก ๒ องค์ คือ พระสังขตะกระจาย หรือ พระอริยะกัสสปะ และ เจ้าพระอชิตะ ซึ่งบางครั้ง ก็มีผู้สร้างรูป พระสังขตะกระจาย ถวายเหมือนกัน ทั้งสององค์นี้ถ้าสร้างบารมีได้สูงพอ องค์ใดองค์หนึ่งจะได้มาตรัสเป็นพระศรีอริยะเมตไตรย์แทนองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
02 ก.ค.2008, 8:26 am |
  |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย พิมพ์ว่า: |
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณBuddha สำหรับคำอธิบายดังกล่าว
ตัวข้าพเจ้าเอง ความรู้และการได้สัมผัสในพระพุทธศาสนานั้น ยังน้อยอยู่มาก ข้อคิดเห็นต่างๆ ข้าพเจ้ายินดีที่จะน้อมรับเป็นอย่างยิ่ง และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ และความรู้สึกกันและกัน เพื่อพัฒนาตัวข้าพเจ้าเองทั้งทาง EQ และ IQ และเพื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆ
ข้าพเจ้ายึดในหลักการที่ว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และต้องให้โอกาส
คารวะด้วยไมตรีจิต |
อีคิว และ ไอคิว เป็น คำศัพท์ สมมุติ เพื่อใช้เรียก ความรู้ ความจำ ปฏิภาณไหวพริบ และสภาพสภาวะจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก อันเกี่ยวกับระบบของสมอง และพฤติกรรมขอมนุษย์ ในทางที่เป็นจริงแล้ว ในทางศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ จะเรียกว่า "รู้จักกำหนดจิตผู้อื่น" ก็ได้
หรือ จะกล่าวว่า "มนุษย์ ย่อมมีสมองสติปัญญาที่ไม่เท่าเทียมกัน ก็ได้ หรือจะเรียกว่า "บัวสี่ประเภท" ก็ได้
ศาสนา สามารถพัฒนา อีคิว และไอคิวได้ ชนิดที่เรียกว่า เป็นแม่แบบ หรือเป็นต้นแบบของการพัฒนา ไอคิว และอีคิว ก็ย่อมได้
เพราะศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ นั้น ได้รวมเอาหลักธรรมชาติ ที่มนุษย์ปฏิสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้อง มาไว้เป็นหลักธรรม และหลักปฏิบัติ
เพราะเพียงเรารู้ และเข้าใจในหลักธรรมแห่งศาสนาแล้ว ไอคิวย่อมเพิ่มพูนขึ้น อีคิวก็จะปรากฎตามมา เป็นเงาตามตัว
หลายๆท่านอาจจะคิดไปว่าหลักธรรมทางศาสนา (ในที่นี้หมายเอาศาสนาพุทธ) ไม่สามารถพัฒนาได้ ถ้าคิดแบบนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะการที่เราได้ศึกษา ได้ทำความเข้า ได้เรียน ได้รู้ และได้คิดพิจารณาตามหลักธรรมที่เป็นจริงแล้ว บุคคลนั้น ย่อมเกิดปัญญาในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นหลักธรรมชาติ อันเกี่ยวกับระบบการทำงานของสรีระร่างกาย
อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่แลกเปลี่ยนความรู้กับคุณดอกนะ เพราะความรู้ของข้าพเจ้าไม่ได้มีไว้แลกเปลี่ยน |
|
|
|
  |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
02 ก.ค.2008, 9:24 am |
  |
เรียน คุณBuddha
"อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่แลกเปลี่ยนความรู้กับคุณดอกนะ เพราะความรู้ของข้าพเจ้าไม่ได้มีไว้แลกเปลี่ยน"
คำว่า "แลกเปลี่ยนความรู้" หมายความว่า เมื่อข้าพเจ้าพิมพ์ในสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ และท่านอื่นได้อ่าน ได้รู้เพิ่ม พร้อมทั้งมีคำสนับสนุน หรือ คัดค้าน โต้แย้ง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด เพื่อความกระจ่างชัดยิ่งขึ้น หรือเมื่อท่านอื่นได้พิมพ์ข้อความ แล้วข้าพเจ้าได้อ่าน คนอื่นได้อ่าน และเกิดการอภิปรายกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและกระจ่างชัดยิ่งขึ้น นั่นล่ะ คือการ "แลกเปลี่ยนความรู้" ในความหมายของข้าพเจ้า แล้วคุณ Buddha คิดว่า ควรใช้คำไหนที่เหมาะสม และกระจ่างชัดมากกว่านี้หรือ
หวังว่า.....คงได้รับการชี้แนะจากคุณอีกครั้ง
การแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่เหมือนกับการเอาเงินไปซื้อของ จ่ายเงินไปได้ของมา ต้องแลกเงินกับของ หรือแลกของกับของ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่ย่อมหมดไป แต่ได้สิ่งใหม่เพิ่มเข้ามา
แต่การแลกเปลี่ยนความรู้ ยิ่งแลกเปลี่ยนกัน ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน และความรู้ที่เรามีอยู่ก็ไม่หมดไป แต่กลับเพิ่มพูนและกระจ่างชัดมากขึ้นยิ่งขึ้น
ส่วนการให้ความรู้ ก็ทำให้เรายิ่งแม่นในความรู้นั้นมากขึ้น และทำให้เราค้นคว้าหาความรู้นั้นให้มากยิ่งขึ้น เพื่อการถ่ายทอดหรือการให้ที่ถูกต้องและครอบคลุมยิ่งให้ยิ่งเพิ่ม |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
ส.ต.อ.ขรรค์ชัย
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ค. 2007
ตอบ: 50
ที่อยู่ (จังหวัด): ชุมพร
|
ตอบเมื่อ:
03 ก.ค.2008, 2:33 am |
  |
พิจารณา สงบ นิ่ง อิ่มเอิมด้วยภาพนี้  |
|
_________________ นิพพานคือการดับความยึดมั่นถือมั่นเราจะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร |
|
   |
 |
|