ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2008, 2:24 pm |
  |
วิทยาศาสตร์ มีความหมายตาม พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ดังนี้
" น. ความรู้ที่ได้ โดยการสังเกต และค้นคว้า จากการประจักษ์ ทางธรรมชาติ แล้วจัดเข้าระเบียบ
หรือ วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐาน และเหตุผล แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ "
ข้อความข้างต้น ย่อมหมายความว่า วิชาวิทยาศาสตร์ นั้น เป็นความรู้ที่ได้จากการสังเกต และค้นคว้า จากการได้พบได้เห็น ได้สัมผัส ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จนได้หลักฐาน และเหตุผล แล้วนำมาจัดเป็นหมวดหมู่ จัดลำดับ เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการเรียน การศึกษา หรือการสอน
ศาสนา มีความหมาย ตามพจนานุกรมไทย ฉบับ ราชบัณฑิตยสถานว่า
" น.ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ อันมีหลัก คือ แสดงกำเนิดของโลก และสิ้นสุดของโลกเป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง ,แสดงหลักธรรม เกี่ยวกับบาปบุญ อันเป็นไปในฝ่าย ศีลธรรมประการหนึ่ง ,พร้อมทั้งพิธีที่กระทำตามความเห็น หรือตามคำสอนในความเชื่อถือนั้นๆ"
ภาษา สันสฤต "ศาสนา คือ คำสอน ข้อบังคับ"
พุทธ มีความหมาย ตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า
"ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว (ใช้เฉพาะพุทธเจ้า)
ดังนั้นคำว่า "ศาสนาพุทธ " จึงมีความหมายว่า
"คำสอน ข้อบังคับ หรือลัทธิ ความเชื่อถือ ฯ แห่ง ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว"
ซึ่งตามลักษณะของความรู้ ในทางวิชา วิทยาศาสตร์ เป็นการศึกษา ค้นคว้า และทดลอง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้หลักฐาน และเหตุผล แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ ลำดับ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา และการเรียนรู้
ส่วน ลักษณะของความรู้ใน ทางพุทธศาสนานั้น ก็เป็นการศึกษา ค้นคว้า และทดลอง อันเกี่ยวกับมนุษย์ และเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนเป็น หลักฐาน และเหตุผล แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ ลำดับ เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ และศึกษา
แต่ศาสนาเกิดขึ้นก่อนวิชาวิทยาศาสตร์ และวิธีการศึกษานั้น ก็เป็นแม่แบบแห่งวิชาวิทยาศาสตร์ ฉะนี้ |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2008, 8:52 pm |
  |
คุณ buddha ครับ ประเด็นที่คุณอธิบายต้องการจะสื่ออะไรครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2008, 7:57 am |
  |
ชีวิตคืออะไร พิมพ์ว่า: |
คุณ buddha ครับ ประเด็นที่คุณอธิบายต้องการจะสื่ออะไรครับ |
ตอบ..
อ้าว ... ก็สื่อถึง วิชา วิทยาศาสตร์ และ ศาสนาพุทธ ถึงความหมายของทั้งสองหลักการนะซิคุณ ว่าทั้งสองหลักทั้ง ศาสนาพุทธ และ วิทยาศาสตร์ มีลักษณะการศึกษา ค้นคว้า และลักษณะความรู้ ที่เหมือนกันเกือบทุกประการ มีแตก ต่างกันเล็กน้อย ตามที่ได้อรรถาธิบายในกระทู้หลักข้างต้น
และสือถึง หลักวิชา การต่างๆ ล้วน มีศาสนา เป็นแม่แบบ โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
13 พ.ค.2008, 5:14 pm |
  |
แต่คุณไม่น่าจะเปรียบเทียบวิทยาศาสตร กับ ศาสนา เพราะดูเหมือนคุณจะขัดแย้งกับมัน
ตรงที่ว่าคุณอยากให้ศาสนาพุทธดีที่สุดว่างั้นใช่ไหมครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
13 พ.ค.2008, 8:30 pm |
  |
ชีวิตคืออะไร พิมพ์ว่า: |
แต่คุณไม่น่าจะเปรียบเทียบวิทยาศาสตร กับ ศาสนา เพราะดูเหมือนคุณจะขัดแย้งกับมัน
ตรงที่ว่าคุณอยากให้ศาสนาพุทธดีที่สุดว่างั้นใช่ไหมครับ |
ตอบ......
คุณอ่านกระทู้แล้วทำความเข้าใจดีแล้วหรือ ศาสนาย่อมดีกว่า วิชาการด้านต่างๆอยู่แล้ว แต่ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษา เล่าเรียน หรือเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต ของมนุษย์(หมายเอาเฉพาะมนุษย์)
แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าอยากให้ศาสนาพุทธดีที่สุด มันคนละเรื่องกัน นะคุณ
วิทยาศาสตร์ กับศาสนาไม่ได้ขัดแย้งกันเลยนะคุณ
คุณเขียนแบบคนเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่านหรือเปล่า ไปอ่านให้ดีซิว่า ข้าพเจ้าเปรียบเทียบแล้ว คุณได้ความรู้ ความเข้าใจอะไรบ้างจากกระทู้นี้
ไม่รู้อะไรเลยนะคุณ ขนาดอ่านแล้ว ก็ยังมึน ดื่มเหล้าหรือเบียร์หรือเปล่าคุณ..... |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
13 พ.ค.2008, 9:45 pm |
  |
Buddha พิมพ์ว่า: |
ชีวิตคืออะไร พิมพ์ว่า: |
คุณ buddha ครับ ประเด็นที่คุณอธิบายต้องการจะสื่ออะไรครับ |
ตอบ..
อ้าว ... ก็สื่อถึง วิชา วิทยาศาสตร์ และ ศาสนาพุทธ ถึงความหมายของทั้งสองหลักการนะซิคุณ ว่าทั้งสองหลักทั้ง ศาสนาพุทธ และ วิทยาศาสตร์ มีลักษณะการศึกษา ค้นคว้า และลักษณะความรู้ ที่เหมือนกันเกือบทุกประการ มีแตก ต่างกันเล็กน้อย ตามที่ได้อรรถาธิบายในกระทู้หลักข้างต้น
และสือถึง หลักวิชา การต่างๆ ล้วน มีศาสนา เป็นแม่แบบ โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ |
ก็ผมเห็นคุณโพสซะยังงั้น
อ้างอิงจาก: |
คุณอ่านกระทู้แล้วทำความเข้าใจดีแล้วหรือ ศาสนาย่อมดีกว่า วิชาการด้านต่างๆอยู่แล้ว แต่ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษา เล่าเรียน หรือเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต ของมนุษย์(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) |
คุณรู้เหรอศาสนาดีกว่าวิชาการจริงหรอครับโปรดอย่ายอมรับหรือทิ้งมันไปซะก่อน
ถ้าคุณคิดว่าศาสนาดีจริงคุณก็คิดข้ามไปมาก เพราะดูเหมือนคุณจัดอันดับให้ศาสนาดีกว่าใช่หรือไม
ถ้าคุณคิดอย่างงั้น เพราะดูเหมือนคุณความในยังมีการเปรียบเทียบอย่างแน่นอนครับ
ศาสนาแท้จริงแล้ว ไม่มีการไหว้ ไม่มีการเข้าไปวัดหรือโบสถ์ ไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีพิธีกรรมหรือบูชา ซึ่งศาสนาที่แท้นั้นคือ การมองสังเกตโดยจิตสำนึกครับ ไม่ใช้ความคิดครับ เพราะความคิดทำให้เราแตกแยก
ขนาดคุณกับผมก็แตกแล้ว
ดังนั้นคำถามที่แท้คือ คุณมอง(การรู้แจ้ง)โดยตำหนิหรือไม่ครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ค.2008, 12:56 pm |
  |
ชีวิตคืออะไร พิมพ์ว่า: |
Buddha พิมพ์ว่า: |
ชีวิตคืออะไร พิมพ์ว่า: |
คุณ buddha ครับ ประเด็นที่คุณอธิบายต้องการจะสื่ออะไรครับ |
ตอบ..
อ้าว ... ก็สื่อถึง วิชา วิทยาศาสตร์ และ ศาสนาพุทธ ถึงความหมายของทั้งสองหลักการนะซิคุณ ว่าทั้งสองหลักทั้ง ศาสนาพุทธ และ วิทยาศาสตร์ มีลักษณะการศึกษา ค้นคว้า และลักษณะความรู้ ที่เหมือนกันเกือบทุกประการ มีแตก ต่างกันเล็กน้อย ตามที่ได้อรรถาธิบายในกระทู้หลักข้างต้น
และสือถึง หลักวิชา การต่างๆ ล้วน มีศาสนา เป็นแม่แบบ โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ |
ก็ผมเห็นคุณโพสซะยังงั้น
อ้างอิงจาก: |
คุณอ่านกระทู้แล้วทำความเข้าใจดีแล้วหรือ ศาสนาย่อมดีกว่า วิชาการด้านต่างๆอยู่แล้ว แต่ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษา เล่าเรียน หรือเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต ของมนุษย์(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) |
คุณรู้เหรอศาสนาดีกว่าวิชาการจริงหรอครับโปรดอย่ายอมรับหรือทิ้งมันไปซะก่อน
ถ้าคุณคิดว่าศาสนาดีจริงคุณก็คิดข้ามไปมาก เพราะดูเหมือนคุณจัดอันดับให้ศาสนาดีกว่าใช่หรือไม
ถ้าคุณคิดอย่างงั้น เพราะดูเหมือนคุณความในยังมีการเปรียบเทียบอย่างแน่นอนครับ
ศาสนาแท้จริงแล้ว ไม่มีการไหว้ ไม่มีการเข้าไปวัดหรือโบสถ์ ไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีพิธีกรรมหรือบูชา ซึ่งศาสนาที่แท้นั้นคือ การมองสังเกตโดยจิตสำนึกครับ ไม่ใช้ความคิดครับ เพราะความคิดทำให้เราแตกแยก
ขนาดคุณกับผมก็แตกแล้ว
ดังนั้นคำถามที่แท้คือ คุณมอง(การรู้แจ้ง)โดยตำหนิหรือไม่ครับ |
ตอบ...
ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณผุ้ใช้ชื่อว่า"ชีวิตคืออะไร" ถ้าคุณเป็นพวกสัตว์ป่า ที่ข้าพเจ้าวางกับดัก บ่วงแร้วไว้ คุณ ก็ติดกับดักของข้าพเจ้าจนดิ้นไปหลุด แล้ว ละคุณเอ๋ย
สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไปนั้น เป็นตัวอย่างให้คุณได้สำนึก และลดความเบี่ยงเบน ทั้งจิตใจ และความคิดของคุณลงซะบ้าง
เพราะคุณชอบมีความคิดเบี่ยงเบน ไม่ได้นึกถึง อกเขาอกเรา ไม่ได้นึกถึงว่า ผุ้อื่นที่เขามีศรัทธา มีความเชื่อ แต่คุณดันค้านในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร คุณไม่ได้คิดว่า ความคิดของผุ้อื่น กับของคุณ ย่อมมีความแตกต่างจากกัน อันเกิดจาก การได้รับการขัดเกลาทางสังคม และอื่นๆ
ที่นี้คุณต้องใช้สมองสติปัญญา จดจำเอาไว้ว่า บุคคลย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากกัน คุณต้องใช้สมองจดจำเอาไว้ว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างจากกันของแต่ละบุคคล ย่อมทำให้มุมมอง ในการศรัทธา ในการรับรุ้ หรืออื่นใด แตกต่างจากกันด้วย
ยกตัวอย่าง ความคิดของคุณ คัดค้าน ว่า ข้าพเจ้ารู้เหรอว่า ศาสนาดีกว่า หลักวิชาการต่างๆ โดยทีคุณไม่ได้ศึกษา พิจารณาถึงหลักความจริง ทั้งที่ข้าพเจ้าเขียนเอาไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า ศาสนาเป็นเพียงปัจจัยประกอบ หรือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการดำรงชีวิตตามสังคมเป็นอยู่ของมนุษย์
ถ้าคุณอ่านแล้วพิจารณา ย่อมเกิดความเข้าใจ แต่คุณอวดรู้ อวดเก่ง (เอาตรงๆเลยนะ) คิดว่าตัวคุณมึความคิดที่ถูกต้อง แต่ความจริงแล้วไม่รู้เรื่องเลย อันนี้ไม่อธิบายนะ ไปพิจารณาเอาเองอีกครั้งหนึ่ง จะได้เกิด ปัญญา
สิ่งที่คุณเขียนว่า
"ศาสนาแท้จริงแล้ว ไม่มีการไหว้ ไม่มีการเข้าไปวัดหรือโบสถ์ ไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีพิธีกรรมหรือบูชา ซึ่งศาสนาที่แท้นั้นคือ การมองสังเกตโดยจิตสำนึกครับ ไม่ใช้ความคิดครับ เพราะความคิดทำให้เราแตกแยก
ขนาดคุณกับผมก็แตกแล้ว"
คุณไปเอาอะไรที่ไหนมาพุด วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ล้วนเป็นสภาพสภาวะจิตใจ ตามหลักธรรมคำสอนในศาสนาทั้งนั้น
การไหว้เป็น วัฒนธรรมของคนไทย เป็นการแสดงออกถึง การกตัญญู รู้คุณ รู้ตอบแทน
จะตอบแทนด้วย อามิสบูชา หรือปฏิบัติ บูชา
ส่วน วิหารโบสถ์ เขาสร้างไว้ให้พระสงฆ์ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม หรือใช้จัดพิธีกรรมทางศาสนา สร้างไว้ กันแดด กันฝน กันลม ใจคอคุณจะให้นั่งกรำฝน กรำแดด หรือคุณ
เอาแค่นี้นะ
แสดงว่า คุณไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย เป็นคนนอกศาสนาว่างั้นเถอะ หรือไม่ก็เป็นบุคคลประเภท หวังอะไรไม่ได้ตามสิ่งที่หวัง ก็เลยโทษสวรรค์ โทษนรก โทษศาสนา ซิท่า |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ค.2008, 8:06 pm |
  |
นั้นไง คุณมีแผนของตนเองคุณยังติดบ่วงตรงที่คุณอยากจะได้ผลอยู่(หมายถึงแผนหรอกผม) เพราะคุณอยากทำแล้วก็จะได้ผลตนเองซึ่งนั้นคือความคิดของคุณเองนะ
ความคิดคือความขัดแย้งทุกประการ ไม่ว่าคุณคิดขบมาละเอียดคุณก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้หรือว่าอ่านคำภีร์หรือหนังสือมาทั่วโลกก็ตามครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ค.2008, 9:08 pm |
  |
ชีวิตคืออะไร
ตอบเมื่อ: 14 พ.ค.2008, 8:06 pm เรื่อง:
--------------------------------------------------------------------------------
นั้นไง คุณมีแผนของตนเองคุณยังติดบ่วงตรงที่คุณอยากจะได้ผลอยู่(หมายถึงแผนหรอกผม) เพราะคุณอยากทำแล้วก็จะได้ผลตนเองซึ่งนั้นคือความคิดของคุณเองนะ
ความคิดคือความขัดแย้งทุกประการ ไม่ว่าคุณคิดขบมาละเอียดคุณก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้หรือว่าอ่านคำภีร์หรือหนังสือมาทั่วโลกก็ตามครับ
Buddha
ตอบ....
คุณเอ๊ย.... มนุษย์นั้นมีหลายจำพวก ได้รับการขัดเกลาทางสังคมมาแตกต่างจากกัน มีกรรมพันธุ์ ที่แตกต่างจากกัน คุณนั้นมีความคิดเบี่ยงเบนจากความเป็นจริง แถมยังแถไปน้ำขุ่นๆ โดยไม่รู้อะไรเลย " ทำเป็นอวดรู้ แต่ความจริง แล้วไม่รู้ ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้ "
เผอิญ ข้าพเจ้ามีวิญญาของความเป็นครู อยู่มาก ดังนั้ข้าพเจ้า ก็จะสอนแบบสอนเด็กทั่วไป ใครสนใจ ซักถามในสิ่งทีเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา เชาก็ได้ประโยชน์ เด็กคนไหน ไม่เอาถ่าน เหมือนกับคุณผู้ใช้ชื่อว่า "ชีวิตคืออะไร" ข้าพเจ้าก็เฉยๆ ไม่สนใจจะดีกว่า นี้แหละวิธีแก้ปัญหา โดยที่ไม่ต้องไปอ่านคัมภีร์ หรือหนังสือทั่วโลก ดอกนะคุณ อ่า ฮ่า ฮ่า |
|
|
|
  |
 |
ลุงทิด
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2008
ตอบ: 7
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ค.2008, 11:25 am |
  |
อมิตตพุทธ!!!
อุเบกขา อุเบกขา อุเบกขา
อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง
คูณ สองคนเป็นมหามิตรที่ขาดกันไม่ได้เสียแล้ว
ลุงจะเล่าอะไรให้ฟัง
ลุงมีเพื่อน สองคนชอบเล่นสกา ซึ่งคนเล่นเป็นก็มีอยู่สองคนนี่แหละ
เวลามาเล่นก็ทะเลาะกันทุกวัน และทุกเย็นไครมาก่อนก็นั่งรออีกคน
มาแล้วก็เล่นไปทะเลาะกันไปอีก
จนวันหนึ่ง คนหนึ่งหายไปไม่มาหลายวัน
กลับมาอีกทีเปลี่ยนกันไปหมด เพราะรู้แล้วว่าเขารักกันแค่ใหน ?
ลุงทิด |
|
_________________ ทำดีต้องมีสุข ถ้ามีทุกข์ต้องพิจารณา
ผู้มีธรรมต้องรู้จักดำรงตนในความพอดี พอเหมาะ สายกลาง ลดการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ค.2008, 1:07 pm |
  |
คุณผู้ใช้ชื่อว่า ลุงทิด
จะทำอะไร ก็ให้ดูยุคสมัยซะบ้าง
สมัยนี้ เอานิยายมาเล่าสู่กันฟัง ดูมันจะล้าสมัยไปแล้วนะคุณ
ตอนนี้ผู้ใช้ชื่อว่า "ชีวิตคืออะไร " หายไปแล้ว สงสัย หน้าไม่ด้านพอ อิ อิ อิ |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
19 พ.ค.2008, 8:28 pm |
  |
คุณ Buddha ครับ ผมไม่ใช่ผู้นำคำสอนครับ แล้วที่ผมตอบไม่ได้เพราะว่า คำถามนั้นมันไม่ได้อยู่ที่คำตอบ แต่อยู่ที่คำถามแล้วครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
24 พ.ค.2008, 10:28 am |
  |
ดังที่ได้กล่าวไปว่า หลักศีลธรรมทางศาสนา ล้วนมีอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) และศีลธรรมในตัวทุกคน ก็ล้วนต้องเกี่ยวข้อง ปฏิสัมพันธ์ กับสภาพสิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีอยู่ตามปกติของโลก หรือถูกสร้างขึ้น ตามหลักวิชาการด้านต่างๆ ก็ตามแต่
วิทยาศาสตร์ ก็เช่นกัน หลักวิชาวิทยาศาสตร์ ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพียงแต่มนุษย์นำสิ่งเหล่านั้นมาผสมผสาน โดยหลักการสังเกต ด้วยเหตุ ด้วยผล แล้วจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ แล้วนำมาใช้ ซึ่งถ้าจะกล่าวถึงความแตกต่างกับศาสนาแล้ว ไม่มีเลย เพราะพฤติกรรมทางหลักการทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเพียงแขนงวิชาหนึ่ง ในทางศาสนาเท่านั้น
เหตุเพราะ หลักศีลธรรม ทางศาสนามีอยู่ในตัวมนุษย์อยู่แล้วนั่นเอง
ธรรมชาติของคนทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ล้วนได้รับการขัดเกลาทางสังคม เมื่อสังคมใด มีศาสนาใด คนในสังคมนั้นๆ ก็ย่อมได้รับการขัดเกลาทางศาสนาไปด้วย
แต่ถึงแม้ว่า สังคมนั้นจะไม่มีศาสนา คนในสังคมนั้นๆ ก็ยังมีศีลธรรม ทางศาสนาอยู่ในจิตใจ และสมอง ทั้งนี้ก็เพราะ หลักธรรม คำสอนทางศาสนา เป็นหลักความจริง ไม่ว่าคนเหล่านั้นในสังคมใดใด จะนับถือศาสนาหรือไม่ก็ตาม
ผู้ประกอบอาชีพ ใดใด หรือผู้ศึกษา ค้นคว้า ในสาขาวิชาใดใดก็ตามแต่ ล้วนต้องอาศัย สภาพสภาวะจิตใจ อันเป็นหลักธรรมคำสอนทางศาสนา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) ธรรมชาติของมนุษย์หรือพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดใด หรือไม่ได้นับถือศาสนาใดใด ก็ล้วน ขึ้นอยู่กับปัจจัย หรือล้วนต้องมีพฤติกรรม ตามหลักธรรมคำสอนดังต่อไปนี้.-
บุคคลใดใด ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดใดก็ตาม หรือไม่นับถือศาสนาใดใด ล้วนต้อง มี
การครองเรือน , การให้ทาน
ล้วนต้องมี
การ กตัญญู รู้คุณ , การเจรจา หรือ ติดต่อสื่อสาร
ล้วนต้องมี
สรรพอาชีพ , การประพฤติ
ล้วนต้องมี
ระลึก คือความคิดถึงนึกถึง , ดำริ คือ ความคิด
และหลักธรรมคำสอน ทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนี้ ย่อมเป็นบรรทัดฐาน ในอันที่จะทำให้มนุษย์ มีการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน มีการศึกษาค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็นหลักวิชาการใดใด ย่อมต้องอาศัยปัจจัยหรือเป็นไปตามหลักธรรมคำสอน ดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้น ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ ถ้าจะว่าไปแล้ว ย่อมไม่มีข้อแตกต่างจากกัน ในด้านการศึกษาค้นคว้า และวิธีการ
แต่อาจจะแตกต่างกันในด้านองค์ความรู้ ในบางเรื่องบางอย่าง ฉะนี้
อ่านแล้ว คงไม่เข้าใจ เพราะการเขียน กับการพูด จะแตกต่างจากกัน คิดแล้วพูด กับพุดแล้วเขียน กับเขียน และพูด มันไม่เหมือนกัน
ความจริง แล้ว ข้าพเจ้าจะสื่อ ให้ ผู้ศรัทธาในศาสนาทั้งหลาย ได้เกิดข้อคิด ข้อเตือนใจ และทำให้เกิดความเข้าใจในทางที่ถูกต้องว่า
พุทธศาสนา หรือ จะเป็นศาสนาใดใดก็ตาม ล้วน เป็นต้นแบบ ต้นกำเนิด ของวิชา วิทยาศาสตร์ ในที่นี้จะหมายเอาเฉพาะ "ศาสนาพุทธ"
องค์ ความรู้ ทางศาสนาพุทธ เป็นต้นกำเนิด เป็นแม่แบบ ของ วิชา วิทยาศาสตร์ หมายความว่า องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนานั้น เป็นหัวข้อหลักใหญ่ ส่วนองค์ความรู้ทางวิชาวิทยาศาสตร์เป็นรายละเอียด ขององค์ความรู้ทางพุทธศาสนา
ดังนั้น ผู้ศรัทธา ในพุทธศาสนา ควรได้เรียนรู้ หลักและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้เป็นปัจจัยประกอบในการปฏิบัติ ธรรม ประพฤติตามหลักธรรมคำสอน ไม่ใช่อ่านเพียงตัวหนังสือ แล้วไม่ศึกษาค้นคว้า คิดพิจารณา ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่คิดพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง อันสามารถพิสูจน์ได้ ว่าเป็นจริงมีจริง
ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรทางศาสนา หรือวิทยากรทางศาสนา หรือผู้เกี่ยวข้องทางศาสนา ล้วนเข้าใจผิดในพุทธศาสนา โดยไม่คิดพิจารณา ตรวจสอบ ค้นคว้า ศึกษา เพื่อได้เข้าใจ และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่า มีจริง เป็นจริง ตามหลักความจริงของธรรมชาติ ไม่ได้สนใจตัวเอง ไม่รู้ว่าไปสนใจอะไร
องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนา นั้น เป็นหลักสภาพสภาวะจิตใจ เป็นหลักพฤติกรรม ทางภายในภายนอก อีกทั้งยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ คน สัตว์ สิ่งของ ตามสังคมนั้นๆ
องค์ ความรู้ ทางวิชา วิทยาศาสตร์ นั้น ก็ต้องอาศัย สภาพสภาวะจิตใจ พฤติกรรม ทั้งภายในและนอกของตัวเอง และเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ คนสัตว์ สิ่งของ ตามสังคมนั้นๆ เช่นกัน
เพราะองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา นั้น มีอยู่ใน เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ใน ตัวมนุษย์ ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์)
หากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจว่า หลักวิธีการพิจารณา ค้นคว้า ศึกษา ทางวิทยาศาสตร์ นั้น เป็นส่วนรายละเอียดของ องค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ก็จะได้รู้และเข้าใจ ในอันที่ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติ ตามหลักธรรม คำสอน ศึกษา ค้นคว้า คิดพิจารณา ให้เป็นไปตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ อันนี้หมายความว่า ปัจจุบัน และที่ผ่านมา ทุกคน ไม่เข้าใจว่า พุทธศาสนา เป็นต้นแบบ เป็นแม่แบบ ของวิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาอื่นๆด้วย
ส่วนในเรื่อง ขององค์ ความรู้นั้น ในที่นี้จะไม่อธิบาย แต่ให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูด้วยตัวเองซิว่า องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนา เป็นต้นแบบ เป็นแม่แบบ เป็นหัวข้อหลัก ของ วิชาวิทยาศาสตร์ จริงหรือไม่
อนึ่ง ที่สำคัญ อันเป็นปัจจัยที่ต้องอย่าลืมว่า ศาสนา เกิดขึ้นก่อน วิชาวิทยาศาสตร์ หลายพัน ปี นะขอรับ |
|
|
|
  |
 |
ชีวิตคืออะไร
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2008
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2008, 4:15 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
ดังที่ได้กล่าวไปว่า หลักศีลธรรมทางศาสนา ล้วนมีอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว(หมายเอาเฉพาะมนุษย์) และศีลธรรมในตัวทุกคน ก็ล้วนต้องเกี่ยวข้อง ปฏิสัมพันธ์ กับสภาพสิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะมีอยู่ตามปกติของโลก หรือถูกสร้างขึ้น ตามหลักวิชาการด้านต่างๆ ก็ตามแต่
วิทยาศาสตร์ ก็เช่นกัน หลักวิชาวิทยาศาสตร์ ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพียงแต่มนุษย์นำสิ่งเหล่านั้นมาผสมผสาน โดยหลักการสังเกต ด้วยเหตุ ด้วยผล แล้วจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ แล้วนำมาใช้ ซึ่งถ้าจะกล่าวถึงความแตกต่างกับศาสนาแล้ว ไม่มีเลย เพราะพฤติกรรมทางหลักการทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเพียงแขนงวิชาหนึ่ง ในทางศาสนาเท่านั้น
เหตุเพราะ หลักศีลธรรม ทางศาสนามีอยู่ในตัวมนุษย์อยู่แล้วนั่นเอง
ธรรมชาติของคนทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ล้วนได้รับการขัดเกลาทางสังคม เมื่อสังคมใด มีศาสนาใด คนในสังคมนั้นๆ ก็ย่อมได้รับการขัดเกลาทางศาสนาไปด้วย
แต่ถึงแม้ว่า สังคมนั้นจะไม่มีศาสนา คนในสังคมนั้นๆ ก็ยังมีศีลธรรม ทางศาสนาอยู่ในจิตใจ และสมอง ทั้งนี้ก็เพราะ หลักธรรม คำสอนทางศาสนา เป็นหลักความจริง ไม่ว่าคนเหล่านั้นในสังคมใดใด จะนับถือศาสนาหรือไม่ก็ตาม
ผู้ประกอบอาชีพ ใดใด หรือผู้ศึกษา ค้นคว้า ในสาขาวิชาใดใดก็ตามแต่ ล้วนต้องอาศัย สภาพสภาวะจิตใจ อันเป็นหลักธรรมคำสอนทางศาสนา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) ธรรมชาติของมนุษย์หรือพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดใด หรือไม่ได้นับถือศาสนาใดใด ก็ล้วน ขึ้นอยู่กับปัจจัย หรือล้วนต้องมีพฤติกรรม ตามหลักธรรมคำสอนดังต่อไปนี้.-
บุคคลใดใด ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดใดก็ตาม หรือไม่นับถือศาสนาใดใด ล้วนต้อง มี
การครองเรือน , การให้ทาน
ล้วนต้องมี
การ กตัญญู รู้คุณ , การเจรจา หรือ ติดต่อสื่อสาร
ล้วนต้องมี
สรรพอาชีพ , การประพฤติ
ล้วนต้องมี
ระลึก คือความคิดถึงนึกถึง , ดำริ คือ ความคิด
และหลักธรรมคำสอน ทั้ง 4 คู่ 8 ข้อนี้ ย่อมเป็นบรรทัดฐาน ในอันที่จะทำให้มนุษย์ มีการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน มีการศึกษาค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็นหลักวิชาการใดใด ย่อมต้องอาศัยปัจจัยหรือเป็นไปตามหลักธรรมคำสอน ดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้น ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์ ถ้าจะว่าไปแล้ว ย่อมไม่มีข้อแตกต่างจากกัน ในด้านการศึกษาค้นคว้า และวิธีการ
แต่อาจจะแตกต่างกันในด้านองค์ความรู้ ในบางเรื่องบางอย่าง ฉะนี้
อ่านแล้ว คงไม่เข้าใจ เพราะการเขียน กับการพูด จะแตกต่างจากกัน คิดแล้วพูด กับพุดแล้วเขียน กับเขียน และพูด มันไม่เหมือนกัน
ความจริง แล้ว ข้าพเจ้าจะสื่อ ให้ ผู้ศรัทธาในศาสนาทั้งหลาย ได้เกิดข้อคิด ข้อเตือนใจ และทำให้เกิดความเข้าใจในทางที่ถูกต้องว่า
พุทธศาสนา หรือ จะเป็นศาสนาใดใดก็ตาม ล้วน เป็นต้นแบบ ต้นกำเนิด ของวิชา วิทยาศาสตร์ ในที่นี้จะหมายเอาเฉพาะ "ศาสนาพุทธ"
องค์ ความรู้ ทางศาสนาพุทธ เป็นต้นกำเนิด เป็นแม่แบบ ของ วิชา วิทยาศาสตร์ หมายความว่า องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนานั้น เป็นหัวข้อหลักใหญ่ ส่วนองค์ความรู้ทางวิชาวิทยาศาสตร์เป็นรายละเอียด ขององค์ความรู้ทางพุทธศาสนา
ดังนั้น ผู้ศรัทธา ในพุทธศาสนา ควรได้เรียนรู้ หลักและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้เป็นปัจจัยประกอบในการปฏิบัติ ธรรม ประพฤติตามหลักธรรมคำสอน ไม่ใช่อ่านเพียงตัวหนังสือ แล้วไม่ศึกษาค้นคว้า คิดพิจารณา ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่คิดพิจารณาให้เป็นไปตามหลักความจริง อันสามารถพิสูจน์ได้ ว่าเป็นจริงมีจริง
ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรทางศาสนา หรือวิทยากรทางศาสนา หรือผู้เกี่ยวข้องทางศาสนา ล้วนเข้าใจผิดในพุทธศาสนา โดยไม่คิดพิจารณา ตรวจสอบ ค้นคว้า ศึกษา เพื่อได้เข้าใจ และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่า มีจริง เป็นจริง ตามหลักความจริงของธรรมชาติ ไม่ได้สนใจตัวเอง ไม่รู้ว่าไปสนใจอะไร
องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนา นั้น เป็นหลักสภาพสภาวะจิตใจ เป็นหลักพฤติกรรม ทางภายในภายนอก อีกทั้งยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ คน สัตว์ สิ่งของ ตามสังคมนั้นๆ
องค์ ความรู้ ทางวิชา วิทยาศาสตร์ นั้น ก็ต้องอาศัย สภาพสภาวะจิตใจ พฤติกรรม ทั้งภายในและนอกของตัวเอง และเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับ คนสัตว์ สิ่งของ ตามสังคมนั้นๆ เช่นกัน
เพราะองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา นั้น มีอยู่ใน เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ใน ตัวมนุษย์ ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้ว(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์)
หากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไป ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจว่า หลักวิธีการพิจารณา ค้นคว้า ศึกษา ทางวิทยาศาสตร์ นั้น เป็นส่วนรายละเอียดของ องค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ก็จะได้รู้และเข้าใจ ในอันที่ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติ ตามหลักธรรม คำสอน ศึกษา ค้นคว้า คิดพิจารณา ให้เป็นไปตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ อันนี้หมายความว่า ปัจจุบัน และที่ผ่านมา ทุกคน ไม่เข้าใจว่า พุทธศาสนา เป็นต้นแบบ เป็นแม่แบบ ของวิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาอื่นๆด้วย
ส่วนในเรื่อง ขององค์ ความรู้นั้น ในที่นี้จะไม่อธิบาย แต่ให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูด้วยตัวเองซิว่า องค์ความรู้ ทางพุทธศาสนา เป็นต้นแบบ เป็นแม่แบบ เป็นหัวข้อหลัก ของ วิชาวิทยาศาสตร์ จริงหรือไม่
อนึ่ง ที่สำคัญ อันเป็นปัจจัยที่ต้องอย่าลืมว่า ศาสนา เกิดขึ้นก่อน วิชาวิทยาศาสตร์ หลายพัน ปี นะขอรับ |
ผมเข้าใจดีครับ |
|
_________________ ที่ใดมีการเลือกหรือแบ่งแยก ที่นั้นย่อมมีการขัดแย้ง |
|
    |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2008, 9:11 am |
  |
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขอรับ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2008, 2:30 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
คุณ buddha ครับ ประเด็นที่คุณอธิบายต้องการจะสื่ออะไรครับ |
5555
แทงใจดำจิ๊ดๆๆ
ถามถูกใจมาก ... นาย!  |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
|