Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การนั่งสมาธิ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คณิตตา
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 04 เม.ย. 2005
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 6:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปวดเข่า ไขข้ออักเสบ นั่งกับพื้นไม่ได้ แต่อยากนั่งสมาธิทำอย่างไร

เคยไปนั่งสมาธิบนเก้าอี้ จิตวุ่นวน เผอแป๊บเดียวงีบหลับเกือบตก

จากเก้าอี้





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 11:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การนั่งสมาธิ ก็คล้ายๆ กับการฝึกฝนศิลปะทักษะต่างๆ น่ะครับ คือ เริ่มต้นแล้วจะให้เก่งเลยนั้นคงจะยาก ใครที่นั่งสมาธิแรกๆ แล้วไม่ฟุ้งซ่าน เคลิ้ม ถือว่า ผิดปรกติ จะต้องฟุ้งซ่าน เคลิ้มๆ แทบทุกคนครับ เพียงแต่ฟุ้งซ่านมากฟุ้งน้อย เคลิ้มมากเคลิ้มน้อยเท่านั้นเองแหละครับ (ขึ้นกับกำลังแห่งจิต 3 อย่างในอดีต ของแต่ละคน คือ สติ สมาธิ ปัญญา ที่เคยสั่งสมมา) ดังนั้น จึงต้องการเวลาฝึกฝนนะครับ


http://www.dhammathai.org/monk/monk59.php

ตามเว็บนี้ พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนให้กับพระโมคคัลลานะ แสดงอุบายสำหรับระงับความง่วง ๘ ประการ คือ

๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะละความง่วงนั้นได้ (คือ ตั้งใจก่อนนั่งว่าจะไม่หลับนะครับ แต่อย่าฝืนจนเครียดนะครับ ฝึกบ่อยๆ ก็จะรู้เอง)

๒. หากยังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาแล้วด้วยใจของเธอเอง จะละความง่วงได้ (คือนึกถึงหัวข้อธรรมต่างๆ)

๓. หากยังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาโดยพิสดาร จะละความง่วงได้ (คือสวดมนต์)

๔. หากยังละไม่ได้ เธอควรยอนหูทั้งสองข้างและลูบด้วยฝ่ามือ จะละความง่วงได้ (ข้อนี้คงไม่ต้องขยายความ)

๕. หากยังละไม่ได้ เธอควรลุกข้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ จะละความง่วงได้ (ข้อนี้ก็คงเข้าใจ)

๖. หากยังละไม่ได้ เธอควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีจิตใจแจ่มใสไม่มีอะไรห่อหุ้ม ทำจิตอันมรแสงสว่างให้เกิด จะละความง่วงได้ (นึกถึงแสงสว่าง)

๗. หากยังละไม่ได้ เธอควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่าจะเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะละความง่วงได้ (เดิน)

๘. หากยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้น พอเธอตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยการตั้งใจว่าจะไม่ประกอบสุขในการนอน จะไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง จะไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ (ก็นอนซะ แล้วพรุ่งนี้ก็ว่ากันใหม่)



ศิลปะการทำสมาธิ ต้องประคองรักษาสติ กับสบาย ถ้าสติหย่อน สบายเกินไป ก็ฟุ้ง หลับ แต่ถ้า สติเคร่งเกินไป ก็ไม่สบายและเครียดครับ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2005, 12:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



สมาธิทำยากจริงหรือ ?



?

ขอตอบปัญหานี้ก่อนว่า ไม่จริงเลย ทำสมาธิเมื่อไร? ใจก็ย่อมเกิดสมาธิเมื่อนั้น! ต่างกันแต่ว่า สมาธิเกิดอยู่ได้นานหรือไม่นานเท่านั้น เพราะธรรมชาติของจิต โดยปกติทั่วไป ย่อมมีสมาธิเป็นพื้นฐาน มากบ้างน้อยบ้างอยู่แล้ว



เมื่อเราเริ่มลงมือทำสมาธิในขณะใด สมาธิก็ย่อมเกิดขึ้นทันทีในขณะนั้นเอง แต่เพราะเราใจร้อน และมีค่านิยมผิดๆ จึงมักจะไม่สนใจการทำสมาธิ โดยอ้างว่ามีการงานมาก มีเรื่องยุ่งมาก ใจไม่สงบ ทำสมาธิกับเขาไม่ได้หรอก …เป็นต้น



ใจร้อน คือ พอทำสมาธิปุ๊บ ก็จะให้ใจมันหยุดนิ่งปุ๊บทันทีเหมือนวางก้อนหิน เมื่อเล็งผลเลิศอย่างนี้ ก็เลยไม่อยากทำสมาธิ เพราะทำทีไรไม่เห็นสงบสักที นอนสบายกว่า !



ค่านิยมผิดๆ คือ มีความคิดว่าการทำสมาธิต้องไปทำที่วัด ต้องให้พระคุมทำ พระให้กรรมฐาน ต้องทำคนเดียว ทำในที่สงบ ต้องนั่งทำเป็นชั่วโมง ๆ จนถึงการทำสมาธิทำให้บ้าๆ บ๊องๆ เป็นต้น



สิ่งเหล่านี้ เป็นแต่เพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เราไม่ชอบ ไม่มีโอกาส ไม่สะดวก ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเสมอไป วิธีการต่างๆ ได้แนะนำไว้พร้อมแล้วในหนังสือเล่มนี้ เมื่อท่านอ่านจนจบเล่มแล้ว ความสงสัยปัญหาต่างๆ ดังกล่าว จะหมดสิ้นไป



ก่อนอื่น เราควรจะทราบธรรมชาติของจิตก่อนว่าจิตมีสภาพอย่างไร? ทำไมจิตของเราจึงคิดนึกอะไรวุ่นวาย ไม่มีความสงบเลย? คนอื่นทำมเขาไม่วุ่นวายเหมือนเรา? ทำไม่?? ทำไม ???



จิต มีธรรมชาติ รับ จำ คิด และ รู้ ในอารมณ์และเรื่องราวต่างๆ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี นี่คือธรรมชาติของจิตแท้ๆ ไม่ได้เป็นจิตที่ผิดปกติแต่อย่างใด ตรงข้ามคนที่ไม่คิดเสียอีก อาจจะผิดปกติ คนที่ไม่คิดเลยก็มีอยู่พวกเดียว คือคนที่ตายแล้วเท่านั้น !



การที่เราทำสมาธินั้น มิได้หมายความว่าจะบังคับมิให้จิตมันไม่นึกไม่คิด ก็หามิได้ แต่การทำสมาธินั้นเราเพียงแต่ตั้งใจประคับประคอง ให้จิตมันนึกคิดอยู่ในสิ่งเดียว ที่เราต้องการเท่านั้น แต่ที่มันอยู่กับสิ่งนั้นๆ ไม่นาน ก็เพราะมันไม่เคยชิน ถ้าทำบ่อยๆ ทำให้นานๆ หน่อย มันจะเคยชินไปเอง และมันก็จะชอบเสียด้วย



ถ้าเราเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง เลี้ยงมาจนโตแต่ไม่เคยล่ามโซ่เลย วันแรกที่เราล่ามโซ่ มันจะดึงและร้องลั่นจนเราทนแทบไม่ไหว หูจะแตก แต่ถ้าเราทนหนาวหูไปสัก 2-3 วัน มันก็จะหมดฤทธิ์กไม่ดึงไม่ร้อง จะนอนหมอบอยู่กับหลักนั่งเอง ฉันใด จิตใจของคนเราที่ไม่เคยฝึกหัดอบรมมาก่อน ก็มีอุปมา ฉันนั้น



ตอนทำสมาธิแรก ๆ ต้องใช้ความพยายาม ต้องทนต้องฝืนไปไม่นานนัก มันก็จะหยุดดิ้น เพราะขืนดิ้นต่อไป ก็รังแต่จะเจ็บตัวเสียเปล่า เลยนอนอยู่กับหลัก (อารมณ์ของสมาธิ) แสนจะอุตุกว่า



ความหลงผิดอีกประการหนึ่งที่ว่า ทำสมาธิแล้วจะเป็นคนเฉื่อยชา อืดอาด หากินไม่ทันเขา ข้อนี้ก็ไม่จริง เป็นเพราะสันดานของแต่ละคน ถ้าคนมันจะอืดอาดแล้ว ไม่ทำสมาธิ มันก็ต้องอืดอาดอยู่เอง



ที่ว่ามีการงานมาก ไม่มีเวลาทำสมาธินั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด คิดว่าการทำสมาธิจะต้องนั่งหลับตาเสมอไป และเอามาใช้กับงาน ใช้กับชีวิตประจำวันไม่ได้ ข้อนี้ไม่ขออธิบาย เพราะเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ก็ย่อมจะถึงบางอ้อเอง



เพียงแต่จะขอสรุปตอนท้ายว่า

คนที่มีจิตใจวุ่นวาย ไม่สงบ มีการงานมาก มีภาระรับผิดชอบมาก นั่นแหละยิ่งจำเป็นที่จะต้องทำสมาธิให้มากๆ และต้องทำให้มากกว่าคนธรรมดา หรือแม้พระสงฆ์เสียด้วยซ้ำไป มิฉะนั้นมันจะเป็นโรคประสาท เสียการงาน เสียอนาคต และเสียคนไปชั่วชีวิต หรืออาจจะต้องสิ้นชีวิต โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องสิ้น



ได้ปูพื้นฐาน เรื่องของสมาธิมาพอสมควรแล้ว ก่อนที่จะเข้าภาคปฏิบัติโดยตรง ขอ “ตีปลาหน้าไซ” ไว้ก่อนว่า



อันการที่จะทำให้จิตเกิดสมาธินั้น มีวิธีการมากมายก่ายกองตามแต่จริตนิสัยและบารมีของแต่ละคน ขออย่าได้เกิดความฉงนสนเท่ห์ ให้ศรัทธาเสื่อมถอยเสียเลยว่า



“เอ๊ะ ! … ทำไมมีมากแบบนัก ?

แล้วเราจะทำแบบไหนดีล่ะ ?”



แบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น ทำแล้วไม่เกิดอันตรายทุกแบบ ต่างกันแต่ว่าแบบไหนมันทำสะดวก ถูกกับจริตของตน ก็จงทำแบบนั้นเถิด รสนิยมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และไม่ควรจะว่ากัน





...........

สมาธิ โดยธรรมรักษา
http://www.dhammajak.net/samati/s01.php



...

อ่านวิธีฝึกสมาธิอื่นๆ
http://www.dhammajak.net/samati/samati.php





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 09 พ.ค.2008, 11:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลักการทำสมาธิเบื้องต้น
. จิตของคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยทำสมาธินั้น ก็มักจะมีสภาพเหมือนม้าป่าพยศที่ยังไม่เคยถูกจับมาฝึกให้เชื่อง มีการซัดส่ายไปในทิศทางต่างๆ อยู่เป็นประจำ การทำสมาธินั้นก็เหมือนการจับม้าป่านั้นมาล่ามเชือก หรือใส่ไว้ในคอกเล็กๆ ไม่ยอมให้มีอิสระตามความเคยชิน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ม้านั้นก็ย่อมจะแสดงอาการพยศออกมา มีอาการดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่สามารถอยู่อย่างนิ่งสงบได้ ถ้ายิ่งพยายามบังคับ ควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดิ้นรนมากขึ้นเท่านั้น

การจะฝึกม้าป่าให้เชื่องโดยไม่เหนื่อยมากนั้นต้องใจเย็นๆ โดยเริ่มจากการใส่ไว้ในคอกใหญ่ๆ แล้วปล่อยให้เคยชินกับคอกขนาดนั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ลดขนาดของคอกลงเรื่อยๆ ม้านั้นก็จะเชื่องขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่แสดงอาการพยศอย่างรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อน เมื่อม้าเชื่องมากพอแล้ว ก็จะสามารถใส่บังเหียนแล้วนำไปฝึกได้โดยง่าย

การฝึกจิตก็เช่นกัน ถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอย่างรวดเร็วทั้งที่จิตยังไม่เชื่อง จิตจะดิ้นรนมาก และเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ จิตจะยิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงความกระด้างของจิตที่เพิ่มขึ้น (จิตที่เกร็งจะเป็นจิตที่กระด้าง ซึ่งต่างจากจิตที่ผ่อนคลายจะเป็นจิตที่ประณีตกว่า) แล้วยังจะทำให้เหนื่อยอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งอาจจะบังคับจิตไม่ให้ซัดส่ายได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิตมีอาการสั่น กระเพื่อมอยู่ภายใน

เหมือนการหัดขี่จักรยานใหม่ๆ ถึงแม้จะเริ่มทรงตัวได้แล้ว แต่ก็ขี่ไปด้วยอาการเกร็ง การขี่ในขณะนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตัวก็ยังไม่นิ่มนวลราบเรียบอีกด้วย ซึ่งจะต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับการขับขี่ของคนที่ชำนาญแล้ว ที่จะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสบายๆ ราบเรียบ นุ่มนวล ไม่มีอาการสั่นเกร็ง

หลักทั่วไปในการทำสมาธินั้น พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้


1.) หาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิให้มากที่สุดก่อนที่จะทำสมาธิ เพื่อจะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องลองผิดลองถูก และไม่หลงทาง ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ หรือเข้าใจผิด นอกจากนี้ยังป้องกันความฟุ้งซ่านที่อาจจะเกิดขึ้นจากความลังเลสงสัยอีกด้วย

2.) เลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด แล้วลองทำไปสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าทำแล้วสมาธิเกิดได้ยากก็ลองวิธีอื่นๆ ดูบ้าง เพราะจิตและลักษณะนิสัยของแต่ละคน
ไม่เหมือนกัน วิธีที่เหมาะสมของแต่ละคนจึงต่างกันไป บางคนอาจจะเหมาะ
กับการตามดูลมหายใจ ซึ่งอาจจะใช้คำบริกรรมว่าพุทธ-โธ หรือ เข้า/ออก
ประกอบ บางคนอาจจะเหมาะกับการแผ่เมตตา บางคนถนัดการเพ่งกสิณ เช่นเพ่งวงกลมสีขาว ฯลฯ

ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นมีมากถึง 40 ชนิด เพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละประเภท แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด ก็คืออานาปานสติ คือการตามสังเกต ตามรู้ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง (ดูรายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ในหัวข้อวิธีแก้ไขนิวรณ์ 5/อุทธัจจกุกกุจจะ และในเรื่องอานาปานสติสูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ) เพราะทำได้ในทุกที่ โดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ใดๆ เลย ทำแล้วจิตใจเย็นสบาย ไม่เครียด

3.) อยู่ใกล้ผู้รู้ หรือรีบหาคนปรึกษาทันทีที่สงสัย เพื่อไม่ให้ความสงสัยมาทำให้จิตฟุ้งซ่าน

4.) พยายามตัดความกังวลทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้มากที่สุด โดยการทำงานทุกอย่างที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะทำสมาธิ หรือถ้าทำสมาธิไปแล้ว เกิดความกังวลถึงการงานใดขึ้นมา ก็ให้บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เป็นเวลาทำสมาธิ ยังไม่ถึงเวลาทำงานอย่างอื่น เอาไว้ทำสมาธิเสร็จแล้วถึงไปทำงานเหล่านั้นก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้าแก้ความกังวลไม่หายจริงๆ ก็หยุดทำสมาธิแล้วรีบไปจัดการเรื่องนั้นๆ ให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ ถ้าคิดว่าขืนนั่งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า เมื่องานนั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับมาทำสมาธิใหม่

5.) ก่อนนั่งสมาธิถ้าอาบน้ำได้ก็ควรอาบน้ำก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อนจะทำให้โล่งสบายตัว เมื่อกายสงบระงับ จิตก็จะสงบระงับได้ง่ายขึ้น

6.) ควรทำสมาธิในที่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ไม่พลุกพล่านจอแจ

7.) ก่อนนั่งสมาธิควรเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมาช้าๆ โดยยึดจิตไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งในเท้า ข้างที่กำลังเคลื่อนไหว เช่น ปลายเท้า หรือส้นเท้า โดยควรมีคำบริกรรมประกอบ เช่น ขวา/ซ้าย ฯลฯ) หรือสวดมนต์ก่อน เพื่อให้จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่งก่อน จะทำให้นั่งสมาธิได้ง่ายขึ้น

8.) การนั่งสมาธินั้นควรนั่งในท่าขัดสมาธิ หลังตรง (ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย) หรือถ้าร่างกายไม่อำนวย ก็อาจจะนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ นั่งบนพื้นที่อ่อนนุ่มตามสมควร ทอดตาลงต่ำ ทำกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง (เพราะการเกร็งจะทำให้ปวดเมื่อย และจะทำให้จิตเกร็งตามไปด้วย)

นั่งให้ร่างกายอยู่ในท่าที่สมดุล มั่นคง ไม่โยกโคลงได้ง่าย มือทั้ง 2 ข้างประสานกัน ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกันเบาๆ วางไว้บนหน้าตัก หลับตาลงช้าๆ หลังจากนั้นส่งจิตไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทั่วทั้งตัว เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดที่เกร็งอยู่หรือไม่
ถ้าพบก็ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้หายเกร็ง โดยไล่จากปลายเท้าทีละข้าง ค่อยๆ สำรวจเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แล้วย้ายไปสำรวจที่ปลายเท้าอีกข้างหนึ่ง ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นก็สำรวจจากสะโพก ไล่ขึ้นไปจนถึงยอดอก แล้วสำรวจจากปลายนิ้วมือทีละข้าง ไล่มาจนถึงไหล่ เมื่อทำครบสองข้างแล้ว ก็สำรวจไล่จากยอดอกขึ้นไปจนถึงปลายเส้นผม ก็จะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วร่างกาย จากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ สัก 3 รอบ โดยมีสติอยู่ที่ลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก พร้อมกับทำจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มทำสมาธิตามวิธีที่เลือกเอาไว้

9.) อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่าวันนั้นวันนี้จะต้องได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะจะทำให้เคร่งเครียด จิตจะหยาบกระด้าง และจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมัวแต่ไปจดจ่ออยู่กับผลสำเร็จซึ่งยังไม่เกิดขึ้น จิตจะพุ่งไปที่อนาคต เมื่อจิตไม่อยู่ที่ปัจจุบันสมาธิก็ไม่เกิดขึ้น

ให้ทำใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วค่อยๆ รวมจิตเข้ามาที่จุดที่ใช้ยึดจิตนั้น (เช่นลมหายใจ และคำบริกรรม) แล้วคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้น (เช่น ความหยาบ/ละเอียด ความยาว ความลึก ความเย็น/ร้อน ของลมหายใจ) จิตก็จะอยู่ที่ปัจจุบัน แล้วสมาธิก็จะตามมาเอง ถ้าฟุ้งซ่านไปบ้างก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจิต อย่ากังวล อย่าอารมณ์เสีย (จะทำให้จิตหยาบขึ้น) เพราะคนอื่นๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เมื่อรู้ตัวว่าฟุ้งออกไปแล้ว ก็ใจเย็นๆ กลับมาเริ่มทำสมาธิใหม่ แล้วจะดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

10.) ใหม่ๆ ควรนั่งแต่น้อยก่อน เช่น 5 - 15 นาที แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40, ... นาที ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อยๆ ปรับตัว เมื่อนั่งไปแล้วหากรู้สึกปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงจะขยับ เพราะทุกครั้งที่มีการขยับตัวจะทำให้จิตกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ และโดยปรกติแล้วถ้าทนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เมื่ออาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง และมักจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นอาการของปิติที่เกิดจากสมาธิ

11.) การทำสมาธินั้น เมื่อใช้สิ่งไหนเป็นเครื่องยึดจิต ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเราทั้งหมดไปรวมเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ อยู่ที่จุดยึดจิตนั้น เช่น ถ้าใช้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็ทำความรู้สึกว่าตัวเราทั้งหมดย่อส่วนเป็นตัวเล็กๆ ไปนั่งอยู่ที่จุดที่รู้สึกว่าลมกระทบอย่างชัดเจนที่สุด เช่นปลายรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือริมฝีปากบน เป็นต้น ให้ทำความรู้สึกที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว ไม่ต้องเลื่อนตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จุดที่เลื่อยสัมผัสกับไม้เพียงจุดเดียว ไม่ต้องมองตามใบเลื่อย ก็จะรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังเลื่อยเข้าหรือเลื่อยออก เมื่อจิตอยู่ที่จุดลมกระทบเพียงจุดเดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลักษณะของลมได้เช่นกัน

12.) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล เพราะทั้งหมดเป็นเพียงอาการของจิต พยายามตั้งสติเอาไว้ให้มั่นคง ตราบใดที่ไม่กลัว ไม่ตกใจ ไม่ขาดสติ ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ทำใจให้เป็นปรกติ แล้วคอยสังเกตสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถ้าเห็นภาพที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมา หรือรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวใดๆ ก็ตาม ให้แผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น แล้วคิดว่าอย่าได้มารบกวนการปฏิบัติของเราเลย ถ้าไม่หายกลัวก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วพยายามอย่าใส่ใจถึงสิ่งที่น่ากลัวนั้นอีก ถ้าแก้ไม่หายจริงๆ ก็ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาวๆ แล้วค่อยๆ ถอนจากสมาธิออกมา เมื่อใจเป็นปรกติแล้วถึงจะทำสมาธิใหม่อีกครั้ง สำหรับคนที่ตกใจง่าย ก็อาจนั่งสมาธิหน้าพระพุทธรูป หรือนั่งโดยมีเพื่อนอยู่ด้วย ก่อนนั่งก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

13.) ถ้าจิตไม่สงบ ก็ลองแก้ไขตามวิธีที่ได้อธิบายเอาไว้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ซึ่งได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว

14.) เมื่อจะออกจากสมาธิ ควรแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายก่อน โดยการระลึกถึงความปรารถนาให้ผู้อื่น และสัตว์ทั้งหลายมีความสุขด้วยใจจริง จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้น ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (ระลึกให้ด้วยใจ) แล้วหายใจยาวๆ ลึกๆ สัก 3 รอบ พร้อมกับค่อยๆ ถอนความรู้สึกจากสมาธิช้าๆ เสร็จแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น บิดเนื้อบิดตัวคลายความปวดเมื่อย แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

15.) เมื่อตั้งใจจะทำสมาธิให้จริงจัง ควรงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เว้นแต่เพื่อให้คลายความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ เพราะการคุยกันนั้นจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน คือในขณะคุยกันก็มีโอกาสทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ ทำให้จิตหยาบกระด้างขึ้น และเมื่อทำสมาธิก็จะเก็บมาคิด ทำให้ทำสมาธิได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการคุยกับคนที่สมาธิน้อยกว่าเรา นอกจากนี้ ควรเว้นจากการร้องรำทำเพลง การฟังเพลง รวมถึงการดูการละเล่นทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มกามฉันทะ ซึ่งเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่ง (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) อันเป็นอุปสรรคต่อการทำสมาธิ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 09 พ.ค.2008, 12:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คณิตตา พิมพ์ว่า:
ปวดเข่า ไขข้ออักเสบ นั่งกับพื้นไม่ได้ แต่อยากนั่งสมาธิทำอย่างไร <br>
เคยไปนั่งสมาธิบนเก้าอี้ จิตวุ่นวน เผอแป๊บเดียวงีบหลับเกือบตก <br>
จากเก้าอี้ <br>
<br>
<br>
<img src="pic/b13.gif"> <img src="pic/b14.gif">


นั่งกับพื้นแบบขัดสมาธิ ไม่ได้ว่างั้นเถอะ ไม่เห็นยากเลยคุณ ก็นั่งหลังพิง เหยียดขาตรงไป ไม่ต้องงอเข่า ซิขอรับ
หรือจะนอนลงไปเลย ก็ไม่ผิด ไม่แปลก อะไรเลยขอรับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง