Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รอยธรรมในรอยทาง..พระบัณฑิตอาสา ผู้นำแสงประทีปสู่ขุนเขา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2008, 1:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

รอยธรรมในรอยทาง..พระบัณฑิตอาสา ผู้นำแสงประทีปสู่ขุนเขา

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ๘ ปีก่อน
พระบัณฑิตอาสากลุ่มหนึ่งจากโครงการพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา
ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ได้ออกเดินทางจาริกปฏิบัติศาสนกิจในชุมชนบนพื้นที่สูงในดงดอยห่างไกล
เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชนบนพื้นที่สูง

เฉกเช่นในอดีตกาลบรรพ์...ที่มหาบุรุษผู้หนึ่งได้เที่ยวจาริกไปตามดินแดนต่างๆ
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกขานว่า “ชมพูทวีป” กว่าสองพันห้าร้อยปีถัดมา
เหล่าศิษยานุศิษย์ผู้สืบทอดคำสอนของมหาบุรุษผู้รู้แจ้ง
ได้ออกจาริกตามรอยพระบาทขององค์ศาสดา
เพื่อเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์เหมือนเช่นครั้งพุทธกาล

“พระบัณฑิตอาสา” ผู้จาริกตามรอยพระบาท
โดยมิเลือกเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์วรรณะ
ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาของชาวพุทธที่กำลังคลอนแคลน
การทำงานของเหล่าพระนิสิตเหล่านี้
จึงเปรียบได้ดังแสงประทีปบนขุนเขา
ห่างไกลจากสังคมเมืองอันสับสนวุ่นวาย


Image

• ๑๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ๕๒ ลำห้วย

๑๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง...คือความเร็วโดยประมาณ
เท่าที่รถขับเคลื่อนสี่ล้ออันเป็นพาหนะที่เราโดยสารอยู่
จะสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้เร็วที่สุด

หนทางเบื้องหน้า...แทบจะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าคือถนน
เพราะนอกจากเต็มไปด้วยหลุมบ่อและก้อนหินใหญ่น้อย
ที่คนขับต้องคอยหักหลบเป็นระยะแล้ว
มันยังต้องตัดผ่านลำห้วยที่ไหลคดเคี้ยวผ่านภูเขา
และหมู่บ้านอันเป็นจุดหมายของเราข้างหน้าอีกกว่า ๕๒ ลำห้วย

หลายครั้ง ที่เมื่อรถวิ่งมาอยู่ดีๆ ถนนหินลูกรังก็หายไปดื้อๆ
เราเลยจำต้องใช้เส้นทางน้ำแทนถนน
รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อต้องบุกฝ่าไปตามลำห้วยและโขดหิน
เป็นหนทางเดียวที่จะเดินทางต่อไปได้
สมรรถนะของรถที่ใช้เป็นพาหนะจึงต้องพร้อมเผชิญกับความวิบากของเส้นทาง

ภายนอกหน้าต่าง ความมืดโรยตัวปกคลุมภูมิประเทศสองข้างทาง
จนมองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากแสงไฟหน้ารถ
และม่านฝุ่นสีแดงที่ปลิวคละคลุ้งทุกครั้งที่ล้อรถแล่นผ่าน
คนขับรถมีท่าทางไม่ค่อยสบายใจนัก

เพราะถนนเส้นนี้ ยิ่งมืดก็ยิ่งเปลี่ยว
ตลอดระยะทางกว่าสองชั่วโมงที่วิ่งมาจากตัวอำเภอแม่สะเรียง
มีรถสวนมาแทบนับคันได้
และเมื่อพระจันทร์ยิ่งลอยสูงขึ้นก็ไม่เห็นแสงไฟรถคันใดสวนมาอีกเลย

ทุ่มเศษ คณะเดินทางตัดสินใจแวะพักกินมื้อเย็นกันบริเวณริมห้วยไร้ชื่อแห่งหนึ่ง
อาหารง่ายๆ อย่างข้าวเหนียว น้ำพริกและเนื้อย่างถูกแจกจ่ายไปรอบวง
อิ่มแล้วก็รีบออกเดินทางต่อเพื่อให้ถึงจุดหมาย

Image

• บ้านสล่าเชียงตอง หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่เกือบสุดชายแดนประเทศพม่า

สี่ทุ่มเศษ

หลังจากหลับๆ ตื่นๆ ภายในรถที่โคลงเคลงมาตลอดทาง
ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความสงบนิ่งกว่าปกติ

รถของเราจอดอยู่กลางลำห้วยตื้นๆ
รอสัญญาณจากอาศรมเชิงเขาว่าจะให้วิ่งต่อไปในทิศทางใด
ไม่นาน แสงสว่างจากไฟฉายก็โบกเป็นสัญญาณให้รถค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนเนิน

จากนั้นชายอีก ๔-๕ คนก็ออกมาจากอาศรม
เพื่อช่วยโบกรถให้ไต่ผ่านไม้กระดานแคบๆ
ข้ามร่องหลุมลึกขนาดใหญ่จนสำเร็จ

อาศรมบ้านสล่าเชียงตอง เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ใต้ถุนสูง
ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางเงามืดของขุนเขาและแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายรางๆ

หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง
นอกจากพลังงานจากแผงโซล่าเซลล์ในตอนกลางวัน
เมื่อก้าวขึ้นสู่บริเวณตัวอาศรมจึงมีเพียงแสงตะเกียงไฟฟ้าจากแบตตารี่
และแสงสว่างจากเทียนพรรษาเล่มโตเท่านั้น


พระไพบูลย์ รวิวณฺโณ เป็นพระเพียงรูปเดียวที่จำพรรษาอยู่ ณ อาศรมแห่งนี้
เวลานั้นหลวงพี่ไพบูลย์ยังไม่จำวัด
หากแต่กำลังรอคณะเดินทางอันประกอบไปด้วยทีมงานโครงการฯ
และสื่อมวลชนจากต่างถิ่นที่มาเยือนในคืนนี้

Image

โครงการพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวิทยาเขตเชียงใหม่
ได้จัดให้มีพระนิสิตจากวิทยาเขตต่างๆ
เข้ามาปฏิบัติศาสนกิจในชุมชนบนพื้นที่สูง
ตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๔๓ เป็นต้นมา


เพื่อให้พระนิสิตที่เข้ามาในโครงการได้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชนบนพื้นที่สูง
ซึ่งพระบัณฑิตอาสาเป็นผู้ที่จบในระดับอุดมศึกษาทั้งสิ้น
แต่ยังขาดประสบการณ์ในการทำงานกับชุมชนโดยเฉพาะชุมชนบนพื้นที่สูง

พระไพบูลย์เองก็เป็นหนึ่งในพระนิสิตที่เข้าร่วมโครงการฯ
แม้ท่านจะมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อีสาน จ.สุรินทร์
แต่พระไพบูลย์ตัดสินใจเลือกมาปฏิบัติศาสนกิจ

ภายหลังสำเร็จการศึกษาในดินแดนห่างไกลจากบ้านเกิด
ที่มีความแตกต่างทั้งในด้านภาษา ประเพณีวัฒนธรรม และเชื้อชาติ
หมู่บ้านสล่าเชียงตอง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เป็นพื้นที่ติดเขตชายแดนพม่า


Image

ในหมู่บ้านมี ๒ กลุ่มชาติพันธุ์คือ ปกาเกอะญอและไทใหญ่
ชาวบ้านนับถือ ๒ ศาสนาคือ พุทธและคริสต์
แต่ทว่า พระบัณฑิตสามารถทำงานได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ที่นับถือทั้งสองศาสนา


ทุกเช้า หลวงพี่ไพบูลย์จะออกบิณฑบาต
โดยมีลูกศิษย์วัดชาวเขา ทั้งเด็กที่นับถือพุทธและคริสต์ เป็นเด็กวัดเดินตามพระ
ซึ่งพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นก็เข้าใจ
และสนับสนุนให้บุตรหลานของตนมาช่วยงานหลวงพี่ที่วัด
เพราะไว้ใจว่าทางวัดจะไม่บังคับให้เด็กๆ เปลี่ยนความเชื่อหรือศาสนา

ซึ่งในประเด็นนี้ ทั้งหลวงพี่ไพบูลย์ และทางทีมงานโครงการฯ เห็นตรงกันว่า
ในการปฏิบัติงานจะให้ความเคารพชาวบ้านในประเด็น 'สิทธิทางวัฒนธรรม'


คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนที่จะนับถือศาสนาใดก็ได้
ด้วยทุกศาสนาต่างก็สอนให้เป็นคนดี
จึงเน้นที่การแลกเปลี่ยนระหว่างศาสนาคริสต์กับพุทธ
โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงศาสนา


พระบัณฑิตจะเข้ามามีบทบาทในการฝึกสอนเด็กให้รู้จักคิด อบรมศีลธรรม
และรู้จักอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของตน
โดยเฉพาะวัฒนธรรมการแต่งกายที่นับวันจะเปลี่ยนไปตามสังคมเมืองมากขึ้น

Image

วันรุ่งขึ้น หลังจากตามไปดูกิจกรรมที่พระบัณฑิตอาสาพาเด็กๆ
ทั้งสองศาสนาไปเยี่ยมผู้สูงอายุในหมู่บ้าน
เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้คนในชุมชนเสร็จแล้ว
เราก็ออกเดินทางต่อไปยังบ้านห้วยโป่ง
ที่กำลังจะจัดงานร้อยใจสานสายใยคนในชุมชน และบวชป่าเพื่อพ่อหลวง

ที่บ้านห้วยโป่ง ชาวบ้านที่นั่นได้ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเรื่องป่า
และแนวทางการแก้ไขโดยใช้บวชป่าเป็นสื่อ
โดยประเพณี “กี่จึ” หรือมัดมือของชาวปกาเกอะญอ

ซึ่งอดีตประเพณีนี้ ทุกพื้นที่รวมทั้งที่นี่จะมีเหล้าเป็นเครื่องเซ่นในพิธีกรรม
และในวันงานจะมีการดื่มเหล้าฉลองกันอย่างมาก
บางครั้ง มีปัญหาที่เกิดขึ้นตามมา ทั้งปัญหาหนี้สิน หรือการทะเลาะวิวาท เป็นต้น

เมื่อพระบัณฑิตทำงานในพื้นที่ ต้องการสร้างสมานฉันท์
ให้คนในชุมชนโดยจุดหมายปลายฝันคือสร้างสุขให้ชุมชน

Image

ดังนั้นเมื่อชาวบ้านร่วมกันเลือกประเพณีกี่จึมาแล้ว
พระบัณฑิตจึงมีเวทีให้ชาวบ้านร่วมกันวิเคราะห์ประเพณีและสิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งพบว่ามีเหล้าเข้ามาเกี่ยวข้องมากและชาวบ้านต้องเสียเงินมากในการซื้อเหล้าด้วย

ดังนั้นชาวบ้านต้องการลดเหล้าในประเพณี
ซึ่งพระใช้ศีล ๕ เข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือในการทำงาน
ทำให้ชาวบ้านพร้อมใจกันที่จะละเหล้าในงานครั้งนี้


อดุลย์ ดวงดีทวีรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานโครงการ
การสื่อสารเพื่อการพัฒนาพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา (สพข.)

กล่าวว่า การรณรงค์ลด ละ เลิก อบายมุข แก่ชุมชนชาวเขาในพื้นที่สูง
เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
เพราะชาวบ้านใช้เหล้าในประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ มาเนิ่นนาน

ดังนั้น การจะให้เลิกในระยะเวลาอันสั้นจึงมิใช่เรื่องง่าย
ต้องค่อยๆ ปรับความเข้าใจโดยให้ชาวบ้านเป็นผู้ยอมรับและตัดสินใจเอง

(มีต่อ)
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2008, 1:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

• จุดประทีปในดวงใจ

นอกจากที่หมู่บ้านห้วยโป่งแล้ว
การรณรงค์เลิกเหล้าในพิธีกรรมต่างๆ ยังขยายวงไปอีกในหลายพื้นที่

เนื่องจากคณะทำงานเล็งเห็นว่า พระสงฆ์เป็นสื่อบุคคล
ซึ่งมีพลังในการทำงานพัฒนาสุขภาพของประชาชน
และทางโครงการฯ ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างเสริม
และพัฒนาแนวคิดในการพัฒนาสังคมแบบใหม่
แก่พระบัณฑิตอาสาที่เข้าไปดำเนินกิจกรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์พื้นที่สูงตามแนวชายแดน
ในเขตพื้นที่ ๔ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย
จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน จำนวน ๓๕ อาศรม

บ้านแม่ปูนล่าง เป็นชุมชนหนึ่งที่ตั้งอยู่หมู่ที่ ๙
ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย บ้านแม่ปูนล่าง
ประกอบด้วยประชากรที่อยู่ร่วมกันหลากหลายชาติพันธ์
เช่น ชนเผ่าไทลื้อ มูเซอแดง มูเซอดำ ลั๊วะ และเผ่าว้า

ดังนั้นประชากรบ้านแม่ปูนล่างจึงนับถือศาสนา
และมีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป

อาทิเช่น ชาติพันธุ์มูเซอดำและว้าจะนับถือศาสนาคริสต์,
ชาติพันธุ์ ไทลื้อ ลั๊วะและมูเซอแดง
จะนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาผีลัทธิดั้งเดิม
โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อและลั๊วะที่นับถือพุทธ
จะมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีต

หนึ่งในเทศกาลประเพณีทางพุทธศาสนาที่ได้กระทำกันมาแต่อดีตกาล
ของชาวไทลื้อและลั๊วะ คือ ประเพณีตานพระประทีป
ซึ่งจะจัดขึ้นในทุกเดือนยี่ (เดือนของชาติพันธุ์ลั๊วะ) ของทุกปี

แต่เดิมก่อนการจัดประเพณีทางวัดและชาวบ้านจะประชุมกัน
เพื่อเตรียมงานกันเป็นเวลาครึ่งเดือน
เพื่อแบ่งหน้าที่กันทำและหาวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบประเพณี

เมื่อถึงวันขึ้น ๘ ค่ำก็จะพากันมาทำบุญตานพระประทีปกันทั้งหมู่บ้าน
โดยใช้ระยะเวลา ๗ วัน

โดยทุกวันในตอนเช้าก็จะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีพระคุณ
เจ้ากรรมนายเวร ตลอดรวมถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว
และก็ขอพรจากพระภิกษุสงฆ์ สามเณร เป็นเวลาทั้งหมด ๖ วัน

วันสุดท้ายคือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ (เดือนยี่)
ตอนเช้าทุกครอบครัวจะนำอาหารและเครื่องครัวไปทำบุญกันที่วัด
และร่วมฟังเทศนาธรรมที่พระสงฆ์ได้แสดงธรรม
ในช่วงในตอนกลางคืนจะมีการร่ายรำฟ้อนเจิง
และแสดงวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ลั๊วะ

Image

แต่ปัจจุบันประเพณีตานพระประทีป ได้เลือนหายไปจากชุมชน
แต่ก็ยังมีผู้รู้และปราชญ์ชาวบ้านได้พูดคุยกันให้ชาวบ้านได้ฟังกัน
ทั้งนี้เป็นเพราะประเพณีตานพระประทีปต้องอาศัยความศรัทธาที่มั่นคง
แต่ปัจจุบันชาวบ้านไม่ได้สนใจในพิธีกรรมในทางศาสนามากนัก
ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมามากมายคือเด็กไม่รู้ประเพณีวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ของตนเอง
และได้รับวัฒนธรรมใหม่ๆ มาเป็นแบบอย่าง

รวมถึงการให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมเหมือนเดิม
เนื่องจากปัจจุบันนี้ต่างคนก็ต่างไป ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่ในปีนี้ เทศกาลตานพระประทีปได้ถูกจัดขึ้นที่หมู่บ้านแม่ปูนล่างอีกครั้ง
โดยมีพระบัณฑิตอาสาเป็นแกนนำ
ด้วยการสนับสนุนของ สพข., มหาจุฬาฯ
และ สสส. แสงประทีปจึงกลับมาสว่างไสวตลอดหนทาง
สู่อาศรมพระบัณฑิตอาสาบ้านแม่ปูนล่าง

Image

• เลิกฝิ่นด้วยศีลห้า

ห่างจากแสงไฟของประทีปที่บ้านแม่ปูนล่าง
เหนือขึ้นมาบนยอดดอยเป็นที่ตั้งของบ้านแม่จันใต้
หมู่บ้านของชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า

ที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงสลับซับซ้อนปกคลุมไปด้วยป่าไม้
ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว ข้าวโพด
ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้นำครอบครัวยังมีค่านิยมแบบเก่าๆ
คือการติดยาเสพติดประเภทฝิ่นอยู่เกือบจะทุกหลังคาเรือน
จึงทำให้ฐานะและความเป็นอยู่ยากจน

ในด้านความเชื่อ
ชาวบ้านจะนับถือวิญญาณสิ่งลี้ลับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก
เช่น ก่อนจะทำไร่ข้าว จะนำเครื่องบูชาต่างๆ ไปทำพิธีในไร่ข้าว
เพื่อให้พืชผักเจริญงอกงาม และเป็นศิริมงคลแก่เจ้าของ
หรือหากคนภายในหมู่บ้านเกิดเจ็บป่วยขึ้นก็จะมีการทำพิธีเรียกขวัญหรือผูกข้อมือ

นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่สำคัญในหมู่บ้าน
เช่น ประเพณีเล่นลูกข่าง (Kal tahl pal-eq)
ซึ่งจะจัดในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี
ซึ่งชาวบ้านบ้านแม่จันใต้จะมีการรักษาประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อ
ของชนเผ่าไว้ได้อย่างดียิ่ง

โดยเฉพาะประเพณีที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเชื่อ
และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง


แต่เนื่องจากปัจจุบันความเจริญด้านเทคโนโลยี
ได้เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน
จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ค่านิยมที่เปลี่ยนไปเช่นความเชื่อ
ที่เกิดจากสภาพของสังคมที่เจริญขึ้นตลอดจนการศึกษา

โดยเฉพาะเยาวชนที่ไปศึกษาข้างนอก
เมื่อมีความรู้มากขึ้นเริ่มมีทัศนคติเกี่ยวกับความเชื่อเปลี่ยนไป
ดังนั้นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมปัจจุบัน
จึงไม่ได้รับความร่วมมือของคนในชุมชนเท่าที่ควร

เมื่อเป็นเช่นนี้ประเพณีวัฒนธรรมจึงขาดการเรียนรู้สืบทอด
โดยเฉพาะเยาวชนไม่มีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมของตนเอง
คงมีแต่ผู้สูงอายุบางกลุ่มที่ยังคงปฏิบัติกันอยู่
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ
ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาข่าอาจหายไปได้
คงเหลือไว้แต่ตำราให้ได้เรียนรู้ไม่มีผู้สืบทอดอย่างเป็นแน่แท้

ดังนั้นทางพระบัณฑิตอาสาพัฒนาชาวเขา (ธรรมจาริก)
และชาวบ้านจึงได้คิดริเริ่มจัดทำโครงการสืบสานประเพณีปีใหม่ลูกข่างอาข่า
เพื่อเป็นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม
และภูมิปัญญาของชนเผ่าให้คงอยู่และกลับมามีคุณค่าทั้งสังคม

ทางกาย อารมณ์ (จิตใจ) และปัญญา ดังความสุขที่ได้รับในอดีต

Image

พระพยัพ ถิรจิตฺโต แห่งอาศรมธรรมจาริกบ้านแม่จันใต้ กล่าวว่า

พันธกิจ ๖ ประการที่ที่ทางโครงการพระบัณฑิตอาสา
ได้มอบให้เป็นเครื่องมือในการทำงาน

คือ หนึ่ง การอบรมศีลธรรมแก่ชุมชนบนพื้นที่สูง
สอง การสอนศีลธรรมในสถานศึกษา
สาม การรงณรงค์ลด ละ เลิก อบายมุข
สี่ การจัดสวัสดิการและสงเคราะห์ให้กับชาวชุมชน
ห้า การส่งเสริมอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
และหก การส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่า


แต่กว่าที่จะปฏิบัติภารกิจทั้งหกสำเร็จลุล่วงได้นั้น
พระบัณฑิตอาสาเองก็ต้องผ่านการทดสอบความมุ่งมั่นหลายครั้งหลายหน


เช่นเมื่อตอนที่ท่านมาอยู่ที่บ้านแม่จันใต้ใหม่ๆ นั้น
ชาวบ้านไม่เคยรู้จักพระสงฆ์มาก่อนเลย
เมื่อตอนที่ท่านมาถึงนั้นเป็นช่วงปลายฤดูฝนย่างเข้าฤดูหนาว
ไม่มีที่อยู่ จำต้องไปอาศัยอยู่ที่โรงเรียนเก่า

เมื่อออกบิณฑบาตท่านก็ไม่ได้อะไรเลย
เพราะชาวบ้านไม่รู้จักการใส่บาตร
พระพยัพต้องฉันมาม่าที่นำติดตัวมาด้วยอยู่นานนับเดือน
กว่าจะมีครอบครัวชาวเขาผู้หนึ่งใส่บาตรให้
จนกระทั่งมีอาศรมเป็นที่พักพิงถาวรในอีกหลายปีต่อมา

“ตอนนั้นหมู่บ้านแม่จันใต้เป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่ไม่มีใครเลือก
แต่อาตมาก็ตัดสินใจมุ่งมั่นมาที่นี่ เมื่อมาใหม่ๆ
ครั้งแรกชาวบ้านไม่ให้การต้อนรับ พูดคำเดียวว่าเขาไม่เอาพระ

บอกว่าเขาไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่รู้จะเลี้ยงพระอย่างไร
กลัวพระจะทำความลำบากให้
พอได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน
ยังไงขอให้ได้อยู่สักอาทิตย์ก็พอแล้ว

เลยบอกเขาไปว่าไม่เป็นไรหรอกเรื่องกินเรื่องอยู่
ปัจจัยสี่เดี๋ยวจะจัดการเอง จะไม่รบกวน
ขออย่างเดียวคือที่นอนเพราะไม่รู้จะไปนอนตรงไหน”


ภาษาก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่สำคัญ ชาวบ้านไม่รู้จักภาษากลาง
พระพยัพเองก็พูดภาษาอาข่าไม่ได้ การสื่อสารกันจึงเป็นเรื่องลำบาก


Image

แต่พระบัณฑิตรูปนี้ก็ไม่ย่อท้อ
ท่านเริ่มจากการผูกมิตรกับเด็กๆ โดยใช้ขนมและนิทานเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพ
ทุกวันเด็กๆ จะมาฟังนิทานและหัดสวดมนต์ที่อาศรม
พระพยัพจึงมีโอกาสเรียนรู้ภาษาอาข่าจากเด็กๆ ด้วย

เมื่อเด็กเริ่มคุ้นเคยกับพระ การเข้าหาพ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ใช่เรื่องยาก
พระพยัพเริ่มออกเยี่ยมเยียนพูดคุยถึงไร่ชาวอาข่า
ท่านเคยแม้กระทั่งแบกคนป่วยหนักเดินเท้าพาไปส่งโรงพยาบาลในอำเภอแม่สรวย
ทำให้ชาวบ้านเลิกหวาดระแวงและเข้าใจพระพุทธศาสนามากขึ้น

ปัจจุบันพระบัณฑิตอาสาปฏิบัติศาสนกิจ
โดยใช้เรื่องของการแปลงศีล ๕ ไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง

เช่น การงดดื่มเหล้าฉลองในประเพณี
การไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต และงดเว้นอบายมุขทุกชนิด

ทั้งนี้การนำเรื่องของศีล ๕ไปใช้นั้น
จะนำสอดแทรกในพิธีกรรมและความเชื่อของชุมชน
ไม่ได้เป็นการไปทำลายความเชื่อที่มีแต่เดิมของชุมชน
หากแต่เป็นการค้นหาสิ่งแปลกปลอม
ที่เข้ามาเลือนคุณค่าดั้งเดิมของประเพณีของชาวอาข่า

พระพยัพทิ้งท้ายด้วยพุทธวจนะของพระพุทธองค์
ที่สร้างแรงบันดาลใจแก่พระบัณฑิตอาสาที่ทำงานเผยแผ่คำสอน
และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งท่านยึดถือเป็นหลักในการทำงาน

“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์
พวกเธอจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด

จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพยัญชนะครบบริสุทธิ์บริบูรณ์
สัตว์โลกทั้งหลายที่มีกิเลสดังผงธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่
ย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม จักมีผู้รู้ธรรม
แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”


สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 2 พฤษภาคม 2551 07:01 น.)
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2008, 2:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ...สาธุ...สาธุอนุโมทนามิ
กับท่านอย่างยิ่งด้วยเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
รุ่งลลิดา สกุลงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120

ตอบตอบเมื่อ: 03 พ.ค.2008, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฟ้าผ่า สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
มีสติไว้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง