ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
TU
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
|
ตอบเมื่อ:
15 ม.ค. 2008, 5:12 pm |
  |
วิธีแก้ง่วง
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
“พระโมคคัลลานะ” ตอนบวชใหม่ๆ ได้ประมาณ 7 วัน รับกรรมฐานจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปฝึกสมาธิวิปัสสนาอยู่ที่ตำบลกัลวาลมุตตคาม เกิดความง่วงเหงาหาวนอนขนาดหนัก ทำอย่างไรก็ไม่หายง่วง นั่งสมาธิก็แล้ว เปลี่ยนอิริยาบถ เดินไปเดินมาก็แล้วยังง่วงบรมง่วงอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าเสด็จมาพบท่าน จึงทรงแนะนำวิธีแก้ง่วงให้ท่าน
วิธีแก้ง่วงมีดังนี้
1. ถ้านึกถึงสิ่งใดเรื่องใดอยู่แล้วเกิดความง่วง ก็ให้นึกถึงสิ่งนั้นให้มากๆ (เช่น เรากำลังนึกถึงเรื่องฟุตบอล แล้วถ้าง่วง ก็ให้นึกให้ชัดๆ ไล่ไปเป็นคนๆ เลยยิ่งดี คนนี้ได้ลูกแล้วเลี้ยงเลื้อยผ่านฝ่ายตรงข้ามตั้งสามสี่คน แล้วซัดตูมเข้าโกลไปเลย ทำได้ไง นึกถึงแค่นี้ก็ตาสว่างแล้ว...ฮิฮิ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงยกตัวอย่างนี้ดอก ผมว่าเอาเอง)
2. ถ้าไม่หาย ให้ตรึกตรองพิจารณาข้อความหรือเรื่องราวที่ได้ฟังมาหรือเล่าเรียนมา (สมัยเรียนหนังสือได้ฟังเรื่องหนึ่ง ครูเล่าให้ฟัง ศรีปราชญ์เธอมีปฏิภาณดีมาก โต้ตอบกับพระสนมสนุกมาก
หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ฤดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรหายง่วงทันที อยากเป็นกวีเหมือนศรีปราชญ์ให้ได้ จะได้มีปฏิภาณโต้ตอบคนมันๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เป็นสักที เป็นได้แค่ศรีปาด !)
3. ถ้าไม่หาย ให้ท่องข้อความหรือตำราที่อ่านอยู่นั้นดังๆ แล้วจะหายง่วง (สมัยผมเป็นเณรน้อย ท่องหนังสือดึกๆ สะลึมสะลือ ก็อุตส่าห์ระงับความง่วงแต่ไม่ค่อยสำเร็จ จึงเอาเคล็ดลับข้อนี้มาใช้ ท่องข้อความนั้นดังๆ เรียกว่าแหกปากตะโกนว่างั้นเถอะ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง...ฮิฮิ ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ ให้หาข้อความที่มันออกเสียงยากพยายามท่องเพื่อไม่ให้ผิด จะได้ผลชะงัดนัก เช่น “ดูหนูสู่รูงู งูสุดสู้หนูสู้งู ดูงูสู้หนูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู”
ท่องดังๆ สิครับ เดี๋ยวก็งงว่า หนูสู้งู หรืองูสู้หนู อะไรมันจะพัลวันปานนั้น มู่ทู่มูทูอย่างพิศวงงงงวยเป็นที่ยิ่ง ท่องไปๆ พยายามมีสติควบคุมไม่ให้ผิด แถมยังขำขันอีกต่างหาก ไม่หายง่วงคราวนี้จะไปหายคราวไหน
4. ถ้ายังไม่หาย คราวนี้เอาวิธีใหม่ เลิกท่อง เอานิ้วยอนหูทั้งสอง หมายถึงเอานิ้วแยงหูทั้งสองข้าง แยงไปมา ให้จักกะจี้ไปเลย หัวร่อเอิ้กอ้าก หายง่วงได้ หรือเอาฝ่ามือลูบไปตามตัว ให้ประสาทตื่นตัวไปทุกส่วน หรือทำทั้งสองอย่างพร้อมกันก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
5. ถ้ายังไม่หาย แสดงว่ามันง่วงบรมง่วงจริงๆ ขนาดนิ้วแยงหูแล้วยังเฉย ใช้วิธีใหม่ คราวนี้ให้ลุกขึ้นจากที่นั่ง เอาน้ำล้างหน้าล้างตาให้เย็นสบาย ตาจะได้สว่าง แหงนดูดาวเดือนบนฟากฟ้าอันพราวระยิบระยับ ความง่วงนอนอาจหายไปได้ แต่มองดาวเดือนแล้วอย่ารำพึงกลอนทำนองว่า “จันทร์เพ็ญเด่นฟ้า ดาริกาเคียงข้าง แต่ไฉนข้าไร้นาง เคียงข้างดุจจันทร์มันวังเวง” ขืนรำพึงวังเวงปานนี้ เดี๋ยวก็ง่วงซึมหนัก (ฮา)
6. ถ้ายังไม่หาย มีวิธีต่อไปคือ ให้นึกถึง “อาโลกสัญญา” คือ นึกว่าโลกนี้ทั้งโลกสว่างจ้าไปด้วยแสงพระอาทิตย์ตั้งเจ็ดแปดดวงร้อนจ้าไปหมด เขาว่าความง่วงมันตามความมืดมา ถ้ารู้สึกว่ามืดๆ มักจะง่วง เพราะฉะนั้นให้นึกว่าโลกนี้สว่างไสวไปหมด ก็อาจหายง่วงได้
7. ถ้ายังไม่หาย ให้ลุกขึ้นเดินจงกรม คือเดินกลับไปกลับมาช้าๆ มีสติกำหนดรู้เท่าทันการเคลื่อนไหว ความง่วงก็อาจหายไป
8. ทำถึงขั้นนี้แล้วยังไม่หาย ยังง่วงอยู่เหมือนเดิม คราวนี้งัดไม้เด็ดออกมาเลย รับรองว่าหายแน่นอนคือ “ให้นอนเสีย” รับรองหายเป็นปลิดทิ้ง
พระโมคคัลลานะได้สดับวิธีแก้ง่วงจากพระพุทธองค์ก็ได้ทำตาม ตำราว่าท่านสามารถระงับความง่วงได้ บรรลุพระอรหัตสำเร็จเป็นพระอรหันต์ภายใน 14 วันหลังจากบวช
ตำรามิได้แจ้งละเอียดว่าท่านทำถึงขั้นไหนจึงระงับความง่วงได้ ถึงขั้นที่ 8 เลยหรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบ นักเรียนนักศึกษาดูหนังสือแล้วง่วง ลองนำไปปฏิบัติดูครับทำตามคำแนะนำเป็นข้อๆ บางคนอาจเพียง 3-7 ข้อ บางคนอาจถึง 7 ข้อ ก็หายง่วง
ถ้าทำถึงขั้นนั้นแล้วไม่หายแสดงว่าง่วงเต็มแก่ นอนซะเป็นดีที่สุด แล้วค่อยลุกมาดูหนังสือต่อ แต่สมัยนี้เด็กๆ อาจมีเทคนิคแก้ง่วงแตกต่างออกไปก็ได้ เห็นอยู่ได้ดึกๆ ดื่นๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ คุณพ่อคุณแม่ว่างๆ ก็ย่องๆ ไปดูบ้าง เห็นเทคนิคแก้ง่วงของลูกหลานท่านอาจตาค้าง นอนไม่หลับไปสามสี่คืนก็ได้ (ฮา)
หนังสือข่าวสด รายวัน หน้า 29
คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมาสน์ โดย ไต้ ตามทาง |
|
_________________ ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา |
|
    |
 |
ลุงดำ
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59
|
ตอบเมื่อ:
15 ม.ค. 2008, 6:19 pm |
  |
อนุโมทนา สาธุ
ขอเสริมอีกนิดเถอะ
ลุงเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สอนเพียงพระสงฆ์ ผู้ฉันมื้อเดียว
ถ้าเป็นฆราวาส ผู้กินมากหลายมื้อ
ย่อมง่วงนอนง่าย
ส่วนฆราวาส กินหลัง 22:00น. ก็ง่วงสุด ๆ ตื่นสายด้วย
ผิดกับฆราวาสที่เลิกกินของทุกอย่าง(ยกเว้นน้ำเปล่า) หลัง18:00 น. เช้าพรุ่งนี้ ตื่นเร็วทันที (เพราะมันหิว) เอ้อ
อาหารที่ไม่ใช่น้ำเปล่า ก็เป็นเหตุให้ง่วง ได้เช่นกัน เอ้อ
 |
|
_________________ ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ |
|
  |
 |
charoem
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31
|
ตอบเมื่อ:
30 เม.ย.2008, 4:34 pm |
  |
ผมเป็นคนนึงที่ง่วงตลอดกาล ตลอดเวลาที่นั่งสมาธิ จะนำไปปฏิบัติธรรมในช่วงวันวิสาขบูชาครับ |
|
|
|
  |
 |
thunya
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 02 พ.ค. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
02 พ.ค.2008, 2:44 pm |
  |
|
   |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
07 พ.ค.2008, 9:46 am |
  |
ง่วงสุด ๆ ก็คงต้องขอนอนละค่ะ
เหมือนอย่างที่ ลุงดำ บอกเปี๊ยบเลย หนังท้องตึง หนังตาหย่อน
ท่านถึงได้บอก ให้กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก ๆ
 |
|
|
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2008, 8:50 pm |
  |
ลุงดำ พิมพ์ว่า: |
อนุโมทนา สาธุ
ขอเสริมอีกนิดเถอะ
ลุงเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สอนเพียงพระสงฆ์ ผู้ฉันมื้อเดียว
ถ้าเป็นฆราวาส ผู้กินมากหลายมื้อ
ย่อมง่วงนอนง่าย
ส่วนฆราวาส กินหลัง 22:00น. ก็ง่วงสุด ๆ ตื่นสายด้วย
ผิดกับฆราวาสที่เลิกกินของทุกอย่าง(ยกเว้นน้ำเปล่า) หลัง18:00 น. เช้าพรุ่งนี้ ตื่นเร็วทันที (เพราะมันหิว) เอ้อ
อาหารที่ไม่ใช่น้ำเปล่า ก็เป็นเหตุให้ง่วง ได้เช่นกัน เอ้อ
 |
ชอบที่ลุงพูดจัง เหมือน บัวหิมะ เลย พวกกินหลัง 22.00 น. น่ะ
ธรรมะสวัสดี เจริญในธรรมจ้า  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|