ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
น้อม
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 11:14 pm |
  |
ถามให้เพื่อนค่ะ
เพื่อนเค้าสวดคาถาตัดกรรม ดังนี้
(นะโม 3 จบ) สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ขะมามิ ภันเต
หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์พระพุทธ พระธรรม
พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยะสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กายวาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย
หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุข พละลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ
สงสัยค่ะ ว่าควรสวดไหม และ ไม่รู้ที่มา ด้วยค่ะ
ขอเรียนถามผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งสวดมนต์ รักษาศีล นั่งสมาธิ ช่วยตอบด้วยค่ะ |
|
แก้ไขล่าสุดโดย น้อม เมื่อ 27 เม.ย.2008, 8:49 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 8:13 am |
  |
คำถามของคุณ ถามว่า "ควรสวดหรือไม่"
ก็ต้องย้อนถามว่า ถ้าคุณสวด แล้ว คุณสบายใจ ใจสงบ ไม่มีความวิตกกังวล หรือไม่
หากคุณสวดแล้วมีความสบายใจ ใจสงบ
คำตอบก็คือ ควรสวด
เพราะไม่มีที่เสียหาย สวดทุกวันก็เป็นการแผ่เมตตา เพียงแต่เป็นภาษาบาลี ถ้าจะให้ดี ควร ระลึกถึง คำแปลพร้อมกันไปด้วย |
|
|
|
  |
 |
นวโยคี
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2007
ตอบ: 20
ที่อยู่ (จังหวัด): bkk
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 8:13 am |
  |
ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมไว้ ดี หรือชั่ว ก็ตาม ก็จักได้รับผลของกรรมนั้น แต่ทว่าเมื่อตอนที่คนเราประสพกับเคราะห์กรรม หรือถึงคราวตกทุกข์ได้ยาก ถึงคราวลำบาก เวลานั้นสมองก็ทึบตันไปหมด คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร ก็นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้า อยากจะให้พระช่วยให้ตนพ้นไปจากสภาวะนั้นไปเสียที คิดดังนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าหาวัด เพื่อนิมนต์พระท่านให้ทำพิธีตัดกรรมให้
พระท่านเห็นว่าคนที่มาหาท่านก็แบกความทุกข์มาอย่างสาหัสอยู่แล้ว ครั้นจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ดูจะขาดเมตตาธรรมเกินไปหน่อย ครั้นจะให้ธรรมเทศนาเวลานี้ โยมผู้ฟังก็ดูเหมือนไม่มีกะจิตกะใจจะมาฟังธรรมที่ลึกซึ้งได้ อย่ากระนั้นเลย ใช้วิธีนี้ดีกว่า..
ว่าแล้วจึงให้โยมจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วจึงสวดคาถาในบทพระสูตรสักบทที่มีคำว่า กรรม กรรม แล้วท่านก็เน้นเสียงให้ดังกว่าคำอื่น แล้วลงท้ายด้วยคำว่า ตัด
พอโยมได้ยินคำว่า กรรม กรรม แล้วจบด้วยคำว่า ตัด ก็จินตนาการเองว่า กรรม ได้ถูกตัดแล้ว
เมื่อกรรมถูกตัดแล้ว ต่อไปพระท่านก็สวดต่อให้อีกบท พระสูตรนี้ก็เน้นคำว่า ปัด ปัด ปัด ลงท้ายด้วย มัจจุเธยยัง
พอโยมได้ยินคำว่า ปัด ปัด ปัด ก็จินตนาการว่า ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป และคำว่า มัจจุ โยมก็แปลกันได้เองว่า ความตาย เมื่อได้ยินคำว่า ยัง ก็รวมความหมายว่า ความตายยัง ก็คือ ยังไม่ตาย นั่นเอง
จากนั้นพระท่านก็จะสวดบท รัตนสูตร ทำน้ำมนต์ประพรมให้เป็นสิริมงคล
* * * * * *
พอพิธีกรรมจบลง อย่างน้อยโยมก็มีความเบิกบานใจ ส่วนเรื่องของกรรมจะตัดได้จริงและ ชะตาจะต่อไปอีกหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรโยมมาแล้วก็ไม่เสียเปล่า อย่างน้อยก็ได้ความสบายใจกลับไป เมื่อมีใจที่ดีแล้ว ทุกอย่างก็จะดีตามมาเอง ดังพุทธภาษิตที่ว่า
มะโนปุพพังคะ ธัมมา มะโนเสฏโฐ มะโนมะยา
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน มีใจประเสริฐสุด จะสำเร็จก็อยู่ที่ใจ
* * * * * * * * * * *
บทสวดตัดกรรมที่ว่าเป็นดังนี้
ชะราธัมโมมหิ ชะรังอะนะตีโต
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสาระโณ
ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลละยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัส
บทนี้ก็คือ บท อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ แต่สวดถึงแค่คำว่า ตัส ซึ่งท่านนำมาเป็นเคล็ดว่า เป็นการ ตัด นั่นเอง ดูคำแปลกันครับ
* * * * * * * *
ชะราธัมโมมหิ ชะรังอะนะตีโต
เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต
เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว
เราจะละเว้นเป็นต่างๆ คือว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสาระโณ
เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งมีอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลละยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะเป็นทายาท คือว่าจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนี้ ทุกๆวันเทอญ.
* * * * * * * *
บทสวดต่อชะตา ดังนี้
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ
เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง
* * * * * * * * *
นี่ก็คือบท ติลักขณาทิคาถา ดูคำแปลกันครับ
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละ เป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงทุกข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละ เป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละ เป็นทางแห่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมหมดจด
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ
หมู่มนุษย์นอกนั้น ย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง
เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน
ก็ชนเหล่าใดประพฤติสมควรแก่ธรรม ในธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง
ชนเหล่านั้นจักถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุที่ข้ามได้ยากนัก
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย แล้วเจริญธรรมขาว
โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง
ตัตตะราภิระมิจเฉยยะ หิตตะวา กาเม อะกิญจะโน.
จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ จากที่มีน้ำ จงละกามเสีย เป็นผู้ไม่มีความกังวล
จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพานอันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยากเทอญ.
* * * * * * *
ถ้าโยมที่มาทำพิธี สามารถเข้าใจในคำสวด แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ ก็จะสามารถตัดกรรมได้จริงตามที่ตั้งใจ
ในอันที่จริงแล้ว กรรมมีเพราะอะไร ก็เพราะว่ามีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส กรรมก็ไม่มี
ซึ่งอยู่ในรัตนสูตรที่สวดทำน้ำมนต์นั้นว่า
วิรตฺตจิตฺตายติเก ภวสฺมึ
เมื่อกิเลสไม่มี กรรมก็ไม่มี
* * * * * *
ดังนั้น การตัดกรรม ที่แท้ก็คือให้ตัดที่กิเลสนั่นเอง
ใครไม่อยากมีกรรม ก็อย่าให้มีกิเลส |
|
|
|
  |
 |
anusorn
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 17 มี.ค. 2008
ตอบ: 13
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 8:39 am |
  |
ถ้าคุณเชื่อเรื่องกรรม ผมว่าเจริญวิปัสนากรรมฐานดีกว่าครับ เพราะผมก็เคยพาแฟนไปทำแท้ง เป็นกรรมหนักเหมือนฆ่าคนๆนึงเลย แต่เพราะผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดสุนันทวนาราม 9 วันเต็ม จึงเข้าใจท่องแท้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริง หนียังไงก็หนีไม่พ้น การสวดมนต์เป็นเหมือนการทำให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านครับ ไม่มีคาถาใดที่จะลบกรรมนั้นๆได้ นอกจาก การเจริญวิปัสนากรรมฐาน
พระอาจารย์มิซูโอะท่านบอกว่า กรรมก็เหมือนโจร(กรรม) ที่ไล่ล่าเรา เราพยายามวิ่งหนีโจร(กรรม) ถ้าเราอ่อนแอเราก็หนีไม่พ้น ก็โดนโจรฆ่าตายหรือทำร้ายอยู่ดี แต่ถ้าเรามีกำลังดี เข้มแข็งเราก็จะหนีได้ตลอดรอดฝั่ง คนที่มีกำลังดี ก็เปรียบได้กับคนที่เจริญวิปัสนากรรมบานจนบรรลุธรรม เท่านั้นถึงจะหนีกรรมนั้นๆพ้น
ดั่งเช่น พระองคุลิมาลท่านฆ่าคนตายตั้ง 999 คน แต่พอท่านบรรลุพระอรหันต์ ก็หนีกรรมพ้นแล้ว เพียงแต่ในชาติปัจุบบัน ท่านแค่โดนก้อนหินกว้างปาใส่ สุดท้ายชาวบ้านเหล่านั้นก็ เข้าใจและอโหสิกรรมให้ท่านหมดแล้ว
ส่วนพวกเราปุถุชนธรรมดา ถ้าไม่บรรลุธรรม ยังไงก็หนีกรรมไม่พ้นครับ ผมเองยังยอมรับผลกรรมที่ก่อไว้เลย ยังไงก็หนีกรรมไม่พ้นครับ แต่ผมปล่อยวางแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่น (หมายถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีตนะครับ) อีก ถ้ายิ่งคิดเรื่องอดีตที่ผ่านมา จะทำให้เราทำความเพียรไม่ได้ เราจะโศกเศร้าอยู่อย่างนั้น ทำให้จิตใจหดหู่ เป็นมโนกรรมอย่างนึง เจ้ากรรมนายเวรรับรู้ก็ยิ่งไม่สบายใจไปด้วย เราจึงควรเร่งปฏิบัติธรรมมากยิ่งๆขึ้น
เพราะฉะนั้น การสวดมนต์คือองค์ประกอบนึงครับ ที่ช่วยให้เราทำสมาธิได้เร็วขึ้น เดินจงกรม ก็ช่วยให้เรา มีสมาธิจิตตั้งมั่นได้นานครับ |
|
แก้ไขล่าสุดโดย anusorn เมื่อ 28 เม.ย.2008, 7:21 am, ทั้งหมด 4 ครั้ง |
|
  |
 |
human
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 พ.ย. 2006
ตอบ: 41
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 8:39 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
นะโม 3 จบ) สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ขะมามิ ภันเต
หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์พระพุทธ พระธรรม
พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยะสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กายวาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยหากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุข พละลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ
|
คาถานี้ไม่ใช่คาถาตัดกรรมครับ กรรมที่เรากระทำไปแล้วไม่สามารถตัดได้ ทุกคนต้องชดใช้กรรมทั้งนั้น มันอยู่ที่ว่าจะชดใช้ในรูปแบบใด ในเวลาใด ในภพใดก็เท่านั้นเอง หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือวิ่งหนีกรรมปฏิบัติให้ถึงพระนิพพานให้เร็วที่สุด เพื่อที่กรรมนั้นจะตามไม่ทัน แต่เราจะหนีกรรมทันหรือเปล่า ผมว่าไม่ก่อกรรมที่ไม่ดีให้เพิ่มขึ้นอีกจะดีที่สุด
นี้เป็นคำขอขมาครับ
นะโม 3 จบ) สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเตอุกาสะ ขะมามิ ภันเต
หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์พระพุทธ พระธรรม
พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยะสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กายวาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย
นี้เป็นคำอธิษฐานพิเศษครับ คล้ายๆ ว่าจะอยู่ในเว็ปคนเมืองบัวครับ
หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุข พละลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
นี้เป็นคำอโหสิกรรม (อภัยทาน) ได้บุญสูงครับ
หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ
ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร คำนี้อยู่ที่เจ้ากรรมนายเวรครับว่า จะอโหสิกรรมให้เราหรือเปล่า กรรมที่เราทำไปหนักหนาสาหัสมากหรือเปล่า
ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ
นี้อยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติครับ เราละความชั่วหรือเปล่า ทำความดีให้มากๆ หรือยัง ทำจิตใจให้สงบปราศจากกิเลสอาสวะหรือยัง
คำขอขมา ถ้าเราล่วงเกินใครเอาไว้ก็ควรกล่าวคำขอขมาครับ
คำอธิษฐานพิเศษ เพื่อความสบายใจหรือถ้ากลัวว่า ชาติที่แล้วได้อธิษฐานแบบนี้เอาไว้ (โดยที่เราไม่รู้ได้)แล้วชาตินี้จะมีปัญหาเรื่องรักๆ ใคร่ ตามมา ก็ลองทำดูครับ
คำอโหสิกรรมควรทำครับ เป็นอภัยทานได้บุญสูงครับ แต่กล่าวคำอโหสิกรรมไปแล้ว อย่าได้ไปอาฆาต พยาบาทอีกนะครับ ให้เลิกแล้วต่อกันจริงๆ
กับเจ้ากรรมนายเวร หมั่นถวายสังฆทานหรือนั่งกรรมฐานทำจิตให้สงบแล้วอุทิศบุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ ครับ ทำไปเรื่อยๆ นะครับ แค่คำพูดว่า "ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร " อย่างเดียว แต่ไม่ทำบุญอุทิศไปให้ไม่มีประโยชน์ครับ
คำนี้ก็เหมือนกันครับ "ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ " ถ้าเราไม่ละความชั่ว ไม่ทำบุญ กุศล ไม่หมั่นภาวนาทำจิตให้สงบ แค่คำพูดอย่างเดียว ไม่มีประโยชน์ครับ
ลองไปพิจารณาดูนะครับ |
|
|
|
  |
 |
ชินภพ พิมพะกร
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2006
ตอบ: 67
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 7:26 pm |
  |
ได้สนทนากับเพื่อนบางท่านเรื่องกรรม และได้ศึกษาจากหนังสือของท่านพุทธทาส กรรมมีภาวะที่ตัดรอนกันได้ กรรมดีตัดกรรมชั่ว กรรมชั่วตัดกรรมดี กรรมใดให้ผลแรงกว่าอีกกรรมหนึ่งก็จะไม่ส่งผลหรือส่งผลแต่น้อย
มนุษย์เกิดมาใช้กรรม ดูจะไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องเท่าใดนัก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด.... คือ ท่านสอนให้เข้าใจในธรรมชาติ กรรมคือการกระทำที่ส่งผลจากอดีต ทั้งใกล้และไกล หลายคนจะเข้าใจว่าก้มหน้ารับกรรม ใช้กรรมให้หมดไป หากเป็นอย่างนั้นดูจะเป็นการยอมจำนนต่อชีวิต แท้จริงกรรมที่สิ่งที่เราทำขึ้น เราก็สามารถจะทำกรรมใหม่เพื่อตัดรอนกรรมเก่าได้ ขึ้นอยู่กับว่าทำอย่างสม่ำเสมอ มีวิริยะในกุศลกรรม งดเว้นอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เกิดขึ้นอีก เจริญกุศลกรรมที่ยังไม่ได้เกิดให้เกิดขึ้น และหมั่นทำจิตให้ขาวรอบ นั่นคือโอวาทปาติโมกข์ ทีนี้ครูบาอาจารย์สอนว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อให้ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์สมควรได้รับ และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับ นั่นคือพระนิพพาน เป็นหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ หากแต่ถูกบดบังด้วยกรรม คือ การกระทำในทุกชาติทุกภพ ซึ่งหากจะพิจารณาชาติภพจากการเกิดดับของจิต อกุศลกรรมที่เกิดจากอกุศลจิตที่มีเจตสิกประกอบ สามารถละ ถอน ตัด หรือปฏิบัติได้ด้วยธรรมคู่ปรับ คือ กุศลจิต เช่น ความฟุ้งซ่านเป็นกรรมประเภทมโนกรรม ตัดรอนได้ด้วยสมาธิซึ่งเป็นธรรมคู่ปรับ กรรมเกิดตรงไหน ตัดตรงนั้น
การสวดมนต์เจริญภาวนา เป็นการปฏิบัติให้จิตสงบ อธิษฐานจิตเป็นแรงเสริมวิริยะ ปฏิบัติสม่ำเสมอ ได้ชื่อว่าทำกรรมดี บทใดก็ได้ คาถาใดก็ได้ หากทำแล้วสงบ สบายใจ ต่างตัดกรรมได้ทั้งสิ้น สมมติเช่น ในขณะที่เรากำลังสวดมนต์ เจริญภาวนา ถึงแม้นั่งหลับตานิ่งๆ ที่บางท่านให้ความเห็นว่าไม่มีใครได้ประโยชน์ หากมองให้ลึกลงไป ผู้ที่ได้ประโยชน์คือตัวเรา ได้พักผ่อน ได้ใช้เวลาช่วงดังกล่าวในการทำจิตให้สงบ ไม่เอาเวลาไปดื่มเหล้า เกเร หรือประกอบอกุศลกรรมใดๆ และในขณะนั้น อาจเป็นได้ว่าอกุศลกรรมอาจกำลังจะส่งผล หากแต่เราเลือกปฏิบัติกุศลกรรม ก็เท่ากับเป็นการตัดรอนกัน กุศลกรรมอันดีก็จะมีกำลัง แทนที่จะให้ผลทางด้านร่างกาย ซึ่งเป็นอัตภาพที่มีผลต่อภพชาติตามที่รับรู้กัน ก็อาจกลายเป็นแค่การสิ้นสุดภพชาติทางจิต เช่น ฟุ้งซ่าน รำคาญใจในขณะปฏิบัติ ซึ่งสามารถเจริญธรรมคู่ปรับ ซึ่งมีไว้เพื่อปรับสมดุลให้เกิดอาการสงบ ปลง เข้าใจในธรรมชาติที่มีเกิดมีดับ และในขณะที่เรากำลังปฏิบัติ เลือกสถานที่ที่เหมาะสม คือ ปฏิรูปะเทสะ ไม่เป็นสถานที่อโคจร ความปลอดภัยทางกายก็เกิดมี เท่านี้อาจเป็นการต่ออายุได้โดยไม่รู้ตัวด้วยครับ |
|
|
|
    |
 |
น้อม
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 7:42 pm |
  |
ขอขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะ ดิฉันจะนำคำตอบของท่านไปให้เพื่ออ่านค่ะ
ตอนนี้เพื่อนกำลังหัดนั่งสมาธิอยู่ โดยดิฉันก็ช่วยแนะนำเขาโดยการแชท และพยายามแนะให้เขาไปฝึกที่วัด แต่เพื่อนยังหัวดื้ออยู่ค่ะ อ้างว่าไม่มีเพื่อนไป ... ถึงอย่างไร เขาพยายามฝึกด้วยตนเองและหัดสวดมนต์ ทุกวันนี้ก็ดีใจแล้วค่ะ |
|
|
|
  |
 |
ชินภพ พิมพะกร
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2006
ตอบ: 67
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 7:59 pm |
  |
มีกัลยาณมิตรนับเป็นกุศลครับ คุณน้อมไปเป็นเพื่อนสิครับ สร้างกรรมดีต่อกัน |
|
|
|
    |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 10:33 pm |
  |
ข้าพเจ้าเคยอ่านในบล็อกของสมาชิกท่านหนึง
กล่าวเอาไว้เกี่ยวกับวิธีล้างบาปตามพระพุทธศาสนา
เอาสั้นๆว่า ทำดีทำบุญกุศลให้มากๆเจือจางบาป
แบบว่า เหมือนใส่เกลือลงในแก้วน้ำนั้นก็เค็ม
แต่ถ้าใส่เกลือลงในแม่น้ำ แม่น้ำนั้นย่อมไม่เค็ม
น้ำเปรียบเสมือนกรรมดี เกลือเปรียบเหมือนบาป
ถ้าทำความดีมากบาปที่สร้างไว้ย่อมส่งผลน้อย
ประมาณนี้ ส่วนเรื่องควรสวดไม่สวดก็แล้วแต่ความพอใจ
สบายใจครับ สำคัญที่ปฏิบัติมากกว่า
เจริญธรรม  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
น้อม
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2008, 11:46 pm |
  |
ขอบคุณค่ะ คุณตามลอย จะไปบอกเพื่อนค่ะ
ตอบคุณชินภพ ค่ะ ตอนนี้ดิฉันไม่ได้อยู่เมืองไทยค่ะ เพื่อนอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันตั้งใจว่าอีก 5 เดือนจะกลับบ้านจะพาเพื่อนไปค่ะ ตอนนี้ก็พยามช่วยเค้าให้มากที่สุด
ปล.ขอนอกเรื่อง ทำไมข้อความที่พิมพ์มันซ้ำๆ กันเอง เป็นเพราะคอม ของดิฉันไม่ค่อยดีหรือไร อ่ะ ซ้ำอีกแล้ว |
|
|
|
  |
 |
anusorn
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 17 มี.ค. 2008
ตอบ: 13
|
ตอบเมื่อ:
27 เม.ย.2008, 6:44 am |
  |
ข้อความที่เห็นเหมือนเบิ้ล หรือพิมพ์ซ้ำเพราะ IE 7 ยังติดปัญหาหรือมี Bugเรื่องฟ้อนภาษาไทยครับ ถ้าเว็บไหนใช้ font style sheet เป็น MS San-serif จะเบิ้ลหรือเห็นเป็นเหมือนพิมฑ์ซ้ำครับ วิธีแก้คือ ปรับให้ IE 7 ยกเลิกการใช้ฟ้อนของเว็บนั้นๆ โดยไปที่
Tool > Internet Option > Accessibilty > ติ๊กเลือก หน้าข้อความว่า Ignore font styles spectifield on webpages
เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครับ แต่ถ้าบางเว็บใช้ฟ้อนแบบ Tahoma อยู่แล้ว ก็จะไม่มีประโยคซ้ำครับ เช่น เว็บ sanook.com |
|
|
|
  |
 |
น้อม
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England
|
ตอบเมื่อ:
27 เม.ย.2008, 8:46 pm |
  |
ขอบคุณค่ะ คุณ anusorn
แก้ไขตามที่แนะนำแล้ว ดีมากเลยค่ะ |
|
|
|
  |
 |
|