Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จิตไม่ใช่สมอง 1 อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
โยคี19
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 21 เม.ย.2008, 2:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ผมได้แสดงออกโดยการบรรยายอยู่เสมอ และเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มด้วยกัน ยืนยันถึงผลร้ายที่สั่งสอนกันอยู่โดยทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่กว้างขวางไพศาลไปทั่วโลก คือสอนกันว่า…มันสมองนั้นเป็นตัวจิตใจ สมองสั่งให้ร่างกายทำอะไร หรือสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ สมองเป็นตัวการที่มีความรู้สึกนึกคิด และจดจำทุกๆอย่างได้

สมอง

.....สมอง (brain) เป็นอวัยวะสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง สมองแบ่งออกเป็น ๒ ชั้น ชั้นนอกเป็นสีเทา (gray matter) เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท (neuron) และ axon ชนิดที่ไม่มีเยื่อหุ้ม
…ส่วนชั้นในมีสีขาว(white matter) เป็นส่วนของใยประสาท และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (neuroglia)

สมองแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ
๑. สมองส่วนหน้า (fore brain)ประกอบด้วย
- cerebrum ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ เชาวน์ และรับความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็น การได้ยิน
การรู้กลิ่น และรส เป็นต้น
- thalamus เป็นทางผ่านของความรู้สึกจากหู และตา เข้าสู่ cerebrum

๒. สมองส่วนกลาง (mid brain)ประกอบด้วย optic lobe ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น เป็นส่วนใหญ่

๓. สมองส่วนหลัง (hind brain) ประกอบด้วย
- cerebellum ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว
- pons ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การหายใจ เป็นต้น

...... จึงไม่เป็นเรื่องแปลกเลยว่า ผู้ที่ได้ศึกษาวิชาการทางวิทยาศาสตร์มาย่อมเข้าใจว่า การมองเห็น และการได้ยินนั้นเป็นเรื่องของสมอง และเมื่อได้ยินมาว่าจิตใจเป็นตัวรับรู้ และเป็นผู้สั่งงานให้เกิดความเป็นไปต่างๆ …ทุกคนจึงสรุปไปว่า สมองนั้นคือ จิต ......


ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านเองก็ยังไม่เห็นด้วยในเรื่องของจิต แต่คิดว่าการทำงาน การรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของร่างกายนั้นเป็นเรื่องของระบบประสาท คือสมอง และไขสันหลัง เท่านั้น


..ที่กล่าวมาว่า ส่วนที่คิดได้นี้มาจากสมองกับระบบประสาท แล้วสมองและระบบประสาทนั้น เมื่อย่อยละเอียดออกไปแล้วก็คือปรมาณู ซึ่งเป็นสสารมีประจุไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ แล้วมีพลังงาน มีอุณหภูมิด้วย

[size=9]และที่สอนกันว่าสมองตัวทำหน้าที่จดจำนั้น…..ก็ในเมื่อสมองเป็นประจุไฟฟ้า ประจุไฟฟ้ามันรู้จักการเก็บความจำว่าเป็นสีอะไรๆ ด้วยหรือ มันรู้ด้วยหรือว่าได้เก็บสีแดงเอาไว้ แล้วก็คนที่มีพรสวรรค์ เช่นเด็กเล็กๆ ที่เขียนรูปได้ดีหรือเล่นดนตรีได้เก่ง จนผู้ใหญ่ต้องได้อายเล่า ก็เห็นจะเก็บความเก่งเหล่านั้นเอาไว้ในสมองด้วยกระมัง เขาหัดมาตั้งแต่ครั้งไหน จะว่าถ่ายทอดมาจากพ่อแม่, ปู่ย่า,ตายาย ก็ดูจะห่างไกลไปมากนัก [/size]

.....
แต่อย่างไรก็ดี ในพระพุทธศาสนา ...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้แสดงเอาไว้ว่า
ธรรมดารูปอันหมายถึงสสารและพลังงาน นั้นเป็นอนารมมณํ คือรู้อารมณ์ไม่ได้เลย หมายความว่า ไม่ว่ารูปอะไรทุกๆ อย่าง ไม่ว่ารูปนั้นจะวิวัฒนาการมาสักกี่พันกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ตาม รูปนั้นจะวิวัฒนาการมานานสักเท่าใดๆ คือเจริญขึ้น ๆ มาอย่างไร ๆ รูปทั้งหลายก็หนีประจุไฟฟ้าและพลังงานไปไม่ได้


...... เมื่อมันเป็นไฟฟ้าลบเป็นพลังงานแล้ว รูปทั้งหลายก็จะรู้อารมณ์ขึ้นมาเกิดทำหน้าที่ เห็น
ได้ยิน คิดนึกจะได้อย่างไร......




ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเอาไว้ว่า ธรรมชาติของรูปไม่ว่าจะเป็นมันสมอง ระบบประสาท ไขสันหลัง หรือรูปอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถรู้อารมณ์ได้เลยเป็นอันขาด ทำความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาไม่ได้อย่างแน่นอน ...บรรดารูปทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งหมดไม่มีโอกาสเลยแม้แต่สักน้อยหนึ่งที่จะมาทำการรู้ คือ เห็น ได้ยิน คิดนึก เคลื่อนไหวอิริยาบถ ตลอดจนความคิดอ่านจดจำทุกข์หรือสุข รู้จักความดี ความชั่ว ดีใจ เสียใจ แล้วเก็บเอาความรู้ต่างๆ เอาไว้ภายในรูปนั้นๆ ได้

นพระพุทธศาสนาแสดงถึงจิตใจไว้อย่างไรเล่า อะไรเป็นตัวการทำให้เราเห็น ทำให้เราได้ยิน และทำให้เราเคลื่อนไหวอิริยาบถได้ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า ตัวการนั้นก็คือ “จิตใจ” หรือ “วิญญาณ” ซี่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำความรู้สึกให้เกิดขึ้น มันสมองเป็นรูปรู้สึกนึกคิดไม่ได้ และจิตใจหรือวิญญาณนี้เรียกชื่อต่างๆ กัน

….ถ้าเกิดขึ้นทางตา ก็เรียกว่า จักขุวิญญาณ
….ถ้าเกิดขึ้นทางหู ก็เรียกว่า โสตวิญญาณ
…..ถ้าเกิดขึ้นทางใจ ก็เรียกว่า มโนวิญญาณ
ดังนี้เป็นต้น….


ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีความสามารถ “รู้” นี้ ในพระพุทธศาสนาไม่ได้แสดงว่า เป็นธรรมชาติรู้เฉยๆ แล้วก็ให้ผู้ศึกษาทั้งหลายเชื่อกันไปโดยไร้เหตุผล แต่ได้ให้การศึกษาที่ประกอบไปด้วยหลักการพร้อมทั้งให้เหตุผลอย่างบริบูรณ์มากมายเหลือเกิน

นอกจากนั้นในขณะวิญญาณกำลังเกิด ในขณะวิญญาณกำลังดับ ในขณะวิญญาณกำลังปฏิสนธิในภพชาติใหม่ แม้ในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท กำลังฝันอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ก็อธิบายได้อย่างยืดยาว หรือแม้กำลังละเมอ หรือสลบอยู่..


ตอนที่ ๒ จิตใจคืออะไร

ท่านอาจารย์บุญมี ได้กล่าวปราศรัยในวันเปิดโรงเรียนพระอภิธรรมของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นครั้งแรกในวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖..ใจความว่า …

จิตใจคืออะไร
โดย.... อาจารย์บุญมี เมธางกูร
อธิบายโดยยกตัวอย่างการสนทนาระหว่างลุงกับหลาน

ความคิดเห็นระหว่างลุงกับหลานต่างกันอยู่บ้าง…
… ด้วยหลานเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ที่ชอบค้นคว้าทดลองพิสูจน์หาความจริงจากธรรมชาติ อันเป็นฝ่ายทางด้านวัตถุเป็นส่วนมาก
…ส่วนตัวลุงนั้นเป็นคนธรรมะธรรมโม ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นไปในฝ่ายนามธรรม


ล. ถ้าหลานยังไม่เคยรู้เรื่องลูกระเบิดปรมาณู แล้วมีคนมาเล่าว่า ลูกระเบิดปรมาณูหนัก ๑ ปอนด์ สามารถทำลายบ้านเมืองทั้งเมืองได้ก็ดี หรือว่าเมล็ดถั่วเขียวเพียง ๑ เมล็ด เอามาสลายปรมาณูออก ก็สามารถให้พลังงานแก่รถไฟ คือมีกำลังที่จะแล่นจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ได้ก็ดี หลานจะเชื่อหรือไม่

ป. ผมจะไม่เชื่อ

ล. เหตุใดหลานจึงไม่เชื่อ ?

ป. เรายังไม่มีหลักฐาน ยังไม่เห็นความจริง หรือเป็นทฤษฎีที่มีเหตุผลยังไม่เพียงพอ

การที่หลานยังไม่มีความเชื่ออยู่ในขณะนี้ ลุงมิได้ประหลาดใจเลย และมิได้คิดลงโทษหลานด้วย เพราะหลานกำลังศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นไปในฝ่ายวัตถุมิได้เคยศึกษาธรรมะอันเป็นฝ่ายนามธรรมให้เพียงพอเลย

ป. ศึกษานามธรรมหรือขอรับ
นามธรรมก็ได้แก่เรื่องจิตๆ ใจๆ ที่มองไม่เห็นแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้นั่นเอง


ก่อนอื่น ลุงควรจะได้บอกหลานเสียก่อนว่า ผู้ที่มิได้ศึกษาธรรมะที่ละเอียดประณีตที่ชื่อว่าพระอภิธรรม ซึ่งกล่าวโดยย่อก็คือ จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน ให้เข้าใจดีเสียก่อนแล้ว คำถามต่างๆ อันเป็นปัญหาโลกแตกของหลาน ก็ยากที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้งได้ เพราะละเอียดอ่อนสุขุมยิ่งนัก ทั้งมิได้เป็นไปในทางฝ่ายวัตถุที่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ไปทั้งหมด จะรวบรัดให้ทราบได้เร็วๆ คงจะเป็นไปได้ยาก เช่นหลานจะให้ลุงอธิบายถึงเรื่องผี เรื่องกรรม เรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่ เรื่องปาฏิหาริย์ ลุงพูด ๓ วัน ๓ คืน หลานก็จะไม่เข้าใจได้เลย เพราะเหมือนหลานจะพยายามให้ลุงสร้างตึกโดยมิให้ตอกเข็มลงรากเสียก่อน ตึกนั้นก็คงจะสร้างแล้วสร้างอีก ล้มแล้วล้มอีกเป็นแน่

…จิตคือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่มีลักษณะรู้อารมณ์ คือรู้ในอารมณ์ทั้ง ๖ และรู้ตามประตู คือทวารนั่นเอง

เช่น …เมื่อรูป คือ รูปารมณ์ อันได้แก่คลื่นแสงมากระทบตาก็ “เห็น” …สัททะ ได้แก่ คลื่นเสียงมากระทบหูก็ “ได้ยิน” …จมูกกระทบกลิ่นก็ได้ “กลิ่น” …ลิ้นลิ้มรสก็ “รุ้รส” ….กายสัมผัส เย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง “รู้ว่าได้สัมผัส” คือรู้ในลักษณะของเย็น ร้อน อ่อน แข็งนั้น ….ส่วนทวารที่เรียกกันว่า มโนทวาร คือ จิตหรือใจนั้น จิตที่เกิดขึ้นทางทวารนี้ก็มีความรู้จักถึงการคิดนึกอารมณ์ ที่เป็นเรื่องราวต่างๆ มีดีบ้าง ชั่วบ้าง

…. พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ เห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่น, รู้รส, รู้สึกเย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง และคิดนึก เหล่านี้แหละเรียกว่า ธรรมชาติรู้ คือจิต


ป. จิตคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือ เห็น, ได้ยิน, คิดนึก เป็นต้น ผมพอจะเข้าใจแล้ว แต่คำว่าอารมณ์นั้น ผมได้ยินพูดกันอยู่เสมอ หนังสืออ่านเล่นก็พบบ่อยๆ อารมณ์คืออะไรเล่าขอรับ

ล. อารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ หรือพูดว่า อารมณ์ก็ได้แก่ ธรรมชาติที่ถูกจิตรู้ หรือจิตกำหนดจดจ่อก็ได้

เพราะจิตจะเกิดแต่ลำพังโดยไม่มีอารมณ์นั้นไม่ได้
เช่น

ตาเห็นดอกกุหลาบสีแดง …เห็นก็เป็นจิต ดอกกุหลาบสีแดงที่เห็นนั้นก็เป็นอารมณ์

หรือหูได้ยินเสียงนกร้อง …ได้ยินก็เป็นจิต เสียงนกร้องที่ถูกได้ยินนั้นก็เป็นอารมณ์

จมูกดมกลิ่นดอกไม้
…ได้กลิ่นก็เป็นจิต กลิ่นที่จะถูกดมก็เป็นอารมณ์

ลิ้นลิ้มรส …รู้รสก็เป็นจิต รสที่ถูกลิ้นก็เป็นอารมณ์

กายสัมผัสความร้อน
…รู้สึกร้อนก็เป็นจิต ความร้อนที่ถูกสัมผัสก็เป็นอารมณ์

ใจคิดถึงการทำกุศล [/color]… [color=blue]คิดถึงกุศลก็เป็นจิต การทำกุศลที่คิดนั้นก็เป็นอารมณ์

…. ในเรื่องนี้ขอให้หลานจำไว้ให้ดีต่อไปจะพูดถึงอีกจะได้ไม่ยุ่ง



ป. ผมพอจะเข้าใจคำแปลของจิตแล้ว แต่คำว่าวิญญาณเล่าครับ มันต่างกับจิตหรือไม่ เห็นเขาว่าวิญญาณออกจากร่างคนตายแล้วไปเกิดได้

ล. ไม่ใช่วิญญาณคำเดียวดอกหลาน คำว่า จิต, วิญญาณ, มโน, หทัย แล้วยังมีอีกหลายคำ ล้วนแต่เป็นสิ่งรู้อารมณ์ตามทวาร คือประตูทั้ง ๖ นี้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่อื่นไกลก็ได้แก่จิตใจนั่นเอง

ป. ตามที่ผมได้ทราบมา พบเห็นคำว่าจิตกับวิญญาณนี่แหละบ่อยๆ เมื่อมันแปลว่ารู้อารมณ์อย่างเดียวกันเช่นนี้แล้ว จะใช้เสียอย่างเดียวไม่ได้หรือขอรับ จะไม่ได้ยุ่ง จะได้ทำให้ไม่เกิดการเข้าใจผิด บางคนก็เข้าใจไปว่า จิตกับวิญญาณเป็นคนละอย่าง และมีการงานไปคนละทาง

ล. ไม่ได้ซีหลาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไรลงไป ก็มิใช่ว่าจะไปตามความเข้าใจ โดยไม่ต้องห่วงว่าผู้ศึกษาจะเกิดความเข้าใจผิด ทรงสั่งสอนไปโดยอาศัยตามที่เป็นเหตุผล บางอย่างทรงเรียกโดยอาศัยวัตถุอันเป็นที่เกิดของจิต บางอย่างทรงเรียกโดยอาศัยทวาร คือประตูทั้ง ๖ ซึ่งได้แก่ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ เช่น .

ตาเห็นรูป เรียกจักขุวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางตา
หูได้ยินเสียง เรียกว่า โสตวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางหู
จมูกดมกลิ่น เรียก ฆานวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางจมูก
ลิ้นลิ้มรส เรียก ชิวหาวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางลิ้น
ใจคิดอารมณ์ เรียก มโนวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางใจหรือทางจิต


…คำเหล่านี้ ถ้าจะเรียกว่า จักขุจิต หรือโสตจิตก็ไม่ผิด เรียกเช่นนั้นก็ได้เหมือนกัน แต่พระองค์เกรงไปว่าจะมีผู้เข้าใจผิดว่า โสตะ คือหูที่รับฟังเสียงนี่แหละเป็นจิตไปเสีย หรือตาเห็นรูปก็เหมือนกัน เรียกว่าจักขุวิญญาณ คือรู้อารมณ์ทางตา จะเรียกว่าจักขุจิตก็ได้ แต่ก็อาจมีคนเข้าใจไปว่า ตาเป็นตัวจิตไปเสียอีก ซึ่งความเข้าใจผิดนี้จะเป็นผลเสียหายมาก

[u]ดังนั้น จึงใช้คำว่าจักขุวิญญาณ หมายความว่า ความรู้สึกที่อาศัยการกระทบของรูปกับตาเรียกว่า จักขุวิญญาณ …จักขุ = ตา วิญญาณ = รู้ รู้อารมณ์ทางตา คือเห็น
คำว่า โสตวิญญาณ …โสตวิญญาณหมายความว่า ความรู้สึกที่อาศัยการกระทบของเสียงกับหู …โสตะ = หู วิญญาณ = รู้ รู้อารมณ์ทางหู คือ “ได้ยิน” [/u]


ป. สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็มีจิตใจหรือวิญญาณที่รู้อารมณ์ได้ เช่น มนุษย์และสัตว์ต่างๆ เพราะชีวิตย่อมมีหลักอยู่หลายอย่าง คือ กินอาหารได้ หายใจได้ ถ่ายได้ เจริญเติบโตได้ สืบพันธุ์ได้เป็นต้น ถ้าเราปลูกต้นไม้ไว้ข้างบ้าน มันจะค่อยๆ เอนออกหาแสงสว่างถ้าเราปลูกไว้ใกล้ๆ กัน มันจะสูงชะลูดขึ้นไป ซึ่งต่างก็ต้องการแสงแดด และชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน มันรู้จักกินอาหาร และรู้จักถ่ายออกทางใบ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วก็สามารถผสมพันธุ์กันได้ จากเกสรตัวผู้ตัวเมียเพื่อให้มีลูกหลานเป็นต้นใหม่ขึ้นมาอีก

การที่ต้นไม้รู้สึกได้ เช่น เอนออกหาแสงสว่างเมื่อที่ที่มันอยู่มีร่มเงา หรือเมื่อเราไม่ได้รดน้ำ มันจะแสดงอาการเป็นทุกข์โศกห่อเหี่ยวให้เราเห็น แม้ว่ามันจะไม่มีปากบอกเล่าให้เราทราบ แต่พฤติกรรมนั้นก็ย่อมจะแสดงให้เราประจักษ์ชัด หรือต้นไม้บางชนิด เช่นต้นไมยราพ เวลาเข้าไปใกล้ๆ หรือไปถูกมันเข้า มันจะหดใบทันที ในเวลาเย็นค่ำ ต้นแค, ต้นจามจุรี, ต้นโสน จะห่อใบหมด ราวกับว่าจะพากันพักผ่อนหลับนอนให้หายเหน็ดเหนื่อย เพราะได้ทำงานเลี้ยงตัวเองมาตลอดวัน แสดงว่ามันรู้อารมณ์ได้มันมีอารมณ์เหมือนกัน

อธิบายเพิ่มเติม  ( ต้นไม้จะเรียกว่ามีวิญญาณก็ได้หรือไม่มีวิญญาณก็ได้เนื่องจากวิญญาณ ( ตัวรู้อารมณ์ ) ของต้นไม้เป็นวิญญาณระดับต่ำหรือที่เรียกว่าวิญญาณที่ไม่มีใจครองนั่นเอง
ในที่นี้ผู้ศึกษาควรมีความเข้าใจก่อนว่า


คำว่า วิญญาณ ในความหมายทางพระพุทธศาสนา คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เช่น ได้ยิน เห็น คิดนึก เป็นต้น

[size=12]ส่วนวิญญาณที่คนทั่วไปเข้าใจกันว่าเป็นผี เป็นเปรต อสุรกายนั่น ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า โอปปาติกะ คือผู้ที่เกิดขึ้นในทันที คือ มีหู มีตา มีจมูก ในทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตเหมือนกายมนุษย์ซึ่งกายของพวกโอปปาติกะเป็นกายละเอียดที่เป็นปรมณู ดังนั้นจึงขอให้ผู้ศึกษาพึงเข้าใจในความหมายข้างต้นก่อน[/size]

ล. คำว่าชีวิตตามนัยของวิทยาศาสตร์ กับนัยของพุทธศาสนานั้นต่างกัน
...นัยของพุทธศาสนาคำว่าชีวิตแยกออกเป็นรูปชีวิตและนามชีวิต ซึ่งถ้าลุงจะอธิบายโดยพิสดารแล้วก็ควรจะใช้เวลาสักสองชั่วโมง เพราะจิตใจหรือวิญญาณก็ไม่ใช่ชีวิต และร่างกายก็ไม่ใช่เหมือนกัน

ในวันนี้เพิ่งจะได้เริ่มต้น ฉะนั้น เรามาศึกษากันหยาบๆ เสียก่อนว่าร่างกายนั้น ต้องอาศัยจิตเป็นไปคือ ต้องอาศัยจิตเป็นประธาน
ประเด็นสำคัญที่หลานถามมานั้น ก็มีปัญหาอยู่ว่า การที่ต้นไม้มันเอนออกหาแสงสว่างได้ก็ดี มันเคลื่อนไหวได้เมื่อเข้าไปโดนมันก็ดี มันผสมพันธุ์กันและมีลูกหลานได้ก็ดี เหล่านี้เป็นไปด้วยอำนาจของจิต มีเจตนาและมีความรู้ในอารมณ์หรือไม่ โดยถือเอาความรู้อารมณ์เป็นหลัก เพราะจิตคือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์



ผู้ที่มิได้ศึกษาให้พบความจริงในเรื่องของพืช ก็ย่อมจะคิดว่ามันตั้งใจเอนออกไปหาแสงสว่าง ความจริงมันมิได้เอนออกไปหาแสงสว่างดังที่เราเข้าใจเลย แต่ทว่าพืชย่อมจะเจริญหรือเติบโตขึ้นไปในทิศทางที่มีแสงสว่าง คุณลักษณะเช่นนี้ก็มีสาเหตุมาจากการสะสมฮอร์โมนสำหรับความเจริญเติบโตทางด้านไม่มีแสงสว่าง จนมีจำนวนมากเกินไปกว่าปกติ ฮอร์โมนเหล่านี้ช่วยให้ปฏิกิริยาทางเคมีในพืชเป็นไปอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ฮอร์โมนนี้มีชื่อในวิชาพฤกษศาสตร์ว่า อ๊อกซินส์(Auxins)
เป็นที่เชื่อกันในวงการวิทยาศาสตร์ฝ่ายพฤกษศาสตร์ว่า เซลล์ของพืชจะเจริญเติบโตในเมื่อมีอ๊อกซินส์อยู่ อ๊อกซินส์ จะหมุนเวียนไปทางด้านของพืชที่มิได้รับแสงสว่างมากกว่าด้านอื่น ทั้งนี้ก็หมายความว่าด้านที่ได้รับแสงสว่างน้อยย่อมจะมีอ๊อกซินส์มากกว่าด้านที่มีแสงสว่างมากด้วย เหตุดังนี้เอง เซลล์ของพืชทางด้านทึบแสงจึงได้ขยายตัวยาวออกไปมากกว่าด้านที่ได้รับแสง จึงได้เป็นเหตุทำให้พืชเอนออกไปทางด้านที่มีแสง ดังนั้นจึงดูเสมือนหนึ่งว่า ต้นไม้มีเจตนามีความตั้งใจที่จะเอนออกไปหาแสงสว่าง

การสืบพันธุ์ของพืชนั้น โปรโตปลาสซั่มซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ตามนัยของโลก หรือเกสรตัวผู้นั่นเอง ถูกลมหรือน้ำหรือตัวแมลงพาไปผสมกับไข่ของตัวเมีย ซึ่งอาจอยู่คนละดอกหรือในดอกเดียวกันก็ได้ อันเป็นไปในฝ่ายวัตถุกับวัตถุมิได้เกี่ยวกับจิตใจอย่างไร แล้วจึงมีเมล็ดหรือผลขึ้น

ส่วนต้นไม้บางชนิดที่หดใบได้เมื่อตกเย็น เหมือนจะพักผ่อนหลับนอนนั้น เป็นเพราะในเวลากลางวันมีแสงสว่าง พืชดูดน้ำไว้มาก เมื่อเวลาเย็นค่ำลงหมดงานปรุงอาหารแล้ว น้ำในพืชก็ระเหยไปทีละน้อยๆ ใบของพืชจึงหดตัวลง เหมือนหลานเอาฟุตบอลมาลูกหนึ่ง สูบลมเสียให้แข็งเจาะรูเล็กๆ เข้าที่ฟุตบอลนั้น เอาใส่ไว้ในรักแร้แล้ววางแขนลง เมื่อแขนทับฟุตบอล ลมก็จะค่อยๆ ออกไป แขนของหลานก็ค่อยๆ ตกลง จนในที่สุดแขนจะแนบอยู่ข้างตัว

สำหรับต้นไมยราพก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก ต้นไมยราพนั้นเป็นจำพวกพืชตระกูลผักกระเฉด ที่โคนของใบไมยราพมีปุ่มยาวกลม ภายในมีวัตถุเหลวๆ ขังอยู่และยังมีช่องอากาศว่างอยู่อีกบ้าง เหมือนเอาน้ำขังไว้ในหลอดยางบางๆ อย่าให้เต็ม และภายในปุ่มที่ว่านั้นก็ประกอบด้วยเซลล์โปร่ง เมื่อเราเอามือถูกเข้าที่ต้นหรือใบ น้ำเหลวๆ ที่ในโคนใบก็จะไหลออกจากถุง ถ่วงใบให้หนักแล้วหุบลง และเมื่อน้ำนี้ไหลกลับไปสู่ที่เดิม ใบของต้นไมยราพก็จะกลับยกขึ้น ถ้าเข้าไปโดยไม่กระเทือนเลยใบก็จะไม่หด


ที่หลานสงสัยว่าเรื่องต้นไม้มีจิตหรือไม่นั้น ไม่ใช่จะมีผู้สงสัยกันในเวลานี้ แม้ในครั้งพุทธกาลก็มีพูดกันมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งการเกิดของธรรมชาติที่เป็นรูปทั้งหลายที่มีอยู่ในสากลโลกนี้ออกเป็น ๔ อย่าง คือ ๑. เกิดขึ้นด้วยอาศัยจิต ๒. เกิดขึ้นด้วยอาศัยกรรม ๓. เกิดขึ้นด้วยอาศัยอุตุ ๔. เกิดขึ้นด้วยอาศัยอาหาร โดยอาศัยหัวข้อเหล่านี้หรืออาจหลายหัวข้อก็ได้ที่หลานจะได้ศึกษาโดยพิสดารต่อไปในโอกาสข้างหน้า

ในพระไตรปิฏก ลุงก็ไม่เคยพบที่แสดงเรื่องต้นไม้ว่ามีจิตใจหรือวิญญาณอยู่ที่ไหน และถ้าว่าตามหลักของปรมัตถธรรม ต้นไม้ก็จะมีจิตไปไม่ได้อย่างแน่นอน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พี่ดอกแก้ว
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 07 มิ.ย. 2004
ตอบ: 118

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2008, 9:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรุณาบอกที่มาของบทความด้วยนะคะ ว่านำมาจากไหน ใครเป็นผู้เขียนเรื่องนี้ จะขอบคุณยิ่งคะ
 

_________________
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โยคี19
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2008, 7:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นบทความของ ท่าน อาจารย์ บุญมี เมธางกูร ผู้สนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่เว๊บไซต์ของ อภิธรรมมูลนิธิ http://www.abhidhamonline.org/Ajan/article.htm ยังมีบทความอื่นๆอีกมากมายที่น่าสนใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง