Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...แม่กาหลง...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 5:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่อง แม่กาหลง
โดย พระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

หนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม 2


อาตมามาอยู่เข้าพรรษาที่วัดอัมพวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐
ก่อนหน้านั้นคือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ก็ไป ๆ มา ๆ ดูแลรักษาการณ์ พอดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสก็มาอยู่ประจำ
สมัยก่อนนั้นมีพระภิกษุสงฆ์องค์เณรพรรษาหนึ่งไม่เกิน ๑๕ รูป
หรืออย่างมากทีเดียวไม่เกิน ๑๕ รูป เพราะพื้นที่บ้านวัดอัมพวันนั้นบ้านน้อยไม่มากนักประชาชนยากจน
มีอาชีพทางการทำนาทำสวนเล็ก ๆ น้อย ๆ
ไม่มีผู้ที่มีเงินมีทองมั่งคั่งสมบูรณ์อันใดนัก
และวัดอัมพวันนั้นต่อมาก็มีพระสงฆ์เพิ่มขึ้นพรรษาละ ๔๐-๕๐ รูปทุกปีตลอดมา
อาตมาคิดว่าต่อไปจะก้าวหน้าได้ต้องหาสัปปายะ
บางทีจะมีแขกมาที่วัดก็ต้องไปขอบิณฑบาตอาหารคาวหวานบ้านเหนือบ้านใต้มาเลี้ยงเขา
ก็เป็นการลำบากแก่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น มาคิดดูต้องหาสัปปายะทั้ง ๔ ให้ครบ
วัดนี้จึงเจริญก้าวหน้าได้ กิจกรรมของคณะสงฆ์สมัยนั้นไม่เจริญ
เพราะวัดนี้ข้าวของก็มีน้อย เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอโยธยา


เริ่มต้นด้วย อาวาสสัปปายะ อาหารสัปปายะ ต้องหา บุคลากรสัปปายะ
ช่วยเหลือกิจกรรมของคณะสงฆ์ เช่นกรรมการวัดทายก ทายิกา ช่วยกันทำงาน
ประการที่สี่ต้องจัดการศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรียกว่า ธรรมะสัปปายะ
เรียกว่า ๔ ประการ นี้ ต้องอาศัยเนื่องกัน วัดจึงเจริญได้
มีแขกเหรื่อมาหาสมภารเจ้าวัดหรือมาธุระในวัด ก็ต้องไปขอข้าวแกงบ้านเหนือบ้านใต้มาเลี้ยงทุกครั้งก็เป็นการรบกวนชาวบ้านเขา
มาคิดถึงดูว่าเหตุการณ์วันข้างหน้า วัดอัมพวันจะเจริญก้าวหน้าได้ จะต้องตั้งโรงครัว
อาหารเป็นเรื่องสำคัญ บางทีแขกมาวัดไม่มีอาหารให้รับประทาน
เพราะเป็นวัดที่อยู่ทุรกันดาร ป่าดงพงไพรมากมาย
มีท่าน้ำเรือแล่นไปมาในลำแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นต้น


วัดอัมพวันอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา การสัญจรไปมาก็ต้องใช้ทางเรือทางเดียว
เพราะทางหลังวัดออกไปถนนเอเซียยังไม่มี เป็นป่าและคลองชลประทานก็ยังไม่มีด้วย
การส่งน้ำเข้าทุ่งหรือทำเกษตร หรือทำไร่ไถนาก็ยังไม่เจริญ
ที่อาตมาอยู่วัดอัมพวันนั้นมีน้ำไหลเข้าทุ่ง ตามหลักโบราณท่านว่า เดือน ๑๑ น้ำนองเดือน ๑๒
น้ำทรง พอถึงเดือนอ้ายเดือนยี่ ก็รี่ไหลลง ทำนาข้าวหนัก ข้าวกลาง แบบโบราณ ประเพณีสืบมา
มาตอนหลังก็เจริญขึ้นเป็นลำดับ


การตั้งโรงครัวจะทำอย่างไร อาตมาจากวัดพรหมบุรีมามีปัจจัยส่วนตัวมา ๓,๐๐๐ บาท
มีเท่านั้นเอง ก็มาคิดทบทวนได้ว่าจะต้องหาบ้านสักหลังหนึ่ง
จะซื้อไม้ใหม่แล้วนำมาปลูกจะต้องใช้ทุนทรัพย์มากปัจจัยก็ไม่มีกับเขา
จะไปเรี่ยไรบ้านเหนือบ้านใต้ก็จะรู้สึกแร้นแค้น
สำหรับบ้านนั้น หาเงินหาทองมาด้วยความยากลำบากจริง ๆ
จะไปเรี่ยไรเขามาสร้างโรงครัวซื้อไม้ใหม่ที่ไหนเลยจะทำได้
คิดอย่างนี้แล้วก็ตั้งใจว่าจะต้องไปหาซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง
ที่ราคาย่อมเยาว์พอจะซื้อได้เท่าที่มีเงินอยู่คือ ๓,๐๐๐ บาท
คิดอย่างนี้แล้วตั้งแต่จากวัดพรหมบุรีที่อาตมาสอนกรรมฐานมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕
เริ่มสอนกรรมฐานตามลำดับมา จนถึงยุคปัจจุบันทุกวันนี้


นอกเหนือจากนั้นแล้วอาตมาก็ดำเนินงานแสวงหาถามญาติโยม
ถามไปก็ยังไม่มีใครจะขาย ก็มีลูกศิษย์กรรมฐานจากที่จังหวัดสิงห์บุรี
บ้านเตาปูน บ้านบางมอญ บ้านวัดศรีสาคร ก็มีโยมสุ่ม เป็นลูกศิษย์เก่า
และมีโยมพิน บำเรอจิต เป็นลูกศิษย์เก่า
ที่มาเรียนกรรมฐานจากวัดพรหมบุรีเป็นลูกศิษย์เก่ามาช้านาน
ตั้งแต่โยมสุ่มยังอยู่ในวัยสาว มีลูกเล็ก ๆ เด็กแดงตลอดมาจนมีอายุมากแล้ว
และแม่พิน บำเรอจิต ก็มีสามีชื่อผู้ใหญ่กลีบ
เป็นผู้ใหญ่บ้าน อยู่ที่บ้านบางมอญ วัดสว่างอารมณ์ ถามเขาดูว่า“โยมพิน
ใครมีบ้านจะขายบ้างในราคาย่อมเยา” โยมพินก็บอกว่า
“ขอดูก่อน ถ้ามีที่ไหนดิฉันจะมากราบเรียนให้ทราบ”


ต่อมาแม่พินก็บอกว่ามีบ้านจะขาย นิมนต์ท่านไปดู เจ้าของอยู่กรุงเทพฯ
เป็นบ้านของนายอำเภอเก่า ร้างไม่มีใครอยู่ บ้านอยู่ข้างบ้านดิฉันติดกัน เลยให้แม่พินไปสืบสาวราวเรื่องดู ก็ได้ความออกมาว่า
เขาบอกขายราคา ๕,๐๐๐ บาท คงจะบอกกันมานานแล้วไม่มีคนซื้อ
บ้านหลังนี้หาคนซื้อยาก เพราะเหตุใดไม่ทราบ
บ้านเครื่องปรุงฝากระดานทรงไทยกลาย ๆ มีฝากระดานปะกันแบบโบราณสองหลังคู่แฝด
มีบันไดขึ้นพร้อม มีรางน้ำอยู่กลาง แม่พินว่าอย่างนั้น
เจ้าของเขาอยู่กรุงเทพฯ กัน เขาก็มาบอกว่า ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะขาย ๕,๐๐๐ บาท
ถ้าท่านต้องการจะเอาไปวัดอัมพวัน ก็ยินดีจะขายให้ในราคา ๓,๐๐๐ บาท แม่พินมาส่งข่าว
อาตมารู้สึกดีใจมาก แหมพอเหมาะกับเงินที่เรามีอยู่ที่ได้ตั้งใจไว้ ก็บอกให้แม่พินตกลง
ก่อนตกลงนี้แม่พินบอกว่า “นิมนต์พระเดชพระคุณไปดูก่อน
ถ้าชอบใจค่อยซื้อ ไม่ชอบใจก็แล้วไป”




อาตมาก็เดินทางไปดูบ้านหลังนี้ โดยอาตมามีเรือยนต์อยู่ลำหนึ่ง ก็ลงเรือยนต์ไป นายท้ายก็ขับเรือไป ถึงบ้านแม่พิน ผู้ใหญ่กลีบ บำเรอจิต สามีของแม่พินก็พาอาตมาไปดู บอก “หลวงพ่อไปดูด้วยกัน” ไปถึงเขาก็เปิดกำแพงที่ปิดกั้นไว้ บ้านนี้ไม่มีใครอยู่ ฝุ่นเต็มหยากไย่เต็ม ผู้ใหญ่กลีบก็บอกให้ขึ้นไปดู อาตมาก็ขึ้นไปดูบ้านหลังนี้ มีกำแพงกั้นเสร็จเรียบร้อย บ้านก็รกรุงรังเพราะขาดคนอยู่รักษา ผู้ใหญ่กลีบก็ไม่ขึ้นไปด้วย อาตมาขึ้นไปแต่ผู้เดียว ขึ้นไปแล้ว ผู้ใหญ่เขาก็กลับไป เขาบอกว่า “ท่านเข้าไปดูแล้ว นิมนต์มาที่บ้าน เดี๋ยวมาคุยกัน”

อาตมาก็ขึ้นไป เรือนหวั่นทันที เรือนหวั่นโคลงไปโคลงมา เหมือนแผ่นดินไหว อาตมาก็มาคิดดู เอ๋ ข้างนอกลมก็ไม่พัดเรือนทำไมหวั่นไปหวั่นมา ขนหัวลุก อาตมาไม่กลัวผี จะว่าผีก็ไม่ใช่ เอ ไม่เห็นมีใคร ขนหัวลุกหมด เรือนก็ยังหวั่นอยู่อาตมาก็ไม่กลัว แต่ก็รีบลงบันไดมาบอกผู้ใหญ่กลีบ บอกว่า เอ๋ เรือนหลังนี้พิกล ทำไมโยนไปโยนมาได้ ผู้ใหญ่กลีบก็แน่เหลือเกิน บอกว่า หลวงพ่อเรือนหลังนี้บางทีมันอยู่เก่า เป็นบ้านไม่มีคนอยู่ ขึ้นไปกระดานอาจโยนไปโยนมาได้ หรือหลวงพ่อจะเป็นลมไปก็ได

อาตมาก็ขึ้นไปใหม่ ขึ้นไปแล้วก็มีความรู้สึกขึ้นมาก็แผ่เมตตา เอ๋ อะไรกันอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าสงสัย แต่ก็ยังไม่ติดใจแต่ประการใด ก็คิดว่ากระดานมันหยอบแหยบ ๆ ไม่ได้ตอกตะปู มันอาจจะโยนเวลาเราขึ้นไปก็ได้ หรืออาจเสาเรือนจะขาดก็ได้ คิดได้หลายนัย แต่ก็สงสัยไว้ในใจ ทีนี้ก็ตกลงปลงใจซื้อตกลงจะต้องรื้อ แม่พินก็รับอาสาจะจัดการให้ และจะเตรียมหาอาหารการบริโภคให้เสร็จ เอาคนของท่านมาบ้างและจะขอแรงคนบ้านนั้นรื้อวันเดียวคงเสร็จ ก็ตกลงจะรื้


ก่อนที่จะรื้อไปนั้น อาตมาก็กล่าวคำพูดออกมา “นี่พี่น้องทุกคนที่อยู่บ้านนี้ เจ้าของบ้านก็ดีนะ ที่อยู่ที่นี่น่ะมาอยู่ทำไมเล่า ไปอยู่ด้วยกันนะ ไปอยู่วัดอัมพวันไปเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันกันดีกว่านะ จะมาหลงอยู่ที่นี่ทำไมอยู่ในอบายเป็นเปตวิสัยไม่ดีแน่ ช่วยกันรื้อช่วยปลูกด้วยนะอาตมาจะเอาไปปลูกเป็นโรงครัว เพื่อทำอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์องค์เณร และช่วยเลี้ยงพุทธศาสนิกชนที่มาวัด ให้ได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญกุศลของเขาต่อไป” ก็รู้สึกสงบดีบ้านก็นิ่งเรือนที่โยนไปโยนมาหยุดทันที ก็เป็นเรื่องประหลาดที่อาตมาประสบมา

ผู้ใหญ่กลีบก็หัวเราะ เพราะเขารู้เรื่องดีแต่เขาไม่บอกเราว่ามีอะไรที่บ้านหลังนี้ หาคนมาเช่าก็ไม่ค่อยได้ หาคนซื้อก็ไม่ได้คนจะมาซื้อเขาก็ไม่ต้องการว่าเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบ ก็ยังคลางแคลงยังสงสัย อาตมาก็บอกว่าไปด้วยกัน ช่วยรื้อช่วยปลูกด้วยนะ เสาเป็นเสาไม้จริงเสาไม้แก่น และเรือนรื้อเป็นแบะ ๆ ได้สะดวกดี เป็นเรือนแบบโบราณ ตกลงแล้ว อาตมาก็กลับวัดกลับไปจัดแจงทางวัด เอาช่างมาวัดดู จัดแจงขุดหลุมไว้กว้างยาวเท่าไรให้เรียบร้อย และขอแรงเรือลำใหญ่เรือข้าวสมัยเก่า จุข้าวประมาณ ๒๕ เกวียน เพื่อจะไปรื้อเรือนหลังนี้ต่อไป ว่าแล้วก็ถากที่ขุดหลุมไว้คอยท่าเสร็จเรียบร้อย แม่พินก็ช่วยจัดการให้

วันต่อมาก็ไปแต่เช้ามืด ไปถึงบ้านแม่พินก็ไปฉันเช้าที่นั่น แม่พินก็จัดการอาหารการบริโภคให้เรียบร้อย รื้อแต่เช้าเสร็จตอนบ่าย รื้อเรือนเสร็จเรียบร้อยใส่เรือข้าว เอาเรือโยงกลับมาวัด รุ่งขึ้นเช้าเริ่มปลูกเสร็จในวันเดียว มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน เพราะเราขุดหลุมคอยไว้แล้ว เสากว้างยาวเท่าไรอะไรอย่างนี้ รื้อแล้วก็รื้อกันอย่างดี ไม่มีเสียหายอะไร ก็ปลูกเสร็จภายในวันเดียว มีญาติโยมพุทธศาสนิกชนวัดอัมพวัน เดี๋ยวนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็ช่วยกันปลูก ก็เล่าได้ว่าเป็นความจริงปลูกเสร็จในวันเดียว เสร็จเรียบร้อยดีก็ไม่มีใครอยู่เลย ปลูกในป่าทางทิศใต้วัดอัมพวัน เขตวัดทางด้านใต้ อยู่ระหว่างกอไผ่ กอไผ่มีหลายสิบกอ สมัยโน้นก็น่ากลัวอยู่ หาคนไปอยู่ไม่ได้ สำนักชีก็ยังไม่เกิด เพราะไม่มีใครอยู่เลย

ก็เริ่มต้นด้วยคุณป้าหมากดิบ ภรรยาของท่านอดีตปลัดอำเภอเป็นผู้มีพระคุณต่ออาตมามาก อาตมาเคยไปอาศัยเรียนหนังสือพักอยู่บ้านคุณป้า เรียนชั้นมัธยมที่จังหวัดสิงห์บุรี คุณป้าก็อุปการะมาหุงข้าวหุงปลาให้รับประทานอาหารไปโรงเรียนได้อย่างดี ในเวลากาลต่อมา อาตมาอุปสมบทแล้ว ก็ไม่เคยเจอคุณป้าเลย ไปพบเป็นชีอยู่ที่อำเภออินทร์บุรี อาตมาก็บอก

“แม่ชีป้าหมากดิบ มาอยู่ทำไมที่นี่เล่า” คุณป้าตอบว่า
“บวชชี บ้านช่องหมดแล้ว เขาโกงหมด หมดเนื้อประดาตัวหมดแล้ว”

นี่อาตมานึกถึงพระคุณที่ได้หุงข้าวให้อาตมาไปโรงเรียนยังไม่ลืมพระคุณอันนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน แต่เป็นผู้อุปการคุณ จึงบอกคุณป้าไปอยู่ด้วยกันเถอะ อาตมาจะรับเลี้ยงจนกระทั่งชีวิตหาไม่ คุณป้าก็มาอยู่จึงได้อยู่เรือนที่ปลูกนี้ อาศัยเฝ้าบ้าง ไปเหนือมาใต้ คุณป้ามีลูกหลานมาก ก็ไม่ค่อยจะอยู่วัด

ในเวลากาลต่อมา พระสงฆ์องค์เจ้ามากขึ้น ก็ต้องทำครัวเลี้ยง หุงข้าววันละกระทะถวายพระที่วัดอัมพวันตลอดมา ก็ยังไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถึงเวลาญาติโยมก็มาช่วยกันทำครัว ทำครัวแล้วก็กลับบ้าน ไม่มีใครเฝ้าหมู กะปิ หัวหอม กระเทียม ก็เก็บไว้ในที่กุฏิโรงครัวนี้ที่ได้ซื้อมา มีภรรยาภารโรงชื่อแม่บุญชู สามีชื่อนายสงวน ศรีพวงวงษ์ เป็นภารโรง ร.ร.วัดอัมพวัน ก็ขอแรงเมียภารโรงมาช่วยทำครัว เลี้ยงพระสงฆ์องค์เณรที่วัดตลอดมา ญาติบ้านเหนือบ้านใต้พุทธศาสนิกชนก็มาช่วยกันที่โรงครัวนี้ เย็นก็กลับบ้านหมด ไม่มีใครเฝ้า แต่เดชะบุญกุศลของไม่หายตลอดมา


วันหนึ่งแม่บุญชูเวลากลับบ้าน ก็หอบหอมกระเทียมไปบ้าง หมูเหลือ ปลาเหลือ จากทำถวายพระก็เอาไป หอมกระเทียมก็เอาไป อาตมาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่เคยไปดูโรงครัวเลย


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 6:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันหนึ่งเกิดอัศจรรย์ดลบันดาล ผีเข้าแม่บุญชู เขาว่าอย่างนั้น
มาตามหลวงพ่อ ผีเข้าเมียภารโรงตอนประมาณบ่าย ๆ คนไปดูกันมากมาย
ก็ปรากฏว่าผีชื่อแม่กาหลง มาเข้าแล้วก็บอกว่าพวกที่ไปช่วยทำครัวว่า
“น้อยไป พวกเรานี่บาปกรรมเหลือเกินนะนี่
เราบาปมาแล้วต้องเป็นเปรตอยู่ที่บ้านหลังนี้มา เรามากับบ้านหลังนี้”
คนเขาก็ถามว่า “เอ้า มาทำไมเล่า ผีเข้ามาอยู่กุฏิหลังนี้ได้อย่างไร”
คนผีเข้าก็บอกว่า “เออ พวกเอ็งไม่ต้องมายุ่ง
เพราะท่านเชิญเรามา หลวงพ่อวัดอัมพวันเชิญมา
ให้มานั่งเจริญวิปัสสนาที่วัดนี้เราก็ตามมา


และช่วยท่านดูแลโรงครัวด้วย เราดูไม่ได้เลย ดูมาหลายวันแล้ว
พวกเราทำครัวแล้วก็เม้มของวัด เอากะปิหอมกระเทียมติดไปบ้าน
เอาปลาติดไปบ้านทุกวัน เราทนดูอยู่ไม่ได้จึงมาบอกเล่าเจ้า อย่าเอาไปนะจะเป็นเปรต
เราเคยเป็นเปรตในบ้านหลังนี้มาแล้ว
เราต้องตายแล้ววิญญาณก็จะอยู่เป็นเปรต เพราะเราได้ผลกรรม ของเปรตผูกใจ
อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้นในจิตผูกพัน
สามีของเราเจ้าชู้มาก ชอบเที่ยวผู้หญิงยิงเรือมากหน้าหลายตา
ตลอดจนเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เราเฝ้าอยู่ที่บ้านนี้
เป็นบ้านของนายอำเภอสามีของเราก็เจ้าชู้ตอนที่ข้าพเจ้าจะตายวิญญาณออกจากร่างไป
ข้าพเจ้ามีอำนาจโลภะห่วงใยสมบัติ ห่วงใยสามีของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าตายแล้ว วิญญาณจึงต้องอยู่ที่นี่ คือเรือนหลังนี้ ก็เป็นเปรต


แต่เราก็โชคดีเหลือเกิน ท่านไปซื้อบ้านหลังนี้มา
ท่านก็บอกกับเราว่า อย่ามาอยู่บ้านหลังนี้เลย
อย่ามาเฝ้าอยู่นี้เลยเปรตเอ๋ย ท่านก็พูดเองอย่างนั้น แต่เราได้รับทราบ
แต่ท่านก็ไม่ทราบว่าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ที่บ้านหลังนั้นนั่นเอง เลยเราก็ตามบ้านนี้มา
ช่วยท่านรื้อช่วยปลูกเสร็จ ถามทุกคนดู นี่เราเป็นเปรต
ท่านทั้งหลายอย่าเป็นเปรตอย่างเราเลย มานั่งเจริญกรรมฐานกันเถิด”
เขาว่าอย่างนั้นก็ได้ความว่าชื่อ “กาหลง”


อาตมาก็ไม่ทราบเลยว่า คนที่อยู่หลังนี้ที่ตายไปแล้วชื่อ แม่กาหลง
เพราะยังไม่มีใครบอก แม่พินก็ไม่เคยบอก
ผู้ใหญ่กลีบก็ไม่เคยบอก เลยก็ได้ความก็บันทึกไว้


พระท่านนิมนต์ไปพูดกับผี อาตมาบอกไม่ไปหรอก ให้เขาพูดกันเอง
พวกที่มาทำครัวกลัวมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเอาพวกกะปิ หอมกระเทียมไปเลย
เพราะมีผีเปรตติดบ้านมาและก็ผีแม่กาหลงบอกกับแม่ครัวว่า
พวกเรานะมาทำครัวกันเฉย ๆ น่าจะนั่งสวดมนต์ไหว้พระเจริญกรรมฐานบ้างไม่มีเลย
ทำแต่ครัวอย่างเดียว เจ้าก็ได้แต่ครัวไป กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาทางวัดไม่มีเลย
นี่ไม่สามารถจะปิดประตูอบายได้อันนี้เป็นคำพูดของผีที่มาเข้าแม่บุญชูเวลากาลก็ล่วงเลยมา
วันพระ เวลาสอนกรรมฐาน แม่พินกับผู้ใหญ่กลีบก็เอาเรือโยงมา
พอนั่งกรรมฐานแล้วอาตมาก็ถามขึ้นว่า


“โยมพิน เจ้าของบ้านนี้ชื่อ กาหลงจริงไหม ผีจริงไหม”
โยมพินหัวเราะก้ากเลย “มีเจ้าค่ะ” อยู่ที่บ้านนั่นเป็นไข้ตาย กาฬขึ้นผุดกาย
แต่ฉันไม่ได้บอกท่านเองแหละ เดี๋ยวท่านจะไม่ซื้อบ้าน
บ้านนี้เป็นอย่างไร เห็นคนเขาไม่ซื้อกัน


เวลากาลต่อมา แม่กาหลงก็แสดงอภินิหารเรื่อย ๆ มีคนมานั่งกรรมฐาน แกก็มานั่งด้วย
แสดงภาพออกมาเป็นรูปธรรมเป็นรูปเห็นชัดแล้วพูดได้ด้วย
อันนี้มีคนเห็นกันหลายคน หลายอย่าง แต่อาตมาจะไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้โดยละเอียด
ก็มีแม่ฉาบแม่เขียวบ้านโคกล้วง ที่เขาทำบุญวัดดาวดึงส์ แม่ฉาบทำบุญวัดดาวดึงส์
แม่เขียวทำบุญวัดราชประสิทธิ์ มีหลักฐานยืนยัน แม่ฉาบแม่เขียวก็มาช่วยงานที่วัดนี้
มานั่งเจริญกรรมฐานก็ให้ไปพักบนศาลา เพราะว่าที่สำนักแม่ชียังไม่มี
ยังไม่ได้ต่อเติมเสริมสร้างแต่ประการใด ถึงเวลามีคนมาปลุกให้ทำกรรมฐานให้หุงข้าว
ตอนนั้นต้องหุงทานเอง เพราะยังไม่มีสำนักชีที่จะบริการแต่ประการใด


ก็ออกมาเป็นรูปร่างหน้าตารูปร่างสวย
ผิวเนื้อละเอียดคมขำ ตามลักษณะนั้นทุกประการ ไฝฝีขี้แมลงวันครบถ้วนทุกประการ
พูดจาเพราะ และมาให้เจริญกรรมฐานและสามารถแนะแนวกรรมฐานได้
เป็นเรื่องแปลกเพราะแม่เขียวไม่กลัวผี แม่ฉาบก็ไม่กลัวผีด้วย
บัดนี้แม่ฉาบสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่แม่เขียวยังอยู่
ถามดูได้เหมือนกัน และก็แสดงอภินิหารหลายอย่าง
และจิตได้เข้าสู่จุดมุ่งหมายของการเจริญกรรมฐาน


อาตมาขอยืนยันว่า ผีก็เจริญกรรมฐานได้ ไม่จำต้องเป็นคน คนยังไม่สนใจ
แต่ผีสนใจก็เป็นที่น่าอนุโมทนาก็เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
จิตมุ่งมาดปรารถนาเข้าสู่ภาวะกลับกลายจากเปรตกลายเป็นเทพธิดาได้
ไม่มีการปฏิสนธิในครรภ์แต่ประการใด เป็นอภินิหารของโอปปาติกะ ที่สร้างคุณงามความดี
เกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นเทพก็ได้ เป็นได้หลายอย่างโดยอภินิหารของบุญกุศลที่ตนได้สร้างมา
นี่เป็นเรื่องการพัฒนาจิตของแม่กาหลง ผีก็ไปลามาไหว้ด้วย วันหนึ่งแม่กาหลงมาลา
มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ มาลาว่าอย่างไร บอกว่า “หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันขอลาไปบ้านสักสองวัน”


“ลาไปทำไมล่ะกาหลง”

“ญาติตาย”

“เอ๊ะเราเป็นอะไรล่ะ ญาติตายไปทำไม
เรามาเป็นกายแบบนี้และวิญญาณแบบนี้ไม่น่าจะไปยุ่งกับเขาเหล่านั้น”

แม่กาหลงตอบว่า “ดิฉันต้องไปดูญาติ ต้องไปช่วยเขาสักสองวัน แล้วจะกลับมา”

อาตมายังนึกขำ ผีมันก็ดีอุตส่าห์ไปช่วยงานได้ มันก็เป็นเรื่องแปลกที่เชื่อยาก ถ้าไม่เห็นประสบการณ์ด้วยตนเอง ต่อมา ๒ วัน
แม่กาหลงก็กลับมา ก็กราบอาตมาบอกว่า ดิฉันกลับมาแล้วเจ้าค่ะ
หลวงพ่อไปช่วยงานเขาเรียบร้อยแล้ว
อาตมายังหัวเราะต่อไป อะไรกันผีอะไรช่วยงานได้ ก็ยังไม่แน่ใจลงไปว่าจริงหรือไม่


ในวันพระต่อมาก็ถามแม่พินว่า นี่โยม ถามจริง ๆ เถอะญาติกาหลงมีไหม
เขาบอกมาลาอาตมาไปช่วยงาน เขาว่าญาติเขาตาย มีจริงหรือไม่ประการใด
แม่พินตอบทันทีว่า มีเจ้าค่ะ หลานแม่กาหลงเขา ๒ คน พายเรือข้ามฟาก
เรือล่มเลยกอดคอกันตายทั้งสองคน
อาตมาบอก เออ จริงของแม่กาหลง แล้วจัดเสร็จเรียบร้อยดี
แม่กาหลงก็กลับมานี่ท่านทั้งหลายเอ๋ย ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า
เขาไม่ได้เป็นปีศาจแต่ประการใดแล้วตอนนั้น เขาก็มีอภินิหารของบุญกุศล


คนเรานี่กลับเป็นเปรตเป็นเทพได้ เป็นเทวดาก็ได้ไม่ต้องปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา
กลับกลายได้ทันทีโดยวิธีนี้ แม่พินก็ยืนยันเลยว่าหลานของเขาตาย เรือล่มตายทั้งสองคน
ก็เป็นความจริงขึ้นมา โดยที่แม่กาหลงเป็นผู้บอกได้อย่างดีด้วย
เดี๋ยวนี้แม่กาหลงยังอยู่ที่วัดอัมพวันตลอดมา
ก็รู้สึกว่าการพิสูจน์นี่พิสูจน์ยาก เพราะคนเราไม่พิสูจน์ด้วยตนเอง
ไม่ได้เจริญกรรมฐานจนลึกซึ้งในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จึงว่าวิญญาณไม่มี ผีไม่มี อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าคนไหนไปเจอด้วยตนเองแล้วจะว่าจริง เพราะเห็นด้วยตนเอง พิสูจน์ด้วยตนเอง
ถ้าเราไม่เคยเจอผีเจอวิญญาณ เจอเทพ เจอโอปปาติกะประการใด
ก็ว่าไม่มีจริงก็ตรงกันอย่างนี้ คนไหนประสบมา คนไหนพบมาก็เรียกว่ามีจริง
เพราะตนเห็นด้วยตนเอง และประสบด้วยตนเอง ทำนองนี้เป็นต้น


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2008, 6:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จะกล่าวถึงแม่กาหลงก็มีวิธีการและอภินิหารหลายอย่างที่วัดอัมพวันตลอดมา
มีหลักฐานมีบุคคลเป็นพยาน และมีที่มาของแม่กาหลง
บ้านแม่เขายังอยู่ด้วยที่ใต้วัดสว่างอารมณ์ มาจนบัดนี้
แต่เป็นเรื่องอภินิหารของวิญญาณ เป็นอภินิหารของบุญกุศลของคนที่มาสร้าง
เป็นเปรตแล้วก็ไม่ใช่เป็นเปรตต่อไปเพราะอำนาจจิต
อำนาจของโลภะกลายเป็นเปรต อำนาจโทสะลงนรกไป ตามขั้นตอน
อำนาจโมหะมีอยู่กับท่านผู้ใดรับรองวิญญาณแตกดับทำลายขันธ์
ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทันที อันนี้เป็นความจริง
ตามหลักพระพุทธศาสนาที่เราเข้ามาพิสูจน์ได้โดยไม่ยากนัก


ส่วนใหญ่ชาวพุทธไม่ค่อยชอบพิสูจน์ ไม่ชอบสร้างความดีกัน
จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาติกงฺขา จิตเศร้าหมองไปนรก
จิตผ่องใสไปสวรรค์ ง่าย ๆ อย่างนี้
บางทีจิตเศร้าหมอง ใจเศร้าหมองคือกิเลสก็ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ


ถ้าหากว่า เป็นหญิงใจเคียดแค้นกับสามี อาฆาตผูกพยาบาท ตายไปต้องเป็นผีดิบ
จะไปกินเลือดของผู้ชายเรียกว่าผีดิบ
ตายไปแล้วไปฝังแล้วไม่เน่า ขนงอกได้คิ้วงอกได้ เล็บงอกได้ทำนองนี้
ถ้างอกยาวตามกำหนดของมันจะขึ้นออกมา ไปกินเลือดของพวกผู้ชาย
ผู้หญิงไม่ทำ อย่างนี้เรียกว่าผีดิบ
พิสูจน์ได้โดยไม่ยากนัก แต่เราจะทำลายผีดิบก็ต้องเอาไปเผาเสีย ไม่ใช่ของดิบของดี
ไม่ใช่ว่าคนตายไม่เน่าเล็บงอกได้ ขนคิ้วงอกได้ ผมงอกได้ ก็เป็นผู้วิเศษไม่ใช่แน่
เรียกว่าผีดิบส่วนใหญ่จะเป็นกับพวกผู้หญิง ส่วนผู้ชาย อาตมาไม่เคยพบ
เคยพบแล้วในป่าเป็นแต่พวกผู้หญิง เคียดแค้นกับสามี เวลาจะตาย โกรธ
จิตลงนรกเป็นผีดิบก่อนอื่นใดทั้งสิ้น มีความหมายมากขอเจริญพรญาติพี่น้องทั้งหลาย
ได้รับทราบโดยทั่วกันนี่แหละ แม่กาหลงมีเหตุและผลตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้
เดี๋ยวนี้ก็ยังมีหลักฐานอยู่ที่วัดอัมพวัน พิสูจน์ได้โดยไม่ยากนัก



บางทีพ่อแม่ตาย ปู่ย่าตายายตาย บางคนบอกไม่ฝันเห็นเลย ไม่มีวี่แววเลย อย่างนี้ก็ทำบุญกันใหญ่ ข้อเท็จจริงไม่ใช่ถ้าเห็น พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว มาเห็นวอบ ๆ แวบ ๆ มาเห็นอยู่เสมอ นั่นแหละไม่ดีหรอกเป็นเปรตประจำบ้าน ด้วยอำนาจโลภะของคนที่ตาย ห่วงใยลูกหลาน ห่วงใยทรัพย์สมบัติ ตายแล้วอยู่ที่นั่น ไม่มีทางไปที่อื่นแล้ว เกาะอยู่ที่นั่น

ถ้าหมดห่วงหมดใยไม่มีอำนาจโลภะผูกใจไว้แต่ประการใด บุญกุศลดลบันดาลไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เทวสถานได้ทันที แต่ถ้าจิตยังเกาะเกี่ยวอยู่ ห่วงใยด้วยอำนาจของโลภะ จะห่วงสามีก็ตามห่วงภรรยาก็ตาม ห่วงลูกก็ตาม ห่วงหลานก็ตาม ห่วงทรัพย์สมบัติก็ตาม ตายแล้วต้องเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ อำนาจของตนที่มีอยู่ในจิตใจ อันนี้แน่นอนที่สุด พระพุทธเจ้าจึงสอนให้กำหนดเสียตั้งสติ มีโลภะผูกใจอยู่ที่ไหนก็ตั้งสติไว้

กำหนดการเจริญสติปัฏฐานสี่เป็นทางที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว อาตมาประสบการณ์กับปัญหาเหล่านี้มามากมาย จิตคนเราเปลี่ยนได้ ในเมื่อมีสติ ไม่จำต้องกล่าวเฉพาะมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น วิญญาณแตกดับทำลายขันธ์ของมันแล้ว ยังไปสร้างความดีของมันได้ เช่นเปรตแม่กาหลง เป็นต้น

พวกผีเปรต เทวดาก็ตามยังต้องมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า ที่มีความสนใจ เทวดาทั้งหลายก็มาชุมนุมกันฟังธรรมเทศนา เหมือนพระพุทธเจ้าเทศนาแก้ปัญหาเทวดาฉะนั้น อันนี้ก็มีสิทธิมาฟังกันได้ทั้งนั้น ถ้าภูตผีปีศาจราชทูตมีศรัทธา ก็สามารถฟังคำสอนพระพุทธเจ้าได้ สามารถสร้างความดีได้ ไม่จำต้องกล่าวว่ามนุษย์ธรรมดาหรือคนธรรมดา ผีปีศาจราชทูตที่เราแผ่เมตตาไป อุทิศส่วนกุศลไป ก็รับได้ ก็ด้วยอำนาจบุญกุศล เปรตหมดเวรหมดกรรมก็สร้างกุศลได้ สามารถกุศลดลบันดาลเกิดเป็นเทพ เกิดเป็นโอปปาติกะ หรือผู้ที่มีกายทิพย์ มีทิพยอำนาจของบุญกุศล เรียกว่ากายทิพย์ ประจักษ์ขีดสำหรับบุคคลผู้มีความเข้าใจ และลึกซึ้งใจติดต่อกันได้โดยทางวิญญาณ ติดต่อกันได้โดยตรงโอปปาติกะ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแต่ประการใด


แต่พระพุทธเจ้าสอนอย่างเดียวคือต้องการให้พ้นทุกข์ต้องการไม่ให้ติดอยู่ ไม่ต้องการให้ข้องอยู่ เหมือนผีเจ้าเข้าทรงแต่ประการใด ก็เป็นเรื่องจริง ผีเจ้าเข้าทรงเป็นเรื่องจริง แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ควรจะข้องอยู่ ไม่ควรไปติดอยู่ในผีเจ้าเข้าทรง เสียเวลาทำงาน เสียเวลากิจการ อย่าไปเชื่อผีสางนางโกงอย่าไปเชื่อผีเจ้าเข้าทรง จงเชื่อเหตุผลแล้วหาที่พึ่ง ไม่ใช่ผีกับเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา รัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเราต่อไป คืออย่างไร หมายความว่า พึ่งตัวเอง สอนตัวเอง นี่แหละรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ สามารถเป็นเกราะเพชรป้องกันตัวได้ อันตรายจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเรามีรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ สำคัญเราไม่เชื่อไม่หวังพึ่งรัตนตรัย ไม่เอาผีกับเจ้ามาเป็นที่พึ่งเสียแล้ว ทุกวันนี้มีความหมายมาก แต่ผีก็หาที่พึ่ง ไม่จำต้องกล่าวว่าคนธรรมดา และเราก็ไปเอาผีมาเป็นที่พึ่ง ผีต้องพึ่งธรรมะคือคำสอนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมก็เป็นได้สมส่วนระควรกัน แต่ก็มีอีกข้อหนึ่ง ผีก็ช่วยงานได้

ผีช่วยงานได้ช่วยอย่างไร วันหนึ่งจำวันที่ไม่ได้ มีข้าราชการเจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดิน มาตรวจเงินแผ่นดินตามจังหวัดอำเภอต่าง ๆ มาพักวัดอัมพวัน เช้ารับประทานอะไรก่อนแล้วไปตรวจราชการตามหน้าที่ แล้วกลับมาพักที่วัดตอนเย็นไม่จำต้องพักโรงแรม กลางคืนก็สนทนาธรรมให้คติกรรมฐานก็ดีกว่าไปพักโรงแรม

โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินก็มา มีชายเป็นผู้ขับรถนอกเหนือจากนั้นเป็นหญิง ข้าราชการผู้หญิงตรวจเงินแผ่นดินมาพักที่วัดอัมพวัน อาตมาก็จัดกุฏิพิเศษเป็นที่พักสำหรับวิทยากรที่มาอบรมที่วัดอัมพวัน ว่างการอบรมก็ให้พักที่กุฏินั้น เช้าออกตรวจเย็นกลับ

พอดีวันนั้นเป็นวันธรรมสวนะเป็นวันพระ อาตมาจะต้องเข้าไปในโรงอุโบสถสอนกรรมฐานทุกวัน พระไม่ขาดและลงปาฏิโมกข์ตามปักษ์ของทางพระพุทธศาสนา พอดีเจ้าหน้าที่เขากลับมาเย็นใกล้จะมืด อาตมายังอยู่ในโรงอุโบสถมืดค่ำคิดว่าเด็กของเรายังอยู่ เด็กที่ทำครัวทำอาหารเลี้ยงแขกทั่วไป พอดีเขาเกิดมีอะไรกันที่สิงห์บุรี มีดนตรีหรือมีอะไรจำไม่ได้ไม่ทราบ เด็กก็หนีไปเที่ยวหมด ไม่มีใครอยู่เลย เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินก็มาพัก ก็นึกว่ารับประทานอาหาร เด็กเราควรจะหาให้ต้อนรับเขา บริการอย่างดี

อาตมาออกจากโบสถ์ดึกไป ก็มาดูเด็กของเรา ไม่มีใครอยู่เลย อีกคนหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อเขาหนีไปดูมหรสพหมดแล้วทางจังหวัดสิงห์เขามีงานกัน ก็ไม่ทราบว่ามีงานอะไร อาตมาก็บ่นเขาบอกว่าญาติพี่น้องเรามาพักแรมกันที่วัดคงจะอดอาหาร จะมีใครทำเลี้ยงเขาหรือเปล่าไม่ทราบ

แต่ข้าราชการเจ้าหน้าที่ที่พักวัดก็กลับบอกว่า “หลวงพ่อไม่ต้องห่วงเขาเลี้ยงอย่างดีเลย อาหารอร่อยมากวันนี้น่ะ” เจ้าหน้าที่บางคนยังไม่เคยมา ที่มาใหม่ก็มารวมกัน ไม่ทราบห้องน้ำอยู่ที่ไหน ก็มีคนบริการเปิดไฟ เปิดห้องน้ำให้เสร็จ รู้สึกว่าเขาดีใจว่าทางลูกศิษย์วัดอัมพวันบริการดีเหลือเกิน ตลอดกระทั่งอาหารคาวหวาน น้ำร้อนน้ำชากาแฟ บอก “หลวงพ่อไม่ต้องห่วง เขาเลี้ยงหนูเรียบร้อยแล้ว” เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้หญิงเขาบอก บริการดีตลอดไม่ต้องห่วง แต่แล้วสอบถามดูเด็กไม่อยู่สักคนเดียว ไม่รู้ว่าใครบริการ

อาตมาถามข้าราชการที่มาพัก “ขอเจริญพรใครมาเลี้ยงคุณมีอะไรบ้าง เขาบอกยำเล็กยำใหญ่ แหม อาหารอร่อยมีกาแฟ โอวัลติน มีหลายอย่างเจ้าค่ะ” เอ๊ะอาตมาก็นึกสงสัยว่าเด็กเราไม่อยู่ใครมาเลี้ยง ถามเขาว่า “ใครมาเลี้ยงคุณหรือ” เขาก็ตอบว่า “รูปร่างสวย เป็นผู้หญิงผมยาว ลักษณะดำขำเอาอาหารให้ดิฉันรับประทานกันและมีกาแฟเรียบร้อย เขาก็ยิ้มตลอดรายการ เขาบอกไม่ต้องห่วง ยินดีต้อนรับเพราะเป็นแขกของหลวงพ่อที่วัดนี้ มาไม่ให้อดอยากปากแห้ง ขาดตกบกพร่องประการใดให้อภัยด้วย” เขาก็กลับพูดอย่างนี้ ก็ไม่ทราบว่าใคร

อาตมาออกจากโบสถ์ก็ดึกแล้ว เป็นเวลา ๔ ทุ่มเศษ ก็รอเด็กกลับมาจะถามดู จะไล่เรียงดูจะทำโทษว่าไปไหนไม่ลา มาไม่ไหว้ รอจนดึกถึงตี ๑ แท้ที่จริงเด็กเข้าข้าง ๆ ทางหน้าวัด เราหลงดูทางหลังวัดว่ารถมาอย่างไร เลยเด็กก็เข้าหน้าวัดนอนเสียเรียบร้อย เราก็บ่นคืนยันรุ่ง แพ้เด็กเด็กมีเชาวน์ ฉลาดสูงกว่า ก็เข้ามาข้าง ๆ เสียที่บ่นไปนั่นมันก็ไม่เข้าท่าตอนเช้าเจ้าหน้าที่ที่พักแรมก็สงสัย ว่าหลวงพ่อบ่นทำไม เราก็รับประทานอิ่มแล้ว ทำไมบ่นเด็กว่าไม่ดูแลก็สงสัย ตอนเช้าก็ขอเด็กมาดูซิว่ามีใครบ้าง จะเป็นคนนั้นหรือไม่ประการใด ตอนเช้าก็มาดู เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินบอก เอ๊ะ ไม่มีเลย ที่บริการเมื่อวานไม่ใช่พวกนี้เลยนะ บอกพวกไหน มีเท่านี้เอง มี ๔-๕ คนเท่านี้ เขาบอกเป็นคนสวย ผมยาว คิ้วโก่งดำขำ และยิ้มตลอดเวลา และบอกเชิญรับประทานให้อิ่มนะคะ ดิฉันบริการช่วยหลวงพ่อ พี่น้องที่มาพักที่นี่ไม่ต้องตกใจ มีอะไรเรียกร้องได้เจ้าค่ะ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกน่าอัศจรรย์


หลังจากนั้นเวลากาลผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่มาพัก ไม่เคยมาอีกเลยจนทุกวันนี้ หายหน้าไปเลยก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขาก็ส่ายหน้าไปตาม ๆ กัน บอกเอ๊ ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อเลยนะ ขอดูตัวแล้ว ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ไม่มีเหมือนเลย แล้วเขาก็ลากลับไปตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ไม่เคยกลับมาอีกเลย ก็โดนกันหลายรายอย่างนี้น่ะ

อันนี้จะค้นเดาเอาเห็นจะไม่ยาก ส่วนใหญ่แม่กาหลงไปบริการหลายแห่ง นี่แหละชี้ให้เห็นได้ชัด และเขาก็เล่าอีกอย่างหนึ่ง ก่อนจะมาบริการได้กลิ่นหอมดอกไม้ หอมดอกมะลิ คล้ายดอกกุหลาบ อะไรทำนองนี้ แล้วก็จะโผล่ออกมา อันนี้เห็นกันหลายราย

อาตมาขอจบรายการไว้แต่เพียงนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านโดยทั่วกัน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 16 มิ.ย.2008, 4:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธ อนุโมทนาด้วยครับ
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง