Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ท่านเตรียมตัวตายกันหรือไม่ และอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2008, 5:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนเราเวลาเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นเตรียมคลอดลูก ก็มีกระเป๋าจัดไว้พร้อมหยิบได้ทันที หรือเตรียมตัวรับไฟไหม้อาคารก็ซ้อมหนีไฟ แต่สำหรับการเตรียมตัวตาย ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นั้น เราเตรียมตัวกันอย่างไรคะ

สงสัย สงสัย สงสัย

เคยคิดว่าถ้าป่วยหนัก อาจจะต้องเตรียมตัวเผื่อขณะจิตสุดท้ายเช่น เตรียมข้อธรรมะสำคัญๆ ให้ญาติช่วยอ่านให้ฟัง หรือเตรียมเทปธรรมะไว้เปิด หรือว่ามีธรรมข้อไหนที่เราควรจะภาวนา หรือกำหนดไว้ตลอด ก่อนจะถึงขณะจิตนั้น ท่านเตรียมกันหรือเปล่าคะ? อันนี้ไม่นับการประพฤติปฏิบัติดีที่เราก็ทำกันอยู่แล้วนะคะ เอาขณะเวลาสำคัญนั่นเลย
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
น้อม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.พ.2008, 12:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ได้เตรียมค่ะ เพราะเลือกวิธีการ สถานที่และเวลาไม่ได้ (ไม่คิดจะฆ่าตัวตายค่ะ)

แล้วคุณratchadapa เตรียมไว้อย่างไรคะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.พ.2008, 9:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ไม่ได้เตรียมเหมือนกันค่ะ นอกจากใช้ชีวิตปกติก็พยายามไม่ให้จิตใจเศร้าหมองหรือขุ่นมัว (กลัวตายปุ๊บไปโผล่ที่ไหนไม่รู้คนมีเขาหรือโผล่กลางป่าดงดิบอะไรทำนองนั้น) นอกจากนี้ก็คือเวลาที่เจอธรรมะที่ถูกหรือโดนใจ ที่ทำให้เราทราบสัจจธรรมมากขึ้นก็พยายามทบทวนดู ให้สามารถระลึกได้ คิดอยู่เหมือนกันว่าจะบอกคนที่บ้านว่าถ้าเกิดกรณีเจ็บหนัก หรือยังร่อแร่อยู่ก็จะให้เปิดCD ของพระอาจารยที่เราเลือกเอาไว้แล้วให้ฟัง แล้วก็จะขอไว้ก่อนว่าอย่าร้องไห้นะ อย่าฉุดรั้งเอาไว้ พวกเครื่องช่วยชีวิตตอนวิกฤตก็ไม่อยากใช้ค่ะ
ให้มันค่อยๆดับไปเหมือนรถที่น้ำมันหมด เครื่องดับ แล้วแล่นช้าลงๆจนหยุดไปเอง
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 12:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถาม...ทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย

ตอบ...ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ตาย


พระพุทธศาสนา

ศาสนาพุทธ เกิดจากความกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย และต้องการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ต้องการเข้าถึงสุขแท้สุขถาวร ที่ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก (1)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาพระองค์เสด็จออกประพาสอุทยาน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น พระองค์ได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนั่นคือ คนแก่ คนเจ็บและคนตาย ทำให้พระองค์ทรงหวั่นวิตกว่า “อีกไม่นานเราเองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายอย่างนี้เหมือนกัน ทำอย่างไรหนอ เราจะรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้? เมื่อมีร้อนก็มีหนาวแก้ เมื่อมีมืดก็มีสว่างแก้ เมื่อมีความแก่ความเจ็บและความตาย ก็ต้องมีวิธีแก้อย่างแน่นอน เราจะหาวิธีการนั้นให้พบให้จงได้” จากนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยทิ้งราชสมบัติ ทิ้งกองเงินกองทองออกจากพระราชวังไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า(2)


พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(3) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

( บทพิสูจน์ ..งานวิจัยเรื่อง “ 20 ผู้กลับชาติมาเกิด” โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน) มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม 73170

http://books.google.com/books?id=vIDES6VWl1MC&pg=PA181&dq=%22Stevenson%22+%22Twenty+Cases+Suggestive+of+Reincarnation%22+&sig=QORGdIeFDeRLJjtrmEqLZCnnW9Q#PPA184,M1 )



เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ดั่งพระจาลาภิกษุณีกล่าวว่า “ ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์ เพราะเหตุนี้แลเราจึงไม่ชอบความ เกิด”(6)

ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ“การไม่เกิดอีก” เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป(7)



จุดมุ่งหมายพระพุทธศาสนา

เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่(8) สิ่งที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องเกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุดก็คือความต้องการของสรรพสัตว์เองหรือที่เรียกว่า “กิเลสตัณหา”(9)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช วิญญานดำรงอยู่ได้ เพราะธาตุหยาบของสัตว์ มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหา เป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้ การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก(10) ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้”(11)

เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง ก็จะกำจัดกิเลสตัณหา ในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง(12) เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วงที่มียางเหนียวอยู่ภายใน ถ้านำไปปลูกจะงอกเป็น ต้นมะม่วงได้อีก แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป จากนั้นนำไปปลูกโดย วิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน

แต่ถ้าหากไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้ แม้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสแล้ว(โสดาบัน) ก็ไม่ต้องตกนรก/ทุกข์ในอบายอีกต่อไป และจะบรรลุอรหันต์ได้เองโดยอัตโนมัติภายในระยะเวลาไม่เกิน ๗ ชาติ(13)



กรรมฐาน

กรรมฐาน เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีอยู่ในจักรวาลเหมือนกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ต่างกันแต่ศาสตร์นี้ต้องศึกษาวิจัยในห้องแลปร์คือจิตล้วน ๆ และ มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ความหลุดพ้นจากทุกทั้งปวง ศาสตร์นี้เป็นกลไกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ยากที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ สิ่งที่สามารถเข้าถึงและแทงตลอดกฏเกณฑนี้ได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจิตที่ทรงพลานุภาพ ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ล้วนมีจิตกันทุกคน แต่จิตธรรมดาจะกลายเป็นจิตที่ทรงพลานุภาพได้นั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะเป็นเวลานาน คัมภีร์อรรถกถาบอกว่า ต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัปเลยทีเดียว(14) ด้วยเหตุนี้ นาน ๆ จึงจะมีดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิสักครั้งหนึ่ง โลกใบนี้อุบัติขึ้นประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปีมาแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ดวงจิตที่ทรงพลานุภาพมาปฏิสนธิแค่เพียง ๔ ครั้งเท่านั้น(15) ครั้งสุดท้ายมาปฏิสนธิ เมื่อ ๒๖๒๗ ปีก่อนนี้เอง ผู้นั้นเราเรียกกันว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

เรื่องกรรมฐานนี้ มนุษย์ทั่วโลกได้พยายามค้นคว้าและเข้าถึงมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยบารมีไม่เพียงพอจึงเข้าถึงได้เพียงครึ่งเดียว คนกลุ่มนั้นก็คือพวกฤษีและศาสดาต่าง ๆ พวกท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์เดชมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกิเลสในจิตตนเองให้หมดสิ้นไปได้(16) ยังมีความโลภ โกรธ เกลียดอยู่ ท่านเหล่านี้เข้าถึงได้เพียงแค่ระดับฌานสมาบัติเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าถึงวิปัสสนาปัญญา บรรลุมรรค ผล นิพพานได้(17)

สมถกรรมฐาน (18) คือ การกำหนดจิตอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่เหมาะสม เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นต้น(19) ใส่ใจแต่เฉพาะอาการเข้า อาการออกของลมหายใจเท่านั้น โดยไม่สนใจสิ่งอื่น แม้แต่ความคิดก็ไม่สนใจหายใจเข้า หายใจออกตามปกติธรรมด่า มีสติระลึกรู้อยู่ในขณะปัจจุบัน มีสติระลึกรู้อยู่อย่างนี้นับร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้งจนจิตตั้งมั่น แนบแน่นอยู่ กับลมหายใจนิ่งเป็นสมาธิ แล้วกำหนดรู้อาการนิ่งสงบของจิต จนนิ่งเป็นอุเบกขา เมื่อถึงขั้นนี้จะน้อมจิตไปทำสิ่งใดก็จะสำเร็จได้ดั่งใจหมาย เช่น สามารถ กำหนด รู้ความคิดของคนอื่นได้เป็นต้น(20)

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช พระองค์ได้ไปศึกษาศาสตร์นี้จากสำนักฤษีต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้นจนหมดความรู้อาจารย์ แต่เมื่อออกจากสมาธิ กิเลสตัณหาก็ยังมีอยู่เท่าเดิม ยังมีความกลัวความกังวลอยู่ พระองค์จึงตัดสินพระทัยศึกษาค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ด้วยพระ องค์เอง ด้วยการเจริญวิปัสสนา(21)

เมื่อเกิดวิปัสสนาปัญญญารู้แจ้งอยู่ไปตามลำดับครบ ๑๖ขั้นจะบรรลุ โสดาบัน เที่ยวที่ ๒ บรรลุสกทาคามี เที่ยวที่ ๓ บรรลุอนาคามี เที่ยวที่ ๔บรรลุพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน(22) ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เมื่อไม่ต้องเกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์ กายทุกข์ใจอีกต่อไป การตายอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าดับขันธปรินิพพาน ดับทั้งกายดับทั้งจิต ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

อ้างอิง..พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(เล่มที่ / หน้าที่)
1. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก. ๒๕/๔๗๖,๓๑/๔๐๐
2. ดูรายละเอียดใน ไตรปิฎก. ๑๐/๑-๑๐
3. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก. ๑๖/๒๒๓
4. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๖/๒๒๗
5. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๔/๓๕๐-๓๖๕
6. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๕/๒๒๓
7. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๙/๕๓๔
8. ดูรายละเอียดพระไตรปิฎก.๑๑/๒๒๒ ,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๑๖๔
9. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๕/๖๘
10. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๒๐/๓๐๑
11. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก๑๕/๗๐
12. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๓๑/๙๗
13. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๑๙/๕๔๔, ๑๔/๑๘๖, ๒๐/๓๑๕, ๒๕/๑๒
14. ดูรายละเอียด ในวิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐
15. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๓๓/๗๒๓
16. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๒๐/๓๘๐ , ๒๕/๒๙๒
17. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๑๓/๓๙๖,อรรถกถามัชฌิมนิกาย(บาลี) ๑/๑๙๙
18. ดูรายละเอียด ในวิสุทฺธิมรรค(บาลี)๑/๑๓๒-๑๔๙
19. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๑๒/๑๐๑
20. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๑๐/๑๔๒, ๒๒/๓๖
21. ดูรายละเอียดพระไตรปิฎก.๑๙/๔๖๑,อรรถกถาอังคุตตรนิกาย(บาลี)๑/๘๑๓๓
22. ดูรายละเอียด ในพระไตรปิฎก.๓๑/๑-๑๖,๒๕/๗๒๐
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ratchadapa
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2008, 10:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุคุณMontasavi ค่ะ

เป้าหมายสูงสุดคือไม่กลับมาเกิดอีกนั้นแน่นอนที่สุด แต่ในปัจจุบันชาติ ดิฉันยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะไปถึงจุดนั้น จึงคิดเผื่อไว้ว่า ในกรณีที่ตายไปยังไได้บรรลุธรรมขั้นสูงๆเช่นอนาคามีผล ก็มีความเสี่ยงที่จะไปสร้างภพชาติใหม่
หรืออย่างน้อยถ้าไม่บรรลุโสดาปัตติผล ก็ยังเสี่ยงไปอบายได้ หรือแม้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วก็ยังอาจต้องเที่ยวท่องไปอีกถึง 7 ชาติ น่ากลัวค่ะ น่ากลัวมากๆ กลัวไม่ได้พบพระพุทธศาสนา

จิตดวงสุดท้ายเป็นเรื่องน่าสนใจว่า ภาวะอันสำคัญยิ่วยวดนั้นเราควรจะเตรียมกายใจอย่างไร ถ้ายังไม่พ้นภพชาติไปได้
 

_________________
พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 9:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สติ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด สิ่งของ หรือบุคคลรอบข้างไม่สามารถช่วยเราได้ขณะที่เราจะตาย สติเท่านั้นที่จะช่วยให้เราเตรียมตัวก่อนที่จะตายและกำลังจะตายได้ดีที่สุดค่ะ แต่จะทำอย่างไรถึงจะมีสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวตลอดเวลานี่สิ เป็นเรื่องที่น่าคิด และเป็นสิ่งที่ควรจะทำ เพียงแค่มุมมองของคนๆหนึ่งค่ะ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Candy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 ก.พ. 2008
ตอบ: 28

ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.พ.2008, 4:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เคยเตรียมตัวเลยค่ะ แต่ช่วงที่มีชีวิตอยู่นี้ ก็ไม่อยากเบียดเบียนใคร และหมั่นสร้างกุศลไว้เสมอ
 

_________________
หนทางสว่างด้วยแสงไฟ จิตใจสว่างด้วยแสงธรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สุรเชฏฐ์ ไลตระกูล
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 24 ก.พ. 2008
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.พ.2008, 1:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สร้างบุญกุศลไว้ ไม่รู้จะต้องตายเมื่อไหร่ ยังไงเราคงไม่นิพพานในชาตินี้ ชาติหน้ายังมี พึงทำความดีสม่ำเสมอ แม้แต่ความคิด พึงคิดแต่สิ่งดี ถ้าหากถึงเวลาตาย สิ่งที่เราคิดหรือปฏิบัติก่อนตาย สิ่งที่เราทำบ่อยๆก่อนตาย ผลกรรมนั้นจะส่งผลต่อจิตเรา ตอนนี้ยังไม่อยากตายหรอก ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.พ.2008, 9:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระอานนท์ ถูกพระพุทธเจ้าถามเรื่องเกี่ยวกับความตาย

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า

ดูก่อนอานนท์ ท่านพิจารณาถึงความตายวันละกี่ครับ

พระอานนท์ ทูลตอบว่า วันละ 7 ครั้งพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า ดูก่อนอานนท์ เราพิจารณา ถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้า และหายใจออก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bai_pai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.พ. 2008
ตอบ: 39
ที่อยู่ (จังหวัด): kyeongki-do, korea

ตอบตอบเมื่อ: 06 เม.ย.2008, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สงสัย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
human
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 พ.ย. 2006
ตอบ: 41

ตอบตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2008, 1:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความตายหรอ

Image

ตายแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Inborn
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2008
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม

ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2008, 5:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ..........ไม่ได้เตรียมตัวตายไว้หรอกครับ ไม่ต้องเตรียมอะไรนอกจากใจ
..........เพราะเตรียมอะไรไว้ก็ไม่สามารถเอาไปได้
..........ได้แต่ระลึกถึงความตายอยู่เสมอๆ(มรณานุสติ)... สาธุ
 

_________________
ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง คงแต่บาปบุญยังเที่ยงแท้

สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง