ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
montasavi
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.พ.2008, 10:20 am |
  |
คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือคำสอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ศาสนิกจะต้องทำตามให้เทพเจ้าพึงพอใจสถานเดียว ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนโดยการให้ตกนรกไปตลอดกาล แต่คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฎความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏหรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฎ พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามสั่งสม-บำเพ็ญบารมีมาแล้วเป็นล้านๆ ชาติ จนได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งในกฎเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นสาเหตุ ดังปรากฏหลังฐานให้ศึกษาในจูฬกัมมวิภังคสูตรและทรงรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติได้
ศาสนาพุทธมิใช่ว่าปฏิเสธเรื่อง พระเจ้า แต่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์แล้วยังมิใช่สุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดา...ไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี
ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่าทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฎเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์แล้วนำออกเผยแผ่สืบทอดต่อๆ กันมาทุกยุคทุกสมัยจนถึงปัจจุบัน |
|
|
|
   |
 |
montasavi
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.พ.2008, 10:23 am |
  |
อะไรคือความจริงแท้ .. "ความจริง" คืออะไร
ตอบว่า.. ความจริงแท้ คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้ ด้วยอุปกรณ์ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่..อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังพิสูจน์ความมีอยู่จริงของ นรก สวรรค์ และ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้
แต่..พุทธศาสนาท้าให้พิสูจน์ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน มาตลอด 2000 ปี เมื่อยังมีผู้ตัดสินใจบวชถวายชีวิตในพุทธศาสนาอยู่ นั่นก็แสดงว่า ผู้นั้นได้ยอมจำนนต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข..
นี่แล..คือความจริง เหนือจริงของพุทธศาสนา
บทพิสูจน์
งานวิจัยเรื่อง 20 ผู้กลับชาติมาเกิด โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน) มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม 73170
อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ : http://books.google.com/books?id=vIDES6VWl1MC&pg=PA181&dq=%22Stevenson%22+%22Twenty+Cases+Suggestive+of+Reincarnation%22+&sig=QORGdIeFDeRLJjtrmEqLZCnnW9Q#PPA184,M1
ถ้าไม่จริง เด็ก 2 ขวบ จะรู้จักชื่อของลูกเมีย ญาติพี่น้องของตนในชาติก่อนได้อย่าง โดยที่ ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน ได้นำเด็กคนนั้น...ไปหาญาติพี่น้องตามที่เด็กกล่าวอ้าง จนพบจริง ๆ ในประเทศบลาซิล มีอยู่ถึง 6 คน |
|
|
|
   |
 |
ดุสิตธานี
บัวบาน


เข้าร่วม: 21 ก.ย. 2007
ตอบ: 352
ที่อยู่ (จังหวัด): สุโขทัยธานี
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2008, 12:34 pm |
  |
ตอบแบบไม่เป็นทางการ
และตอบแบบที่ตัวเองพอเข้าใจได้เอง
ศาสนาพุทธ ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน
ไม่ได้ให้ยึดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ
ให้วางเสียทั้งหมด
เมื่อทำได้หรือพอทำได้ตามหลักของศาสนาพุทธ
การแข่งดีแข่งเด่น การทะเลาะเบาะแว้ง
หรือความขัดแย้งในทุกๆ เรื่อง ก็จะไม่เกิด |
|
_________________ จงทำจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยความดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือแม้กระทั่ง ตัวของเราเอง |
|
  |
 |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.พ.2008, 9:24 am |
  |
ขอสาธุด้วยครับท่านเจ้าของกระทู้ เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาจริงๆ ครับ
ขอความสงบจงมีแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านครับ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
pattama
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 07 ก.พ. 2008
ตอบ: 1
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.พ.2008, 10:19 pm |
  |
แม่ของดิฉันเป็นคริสเตียนคะ ท่านจะพยามพูดเรื่องพระเจ้าอยู่ทุกวันบางทีดิฉันก็เบื่อคะ แต่ก็ไม่อยากขัดใจท่านเพราะรู้สึกว่าการเป็นคริสเตียนยังตัดกิเลสอะไรไม่ได้สักอย่างเลยคะ ตอนนี้ดิฉันเลยไม่ค่อยไปวัดสักเท่าไรเพราะไม่มีเพื่อนไป แต่ก่อนจะต้องไปบุญประจำคะทุกวันพระกับท่าน มีช่วงหนึ่งเราสองคนมีคนชวนเข้าโบสถ์ด้วยความเกรงใจคะก็ลองไปดิฉันรู้สึกว่าไม่ใช่แต่แม่ดิฉันเชื่อสนิทใจจริงๆ แล้วเขาก็สอนให้เราเป็นคนดีนะคะ แต่เขาจะพยายามมากให้เราเข้าพระเจ้าเราก็อยากไปวัดเลยรู้สึกว่ากิจกรรมภายในครอบครัวหายไป ตอนนี้ดิฉันก็เลยพยามพาสามีเข้าวัดคะเพราะเป็นชาวต่างชาติและไม่เชื่ออะไรเลยแต่ไม่เคยสัมผัสพระพุทธศาสนา บางทีพักโรงแรมในประเทศไทยก็จะมีหนังสือธรรมะบ้างเขาก็อ่านแล้วรู้สึกดี ทุกวันนี้ถ้าใครถามก็จะบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ บางทีตัวดิฉันก็อายสามีคะเพราะกิเลสหนาบางทีสามีก็บอกว่าเงินไม่ทำให้เธอมีความสุขหรอกตายไปก็เอาไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราได้คำสอนมาตั้งแต่เด็กกลับนึกไม่ถึงเขาไม่มีใครสอนด้วยซ้ำอย่างนี้ต้องพาฝรั่งเข้าวัดบ่อยๆ คะ |
|
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.พ.2008, 2:13 pm |
  |
ในมุมมองของคนๆ หนึ่ง
ศาสนาทุกศานสนา ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะสิ่งที่ทุกศาสนาสอน สอนเหมือนกันหมด คือ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี ให้ทุกคนทำความดี ละความชั่ว หากเราไปมองว่าทุกศานสนามีข้อแตกต่างกันเสียแล้ว ต่อไปจะไปคุยหรือสนทนาเรื่องศาสนากับคนอื่นเขาได้อย่างไร เพราะต่างคนต่างยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ อีกอย่าง สักวันหนึ่งเราอาจจะต้องไปอยู่ร่วมกับคนที่นับถือศาสนาต่างกันอย่างนี้ เราจะไปอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างไร การรับรู้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน รู้ได้แค่ไหน เวลาอ่าน เวลาฟัง ก็ตีความได้แค่นั้น ต้องเข้าใจในเหตุและผลตรงนี้ด้วยนะ ไม่ได้คิดจะไปห้ามความคิดของทุกๆ คน ทุกๆ คนมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่ถ้าคิดแล้ว เบียดเบียนคนอื่น มันก็ไม่ดี มันเป็นโทษ เพราะทำให้จิตเกิดอกุศลจิตคิดว่า ตัวเองดีกว่าเขา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ค่าของทุกคนนั้นเท่ากันหมด ไม่มีความแตกต่างกันเลย คิดให้น้อยลง ทำให้มากขึ้น แล้วจะมองเห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ความรู้น่ะดี ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์ให้ถูกทาง ความรู้จะเป็นโทษ ถ้าไม่รู้จักใช้ |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
ชัย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 26
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.พ.2008, 3:55 pm |
  |
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
ทุกศาสนาล้วนมีพื้นฐานของการสั่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีการปฏิบัติให้เกิดสันติสุขแก่สังคม และแก่มนุษย์โลก
สำหรับศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีความสงบสุข แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนค้นหาตัวตนของตน มองให้เห็นว่าตนไม่ใช่ตน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วทำใจให้ปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งต้องปฏิบัติเอง ทำเอง ให้รู้ได้ด้วยตนเอง
ดีไม่ดีไม่ใช่การตั้งคำถาม หรือการสนทนากันเท่านั้น แต่อยู่ที่การกระทำให้ถึง รู้ให้ไกลแล้วไปให้ถึง จึงจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ก็หมดคำถาม
ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ  |
|
_________________ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด |
|
   |
 |
ชินภพ พิมพะกร
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2006
ตอบ: 67
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.พ.2008, 6:57 pm |
  |
แตกต่างที่การปฏิบัติ แตกต่างที่การละวาง แตกต่างที่การไม่ยึดติด ละบาป ไม่ติดบุญ แตกต่างที่เปิดกว้าง ทุกศาสนามีแก่นแท้คือความดี พุทธศาสนามีแก่นแท้คือนิพพาน หรือความว่าง ปฏิบัติให้เห็นชอบ อนุโมทนาครับ |
|
|
|
    |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.พ.2008, 9:15 pm |
  |
ศาสนาพุทธไม่ได้หมายถึงศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ
แตหมายถึงพุทธ คือกฏแห่งธรรมชาติ คือธรรมฐิติ คือธรรมนิยาม
พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะแนวทางให้เข้าถึงธรรมชาติ
โดยเฉพาะธรรมชาติของจิต
ให้เราตามดูรู้ทันจิตของตัวเราเอง
เมื่อรู้แจ้งแล้ว
เท่ากับรู้จักธรรมชาติทั้งหมดเลยทีเดียว
นั่นคือแนวทางสติปัฏฐาน๔
สติปัฏฐาน๔คือมรรคเอกแห่งการนำสู่อริยะธรรม |
|
|
|
   |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 8:37 pm |
  |
พระพุทธศานาของเราใช้หลักความจริง ที่เป็นไป ไม่อ้าง สิ่งไม่มีตัวตน
แต่ใช้หลัก ให้พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไตรลักษณ์หมด จิตจะได้ คลายกิเลส และจะได้หลุดพ้น  |
|
|
|
  |
 |
หมดตัวเราของเรา
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 01 มี.ค. 2008
ตอบ: 6
|
ตอบเมื่อ:
01 มี.ค.2008, 1:19 am |
  |
เดินทางสายกลาง...ระหว่างสุขกับทุกข์
ไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง...เห็นเป็นของว่างเปล่า |
|
|
|
  |
 |
bansadet
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 03 มี.ค. 2008
ตอบ: 13
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2008, 2:38 pm |
  |
พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ อธิบาย เรื่องความมีอยู่ของรูปแบบชีวิต ต่าง ๆ และปัจจัยเกื้อหนุดให้รูปแบบชีวิตนั้น ๆ สามารถดำรงค์อยู่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระสัพฯ ที่สูงกว่า ศาสตร์ดา ในศาสนาอื่น ๆ ทั้งพระเจ้าในศานาอื่น ๆ ยังมีตังตนอยู่ แต่พุทธ พระพุทธเจ้าดับสูญแล้ว ทั้งเป็นศานาเดียวที่อธิบายเรื่องของ จิต วิญญาณ ซึ่งไม่มีศาสดาใน ลัทธิ ใดสามารถอธิบายไว้ได้ มีเพียงยืมคำในพระพุทธศาสนาไปประกอบเข้าในศาสนาของตน เช่น 1.พิธี เชือดพลี สัตว์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ญาติสนิท ในวันอีดกุรบาน ซึ่งเขาถือว่าเป็น กุศลในศานา อิสลาม และ 2.ในหน้าแรก ๆ ของอัลกุรอาน กล่าวว่า ถ้าผู้ใดไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะผ่าพลานด้วยความตาย 3.และ พวกยิว และ ศริส เป็นศัตรูของ ศาสนาอิสลาม 4.อัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้ทำการญิฮาด ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ หมายถึง อนุญาตให้มุสลิมทำการสู้รบพระองค์ทรงตรัสว่า บรรดาผู้ถูกคุกคามได้รับอนุญาตให้ทำการสู้รบเนื่องด้วยพวกเขาถูกอธรรม 5.ท่านศาสดาทำสงครามคอนดัก หรือสงครามสนามเพลาะกับพวกกุร็อยส์มักกะฮ์ 6.ท่านศาสดาทำสงครามกับพวกยิวบะนู กุร็อยเซาะฮ์ เนื่องจากพวกเขาได้ละเมิดสัญญาและแสดงตัวเป็นศัตรูของมุสลิม 7.ท่านศาสดาทำสงครามคอยบัรกับพวกยิว พวกนี้เป็นผู้ให้การยุยงแก่พลพรรคต่างๆในสงครามคอนดัก 8.ท่านศาสดาส่งกองทัพไปรบกับพวกโรมันในสงครามมุอ์ตะอ์ 9.ท่านศาสดายกกองทัพไปพิชิตมักกะฮ์ เนื่องจากพวกกุร็อยส์มักกะฮ์ได้ละเมิดสัญญาที่ได้ให้ไว้ ณ หุดัยบียะฮ์ ท่านศาสดานำกองทัพเข้ามักกะฮ์โดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง พวกกุร็อยส์มักกะฮ์รับอิสลามเป็นกลุ่ม 10.อัลลอฮ์ทรงลงบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งงาน
11.อัลลอฮ์ทรงลงบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องมรดก 12.พระองค์อัลลอฮ์ (พระเจ้าผู้เป็นเอก) เท่านั้น คือ มุสลิมหรือ บุคคล ผู้นั้น มีความศรัทธาอย่าง แท้จริง ว่า มีพระเจ้าอยู่องค์เดียวเท่านั้น (อัลลอฮ์)ที่เราสักการะ บูชา, ไม่มีสิ่งอื่นๆ หรือบุคลผู้ใด ที่จะเทียบเคียง เสมอเหมือน แทนพระองค์ได้, พระองค์เป็นเอก ที่สูงสุดแห่งการได้รับการสรรเสริญ พระองค์ เป็นผู้ประทาน ชีวิต และความตาย และมีอำนาจเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ในระบบจักวาล ต่างๆ, พระองค์ ทรงประทานชัยชนะตามคำสัญญาของพระองค์ ต่อผู้ ที่มีความศรัทธาที่แท้จริงต่อพระองค์ และ พระองค์เท่านั้น ที่จะนำชัยชนะต่อศัตรูของ อิสลาม เหล่านี้เป็น ธรรมมะในศาสนา อิสลาม ขอรับ ก็แล้วแต่การเรียกไปต่าง ๆ นะ ขอรับ เพราะเป็นเพียงภาษาเท่านั้น (หมายเหตุสามารถอัลกุราอาน ภาษาไทย ได้จากมัสยีสกลางกรุงเทพฯ ชุดเทปอัลกุรอาน ภาคภาษาไทยชุดละ 2500 ชุด CD ชุดละ 5000 ขอรับ) |
|
_________________ สังวรที่ตรัสไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน อชิตะ กระแส(ตัณหา) เหล่าใดในโลกมีอยู่ สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น http://bansadet.9f.com |
|
     |
 |
siamgirl
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 10
|
ตอบเมื่อ:
10 มี.ค.2008, 3:37 am |
  |
พุธศาสนาสามารถพิสูจน์ได้ค่ะ หมายถึงหลักคำสอนของพระพุธองค์ค่ะ  |
|
|
|
   |
 |
sittidet
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 เม.ย.2008, 7:38 pm |
  |
ต่างกันที่แนวทางเฉยๆเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีจุดหมายเดียวกันครับ แต่จุดเด่นชัดของศาสนาพุทธคือเรื่องอนัตตาครับ เราอย่ามองศาสนาอื่นในมุมของชาวพุทธเลยมีแต่จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ศาสนาคริสต์คำสอนสูงสุดคือ ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ของพุทธคือไม่เห็นแก่ตัวมันต่างกันมากไหมครับ ยิ่งเราเปรียบเทียบยิ่งเห็นข้อแตกต่าง ยิ่งมีข้อแตกต่างมากยิ่งเกิดความแตกแยกมากไม่มีประโยชน์ ถ้าเรายังไม่เคยเข้าไปเรียนรู้ให้ถึงที่สุดอย่าว่าว่าของเราดีที่สุด แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ในอนาคตข้างหน้าครูอย่างเราย่อมมีขึ้นได้ ผมอยากให้เราทำความเข้าใจระหว่างศาสนามากกว่าครับมีประโยชน์มากกว่า สาธุครับ |
|
_________________ ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก |
|
  |
 |
มรรคคา
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
|
ตอบเมื่อ:
10 เม.ย.2008, 12:36 am |
  |
เพราะว่าอาศัย[size=18] ศรัทธา [/sizeในเบื้องต้น
เพื่อเกิด ปัญญา ในบั้นปลาย
ไม่ต้องตายก็สามารถรับรู้ได้ |
|
_________________ มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
10 เม.ย.2008, 5:00 pm |
  |
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา (หมายเอาเฉพาะมนุษย์) ล้วนย่อมมีความแตกต่างจากกัน ไม่ว่าจะด้านร่างกายและจิตใจ แม้จะเกิดคลานตามกันออกมา ก็ยังมีความแตกต่างจากกัน อันได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม จารีตประเพณี การเรียนรู้ และอื่นๆ
ศาสนา ทุกศาสนา ก็คล้ายก้บมนุษย์ เพราะศาสนาถูกสร้างจากมนุษย์ ศาสนาแตกต่างกัน ด้วยเชื้อชาติ ภาษา ลักษณะภูมิประเทศ อากาศ การสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของสังคมแห่งศาสนานั้นๆ
อย่าหลงคิดว่า ศาสนาพุทธดีกว่า ศาสนานั้น ศาสนาโน้น
ศาสนาทุกศาสนาดีเหมือนกัน สอนให้หลุดพ้นจากวัฎจักร เหมือนกัน มันต่างที่การใช้ภาษา อย่าคิดว่า ศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถทำให้ผู้ศรัทธาหลุดพ้นจากกิเลส ในทาง ที่เป็นจริงแล้ว ศาสนาใดใด ก็สามารถทำให้บุคคลผู้ศรัทธา หลุดพ้นจากกิเลสได้เช่นกัน มันขึ้นอยู่กับสมองสติปัญญา และความเข้าใจในคำสอน
อย่าหลงนะพวกคุณอย่าหลง |
|
|
|
  |
 |
manio
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 10 เม.ย. 2008
ตอบ: 16
|
ตอบเมื่อ:
10 เม.ย.2008, 11:52 pm |
  |
บางคนเท่าที่ผมรู้จัก ยังไม่มีการนับถือศาสนาเลยครับ เขาบอกว่าดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่เรา ถ้าเราทำดี เราก็จะได้ผลตอบเเทนในทางดี เช่น ถ้าเรายิ้มให้คนอื่น เขาก็จะยิ้มตอบ อะไรประมาณเนี่ย ผมเเปรไม่ค่อยชัด บางครั้งผมก็คิดเเบบเขาเหมือนกัน
ปล.ผมเชื่อคนง่ายอยู่เเล้วงัฟ |
|
_________________ วันนี้ วันไหน ก็เหมือนเดิม...^_^ |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
14 เม.ย.2008, 5:03 pm |
  |
manio พิมพ์ว่า: |
บางคนเท่าที่ผมรู้จัก ยังไม่มีการนับถือศาสนาเลยครับ เขาบอกว่าดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่เรา ถ้าเราทำดี เราก็จะได้ผลตอบเเทนในทางดี เช่น ถ้าเรายิ้มให้คนอื่น เขาก็จะยิ้มตอบ อะไรประมาณเนี่ย ผมเเปรไม่ค่อยชัด บางครั้งผมก็คิดเเบบเขาเหมือนกัน
ปล.ผมเชื่อคนง่ายอยู่เเล้วงัฟ |
ตอบ,,,,,
สังคมการเป็นอยู่ของมนุษย์ในปัจจุบัน ถูกอิทธิพล ของ เครื่องอุปโภค บริโภค และอื่นๆ เข้ามาทำให้เกิดความต้อง ตั้งแต่ยังเยาวัย ทำให้กลายเป็นสภาพสิ่งแวดล้อม ที่บังคับให้สภาพสภาวะจิตใจไม่ได้คิดถึงศีลธรรมของศาสนา
คิดถึงแต่หนทางที่จะได้มาซึ่งเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ โดยเฉพาะ "เงิน"
ดังนั้นสาเหตุนี้ จึงทำให้มนุษย์ เข้าใจผิดคิดว่า ศีลธรรมในศาสนา ไม่สามารถช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ รอดพ้นจากความอยากได้
ไม่เหมือน เงิน เพราะถ้ามีเงิน อยากได้อะไรก็ได้
แต่ถ้าหากเขามีเงิน แล้วเขาไม่มีศีลธรรมในจิตใจ ถึงตอนนั้น เขาเสียใจรู้สึกตัวก็เมื่อสายไปซะแล้ว
เพราะศีลธรรมในศาสนานั้น แท้จริงแล้ว เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเขา อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขณะที่เขาต้องการเงิน นั้นหมายถึง เขากำลังมี "เมตตา กรุณา" ต่อตัวเอง อย่างนี้เป็นต้น
แต่เมื่อเขาไม่ได้ศึกษา ศีลธรรมในทางศาสนา เขาก็ไม่รู้ต่ออีกว่า เมื่อมี "เมตตา กรุณา "แล้ว ก็ต้องมี "มุทิตา และ อุเบกขา" ด้วย จึงจะช่วยทำให้เขาไม่เกิดความโลภ จนเกินเหตุ ไม่เกิดความหลงจนเกินเหตุ
อีกทั้งเมื่อมีเงินแล้ว หากเขาได้เล่าเรียนศึกษาศีลธรรมทางศาสนา ในข้อ อิทธิบาทสี่บ้าง หรืออื่นๆอีกหลายข้อ เขาก็จะรู้จักใช้จ่าย รู้จักความพอเพียง ในการใช้ชีวิต ดำเนินชีวิต
เมื่อหลายๆท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ก็อย่าสงสัย ว่า อิทธิบาทสี่ จะสามารถช่วยรักษาทรัพย์ที่หามาได้ มิให้เสื่อมถอยได้อย่างไร
ไปพิจารณาดูเถิด |
|
|
|
  |
 |
montasavi
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2008, 4:14 pm |
  |
ผมจะแสดงให้เห็นเหตุผลที่ว่า ทำไมสิ่งที่คริสเตียนเชื่อ กับ พุทธศาสนาถึงแตกต่างกันแบบว่า...โดยสิ้นเชิง...นะครับ
สิ่งที่คริสเตียนเชื่อคือ (จะว่ากันตามเหตุและผล เป็นเรื่องเป็นราว) พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆและที่พระองค์ให้ความสำคัญก็คือการสร้าง"ชีวิต" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างมาอย่างดี และทรงเห็นว่าดีนัก
แล้วที่สุดของการทรงสร้างก็คือ "มนุษย์" แต่มนุษย์ได้ทำชั่วช้าในสายพระเนตรของพระเจ้า และเพราะตัวของมนุษย์เองได้เปลี่ยนจากชีวิตซึ่งเคยเป็น"สิ่งที่สวยงาม"กลายเป็น"คำสาปแช่ง"
และเพราะคำสาปแช่งนี้เอง ความตายจึงได้มาเยือน เพราะมนุษย์นั้นเป็นคนเลือกเอง แต่พระเจ้าผู้รักมนุษย์ ไม่ต้องการเช่นนั้น (หากไม่เข้าใจต้องไปศึกษาความรักใหม่นะครับ) พระองค์จึงได้ลงมา "ตาย" เพราะความบาปของมนุษย์เพียงหนเดียวพอ เพื่อแก้คำสาปที่ว่า"เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย...."และล่วงไป 3 วัน พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย
(เอาล่ะไม่พูดมากเดี๋ยวหาว่าเชียร์...)
มาดูสิ่งที่พุทธศาสนาสอนกันนะครับ (จะว่าตามเหตุและผลเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน)ก็อย่างที่ว่ากันว่า ไม่ใช่ว่าพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธพระเจ้า เพราะเค้าก็มีพระเจ้าเหมือนกัน แต่พระเจ้าในความเข้าใจของเค้าคือ "กฎแห่งธรรมชาติ" และเมื่อมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ (ผู้ได้สร้างธรรมชาติ)
เมื่อนั่งคิดใคร่ครวญ ใตร่ตรอง ดูว่า"ชีวิตเกิดมาทำไม?" ก็จึงพยายามหาสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด
และได้สังเกตุจากชีวิตของคนต่างๆรอบข้าง ซึ่งมีแต่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย(แต่เชื่อได้เลยครับว่าคนเหล่านั้นก็ไม่รู้จักพระเจ้าผู้เที่ยงแท้) จนในที่สุดทฤษฎีที่สมเหตุสมผลก็ได้เกิดขึ้น คือ"อริยสัจ 4" ซึ่งได้รวบรวมเอาเหตุการณ์ที่เป็นสัจธรรมของมนุษย์ ทั้ง 4 อย่างมาอธิบายตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดจึงได้รับรู้คำตอบที่ว่า"ชีวิตเกิดมาทำไม?" คำตอบก็คือ"เกิดมาใช้กรรม"นั้นเอง และเหตุนี้เอง เพราะเค้าเชื่อว่า"ชีวิต" คือสิ่งที่วนเวียนไปมาเหมือนวงกลม จึงได้หาทางที่จะออกจากวงเวียนนี้ โดยการเข้าสู่"นิพพาน"
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ "การดับชีวิต" ไปสู่ความว่างเปล่าไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
และนี้แหละครับคือความขัดแย้งกันทางความเชื่อที่คริสเตียนและพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถจะเข้าใจกันได้ เพราะฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าจะต้องดับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตคือการเริ่มต้นและพระเจ้าทรงเห็นว่าดีนัก
และฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตเป็นวงกลม แต่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตคือเส้นตรง
โพสต์ ความคิดเห็นโดย ด๋อยไอซ์ / 18 เม.ย. 51 เวลา 23:37:17
โพสต์แก้โดย ข้าพเจ้าเอง.. ดังนี้
" เส้นตรง" ที่คุณเห็นคืออะไร รู้มั๊ย...
ศาสนาคริสต์มองชีวิตว่าเป็นเส้นตรง ..ก็เหมือนกับเรามองด้วยตาเปล่าว่า "โลกแบน" นั่นแหละ...
ฉะนั้น..สาเหตุที่พุทธ กับคริสต์มองชีวิต แตกต่างกันถึงเพียงนี้....ก็เพราะศักยภาพในการมองเห็นความจริงมีไม่เท่ากันนั่นเอง...ละครับ
....เส้นตรงที่ศาสนาคริสต์มองเห็น....นั่นก็คือองค์ประกอบเล็ก ๆ ของวงกลมขนาดใหญ่..นั่นเอง
ก็เหมือนกับเราเห็นด้วยตาเปล่าว่าโลกแบน....แต่โดยความเป็นจริงแล้ว โลกแบนที่เราเห็นนั้น..เป็นเพียงส่วนเล็ก..ๆ ของโลกขนานใหญ่ที่กลมนั่นเอง
ดังที่ผมอธิบายมานี้...ก็น่าจะพอทราบแล้วนะครับว่า....คุณกำลังอยู่ในส่วนไหน..ของความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นะครับ....
.....ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่คุณรู้มันผิด นะครับ....เพราะมองด้วยสายตายแล้ว...มองอย่างไร? โลกก็ยังแบนอยู่ดี... แม้จะมีผู้รู้มายืนยันว่าโลกกลมก็ตาม???????
สาธุครับ...
ขอย้ำให้เขาใจอีกทีครับ... และคำว่า โลกกลม ในที่นี้ ไม่เกี่ยวกับท่านโป๊ปอะไรนั่นหรอกนะครับ
..เป็นเพียงอุปมาให้เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธ กับคริสต์ ให้เห็นความแตกต่างงายขึ้นเท่านั้นเองครับ....
..................ลองพิจารณาอรรถแห่งอุปมาให้ดีนะครับ...
ศาสนาคริสต์มองชีวิตว่าเป็นเส้นตรง ..ก็เหมือนกับเรามองด้วยตาเปล่าว่า "โลกแบน" นั่นแหละ...
ฉะนั้น..สาเหตุที่พุทธ กับคริสต์มองชีวิต แตกต่างกันถึงเพียงนี้....ก็เพราะศักยภาพในการมองเห็นความจริงมีไม่เท่ากันนั่นเอง...ละครับ
....เส้นตรงที่ศาสนาคริสต์มองเห็น....นั่นก็คือองค์ประกอบเล็ก ๆ ของวงกลมขนาดใหญ่..นั่นเอง
ก็เหมือนกับเราเห็นด้วยตาเปล่าว่าโลกแบน....แต่โดยความเป็นจริงแล้ว โลกแบนที่เราเห็นนั้น..เป็นเพียงส่วนเล็ก..ๆ ของโลกขนานใหญ่ที่กลมนั่นเอง
ดังที่ผมอธิบายมานี้...ก็น่าจะพอทราบแล้วนะครับว่า....ศาสนาคริสต์อยู่ในส่วนไหน..ของความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นะครับ....
.....ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่คุณรู้มันผิด นะครับ....เพราะมองด้วยสายตายแล้ว...มองอย่างไร? โลกก็ยังแบนอยู่ดี... แม้จะมีผู้รู้มายืนยันว่าโลกกลมก็ตาม??????? |
|
|
|
   |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2008, 10:02 pm |
  |
ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนพุทธ+คนไทย ใต้ร่มพระบารมีแห่ง
องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
|