ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
03 เม.ย.2008, 7:49 pm |
  |
วิธีแก้ความอิจฉา
ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่อยากที่จะสอนหรือแนะนำเกี่ยวกับหลักการทางศาสนา เพราะต้องการพิสูจน์ในบางเรื่องบางอย่าง
แต่เห็นว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้สร้างสรรค์ และเข้าได้กับแนวทางศาสนาได้หลายๆอย่าง เช่น การครองเรือน การให้ทาน การรู้คุณ การพูด อาชีพต่างๆ การประพฤติ การคิด และการนึกถึงอดีต
อันธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์ นั้น (ในที่นี้หมายเอาสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้นะ) ล้วนมีความคิดที่ไม่อิจฉา ไม่ริษยา อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพราะทุกคนล้วนครองเรือนเป็น ลูก บ้าง เป็น พี่ บ้าง เป็นน้องบ้าง เป็น พ่อ เป็นแม่บ้าง ฯลฯ ด้วยการครองเรือน ที่ได้กล่าวไป ทำให้สภาพจิตใจของมนุษย์ ไม่มีความอิจฉา แต่มีสภาพสภาวะจิตชนิดหนึ่ง ในทางศาสนา เรียกว่า "เมตตา ,กรุณา,มุทิตา,อุเบกขา" หรืออื่นๆในทางศาสนาต่างๆกันไป ซึ่ง สภาพสภาวะจิตใจในมนุษย์ทุกคนนั้น มีอยู่แล้วจากการได้รับการขัดเกลาทางสังคม ขัดเกลาจากสิ่งแวดล้อม ทางศาสนา วัฒนธรรม จารีตประเพณี และอื่นๆ
ดังนั้น หากบุคคลใดใด ต้องการที่จะมีสภาพจิตใจที่ไม่คิดอิจฉาริษยาผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม ก็ย่อมต้องรู้จักคิดถึงสภาพการครองเรือนของตัวเองเป็นหลัก อีกทั้งยังต้องรู้คูณของความอิจฉาริษยาว่า ไม่ใช่เป็นคุณแต่มีแต่โทษ ถึงแม้ว่า บางครั้ง บางเรื่อง ความอิจฉาในทางละเอียดอ่อนนั้น จะสร้างความพยายาม สร้างแรงใจและกำลังใจ แต่ก็เป็นความพยายาม แรงใจ และกำลังใจ ที่อาจนำพาตัวเองให้เกิดความลำบากกาย ลำบากใจโดยไม่รู้ตัว บางคนอาจไปเป็นหนี้ มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก็เพราะความอิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา อย่างนี้เป็นต้น
แต่ถ้าหากทุกคน รู้จัก และระลึกนึกได้ว่า ตัวเองครองเรือนเป็นอะไร ความคิดที่จะอิจฉาริษยานั้น ก็จะทุเลาเบาบางลง หรืออาจไม่เกิดขึ้นอีกเลย เพราะความคิดที่เกิดจากการเข้าใจในการครองเรือนนั้น หรือความเข้าใจในการให้ทาน ในการรู้คุณ ในการพูดหรือฟัง มีความเข้าใจในการประกอบอาชีพต่างๆ มีความเข้าใจในการประพฤติในอาชีพฯลฯ และมีความเข้าใจในการคิด ในการระลึกนึกถึง ตามสภาพการครองเรือน ย่อมจะขจัดอาสวะเหล่านั้นให้สิ้นไป เหตุเพราะ มนุษย์มีสภาพสภาวะจิตใจแห่งความเป็นพรหมหรือความเป็นพระเจ้า หรือผู้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ในทางศาสนาต่างๆ ล้วนมีอยู่ในตัวทั่วทุกคนอยู่แล้ว คือมีสภาพสภาวะจิตใจ ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น |
|
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
04 เม.ย.2008, 7:07 pm |
  |
ง่ายนิดเดียว ก็อย่าอิจฉาซะสิ |
|
|
|
  |
 |
มัทนา ณ หิมะวัน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 27 ก.ย. 2007
ตอบ: 34
|
ตอบเมื่อ:
05 เม.ย.2008, 1:40 am |
  |
แก้โดยฝึกหัดชื่นชมยินดี....
ในความดี
ในความสุข
ในความสำเร็จ
ของผู้อื่นบ่อยๆ...
การหมั่นอนุโมทนาบุญก็นับเป็นอาหารเสริมขนานหนึ่ง
ที่ช่วยให้ "มุทิตาจิต" เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปได้...นะจาบอกให้  |
|
|
|
  |
 |
ratchadapa
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
05 เม.ย.2008, 3:46 pm |
  |
ท่านพุทธทาสท่านว่า โลกนี้ไม่มีอะไรน่าเป็น ไม่มีอะไรน่าเอา
แต่ละสิ่งที่ใครเป็น"อะไร" มี"อะไร" อยู่นั้นล้วนเจือด้วยทุกข์ทั้งสิ้น
ไม่รู้จะอิจฉาไปทำไม ทุกข์ทั้งนั้น
 |
|
_________________ พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
11 เม.ย.2008, 8:10 pm |
  |
เสียดายที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าพเจ้าจะฝากถามว่า
การฉันอาหาร เป็นทุกข์ด้วยไหมพระคุณเจ้า กินอาหารจนอ้วนฉุเป็นทุกข์หรือไม่พระคุณเจ้า
เวลาหลับตา เป็นทุกข์หรือเปล่าพระคุณเจ้า
เวลาลืมตา เป็นทุกข์หรือเปล่าพระคุณเจ้า ฯลฯ
ไหนลูกศิษย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ ลองตอบหน่อยซิ
แต่ข้าพเจ้าว่า คงไม่รู้ดอกนะ เพราะคำว่าทุกข์ ในทางศาสนานั้น มันลึกซึ้งซะจนคนธรรมดา ไม่เข้าใจดอกขอรับ |
|
|
|
  |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
12 เม.ย.2008, 11:38 pm |
  |
ก็เกิดมา เป็นทุกข์อยู่แล้ว เรียนรู้อยู่กับทุกข์ ในขันธ์ 5 จนกว่าชีวิตจะสิ้นไป...
การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่ใช่ตัวกูของกู ก็จะช่วยลด
ความอิจฉาลงไปได้...  |
|
|
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
14 เม.ย.2008, 5:08 pm |
  |
Story Note พิมพ์ว่า: |
ก็เกิดมา เป็นทุกข์อยู่แล้ว เรียนรู้อยู่กับทุกข์ ในขันธ์ 5 จนกว่าชีวิตจะสิ้นไป...
การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่ใช่ตัวกูของกู ก็จะช่วยลด
ความอิจฉาลงไปได้...  |
ตอบ,,,,
สิ่งที่คุณกล่าวมานั้น มันขัดกัน นะคุณ
ทำไมข้าพเจ้าจึงบอกว่า ขัดกัน ที่กล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่า คุณให้เรียนรู้กับทุกข์ในขันธ์ 5
แต่คุณ กลับบอกว่าให้ปล่อยวาง ไม่ใช่ตัวกูของกู
ข้าพเจ้าจะสอนคุณไว้นะ บุคคลที่สอนว่า ไม่ใช่ตัวกูของกูนั้น เป็นบุคคลที่รู้ไม่จริง รู้ไม่แจ้ง ไม่เข้าใจ ในธรรมชาติของมนุษย์
คุณลองไปถามคนที่สอนคุณมาซิว่า ไอ้ที่ว่า ไม่ใช่ตัวกูของกู เขารับประทานอาหารไหม
ถ้าเขารับประทานอาหาร ลองถามเขาซิว่า เขารับประทานอาหารเพื่อใคร
ถามแค่นี้แหละ และให้เขาตอบสั้นๆ ไม่ต้องสาธยายยกเมฆ ว่า เขารับประทานอาหารทุกมื้อ เพื่อใคร |
|
|
|
  |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
15 เม.ย.2008, 1:36 pm |
  |
ขอบคุณที่ชี้แนะ..
และขออภัย.. หากคุณยังคิดว่า มีตัวกู ของกู อยู่... |
|
|
|
  |
 |
Inborn
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2008
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม
|
ตอบเมื่อ:
16 เม.ย.2008, 7:33 pm |
  |
......
......สวัสดีครับ ท่านbudda. ผมได้อ่านกระทู้ของท่านแล้ว มันมีความงุนงงมากครับ
...คือว่า อ่านไปแรกๆนั้นก็มีความรู้สึกที่ดีและเข้าใจดีอยู่หรอกครับ แต่พออ่านๆไปตอนหลังๆ ชัก
...เริ่มเพี้ยน (หรือผมอาจจะยังโง่อยู่มั๊ง) ที่อยู่ๆท่านก็ไปเอาท่านพุทธทาสภิกขุมาเกี่ยวข้องทำไมไม่
...ทราบครับ และท่านใช้คำพูดที่ออกจะรู้สึกว่าปรามาสท่านมากๆ ผมเห็นว่าเป็นการไม่สมควร-
...อย่างยิ่งครับ ที่ท่านไปจาบจ้วงเช่นนั้น....ผมขอบอกว่าผมไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านโดย
...ตรง แต่ในฐานะที่ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ผมต้องออกมาปกป้องพระรัตนตรัย พระพุทธ พระ
...พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทั่วไปมีความศรัทธา เคารพ ไม่ให้ใครมาย่ำยีดูถูก
...พระศาสนาได้ ผมเป็นคนไทย100% (ไม่ใช่เป็นแค่ในทะเบียน) แต่ก็ไม่เคยดูถูกศาสนาอื่นและ
...ศึกษาศาสนาอื่นๆดูเหมือนกันก็เห็นว่ามีความมุ่งหมายและจุดประสงค์ล้วนแต่ให้ทุกคนมุ่งทำแต่
...ความดีกันทั้งนั้น ...ส่วนวิธีการก็แล้วแต่ละศาสนาจะปฏิบัติกันไปตามรูปแบบของใครของมัน
........................การแก้ความอิจฉาริษยา นั้น แก้ไม่ยากหรอกครับพราะมันเป็นเรื่องของนิสัยของ
...จิตที่ฝึกกันได้ (จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง)แปลว่า จิตที่ฝึกดีแล้วนั้น นำสุขมาให้เพียงแต่ว่าเราจะ
...ฝึกมันหรือจะปล่อยมันเท่านั้นองครับ แต่ถ้าเป็นสันดาน (inborn)มันอยู่ลึกต้องใช้เวลาและ
...ความอดทนหน่อย แต่ก็ไม่ยากถ้าเราจะฝึกมันเพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นกิเลสทั้งนั้น
การเป็นหนี้เป็นสินของคนเรานั้นก็มีจากหลายสาเหตู เป็นเพราะเป็นมรดกตกทอด
...มาก็มี เช่นสามีไปกู้หนี้ยืมสินไว้แล้วตายไปลูกเมียต้องมารับใช้แทนโดยที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อไว้
...เป็นเพราะความกตัญญูที่ต้องไปกู้มารักษาอาการเจ็บป่วยของพ่อแม่ลูกเมียหรือสามีก็มีเป็น
...เพราะไปรับรองรับประกันให้เขาก็มีอะไรต่างๆ (มีต่อ) |
|
_________________ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง คงแต่บาปบุญยังเที่ยงแท้
สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา |
|
  |
 |
มรรคคา
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
|
ตอบเมื่อ:
16 เม.ย.2008, 10:30 pm |
  |
วิธีแก้ความอิจฉาก็คือ
การเจริญพรหมวิหาร ๔
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา |
|
_________________ มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก |
|
  |
 |
Inborn
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2008
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม
|
ตอบเมื่อ:
17 เม.ย.2008, 11:22 am |
  |
.....(ต่อครับ) ท่าน buddha. ครับ คงจะไม่มีใครอยากจะไปเป็นหนี้เป็นสินเพราะความอิจฉาริษยากันหรอกครับ แต่ถึงจะมีก็คงจะบางคนหรือน้อยนิดมากเท่านั้นหรอกครับ
.......ท่านครับ ที่ท่านถามมานั้นน่ะท่านถามเพราะอยากรู้ว่าผู้ตอบมีภูมิธรรมความรู้แค่ไหนหรือเปล่าครับ ผมไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้สอบภูมิธรรมหรือเปล่า?...ถ้าเป็นผมก็ต้องกราบขออภัยด้วยครับ แต่ถ้าไม่ได้เป็นทำไมท่านใช้คำถามที่ผมรู้สึกว่า มันดูถูกและสบประมาทกันเกินไปนะครับ คือคำถามอย่างนี้เด็กๆหรือผู้ที่ไม่มีความรู้ทางภูมิธรรมอะไรก็ตอบได้ครับและไม่ต้องเป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาสก็คิดว่าตอบได้ครับผม...คือ คำว่าทุกข์นั้น แปลว่า ทนไม่ได้ ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ไม่จีรังยั่งยืน ต้องแปรเปลี่ยนไป เป็นอนิจจัง...
.......เช่นร่างกายต้องการอาหารก็ต้องกิน ไม่กินก็เป็นทุกข์ เพราะทนไม่ได้ มันหิว..
.......กินอาหารแล้วเมื่ออิ่มก็ต้องหยุดต้องพอเพราะร่างกายไม่ต้องการแล้ว...
.......ถ้าลืมตาแล้วก็ไม่สามารถลืมได้ตลลอดไปก็ต้องหลับตาพักผ่อนเพราะง่วงแสบตาทนไม่ไหว
......หลับตาแล้วก็ไม่สามารถหลับได้ตลอดไปเพราะมันหายง่วงหายแสบตาแล้วและต้องการมอง
......หายใจเข้าแล้วไม่ปล่อยลมออกก็อึดอัดทนไม่ได้ก็ต้องปล่อยลมออก
......ปล่อยลมออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ไม่ได้เพราะร่างกายต้องการอากาศมันจะตายเอา
......ยืนนานๆมันเมื่อยทนไม่ได้ก็ต้องนั่งหรือนอนจะไปบังคับมันไม่ให้ไม่เมื่อยไม่ได้ ฯลฯ
............อะไรเหล่านี้เป็นต้น ผมเองเป็นแค่สัมมาชนธรรมดา ไม่ได้หวังสูงถึงอริยะบุคคลหรือพระ
.......อรหันต์ ก็พอรู้ครับ เพราะการจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นมัน
......ก็ยังแสนจะยากอยู่เลยครับ...
........................ผมขอกราบเรียนว่า ข้อความที่ผมพิมพ์ออกมานี้ไม่ได้ออกมาด้วยความโกรธหรือ
.....เกลียดหรือมีอคติต่อผู้ใดทั้งสิ้นครับ หากทำให้ท่านผู้ใดขุ่นข้องหมองใจอย่างไร ผมขอกราบ
.....ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม จุดประสงค์ก็เพื่อจะปกป้องพระรัตนตรัยไว้เท่านั้นครับไม่มีอะไร
.....เป็นอย่างอื่น หากมีสิ่งใดจะแนะนำสอนสั่งท้วงติงยินดีน้อมรับด้วยความเต็มใจครับผม.....
ขอเจริญในธรรมครับ...  |
|
_________________ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง คงแต่บาปบุญยังเที่ยงแท้
สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา |
|
  |
 |
มรรคคา
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
|
ตอบเมื่อ:
17 เม.ย.2008, 10:33 pm |
  |
ตามธรรมชาติของจิตแล้วเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา หรือธรรมอื่นๆ ก็เป็นอื่นจากจิตเรา ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ที่คนเราเห็นว่าโลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา หรือธรรมอื่นๆเป็นเรา ประกอบร่วมด้วยจนเป็นเรา ก็เพราะว่าเรามีอุปาทานในสิ่งเหล่านั้น
คนเรามีสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา เพราะว่าเราใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ เราให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้
เราไม่มีสติที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตจากใจเรา เราก็เลยต้องเป็นทุกข์เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
แต่ถ้าพิจารณาให้ดีด้วยวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความเกลียด ความโลภ ความโกรธ ความหลง อิจฉา ริษยา หรืออื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นอื่นจากจิตจากใจเรา เพราะสิ่งต่างๆที่กล่าวมาแล้วสามารภถูกรู้ได้ ยามที่เราโกรธ หรือ รัก หรือ เกลียด หรืออิจฉา ริษยา
เราก็สามารถที่จะเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ เมื่อเห็นสิ่งต่างๆเหล่านั้นแล้วก็เฝ้าดูว่ามันจะดับไปเมื่อไหร่
เมื่อตามเห็นสิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดดับบ่อยๆเข้า จิตเราก็จะรู้ว่าทั้งหลายเหล่านี้ก็แค่หนึ่งในธรรมที่ต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เมื่อเหตุและปัจจัยหมดไป หาสาระและแก่นสารไม่ได้
เมื่อพิจารณาเห็นธรรมเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงไปเป็นธรรมดา เราก็ไม่ต้องทำอะไรในยามที่มันเกิดขึ้น เราแค่เฝ้าดูว่ามันจะดับเมื่อไหร่เท่านั้น แล้วก็จะรู้ว่าเมื่อจิตเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้นั้นเเป็นอย่างไร เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นอื่นจากจิตแล้วก็ให้เจริญ พรหมวิหาร ๔ อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้มากๆแล้วจะเป็นสุขกับจิตที่สงบปราศจากอิจฉา ริษยา อันเป็นของร้อน
ถ้าทำได้แล้วจิตเราก็จะเป็นจิตที่มีความสุขกับการให้ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆทั้งนั้น |
|
_________________ มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก |
|
  |
 |
Inborn
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2008
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม
|
ตอบเมื่อ:
18 เม.ย.2008, 10:37 am |
  |
...ขออนุโมทนา...สาธุ ครับ...
* โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ *
" เปล่งวาจางามย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ "...พุทธภาษิต. |
|
_________________ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง คงแต่บาปบุญยังเที่ยงแท้
สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
14 ส.ค. 2008, 1:12 am |
  |
เจริญในธรรม ค่ะคุณ Inborn สาธุ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|