Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ภาวนาก็คือการฝึกสติ (พระมหาวิบูลย์ พุทฺธญาโณ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 5:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนที่ไม่มีความสุข หรือสุขภาพไม่ดี คือคนที่มีใจไม่มั่นคง ใจฟุ้งซ่าน คนที่คิดมาก คนที่มีอะไรคิดมากจะหวั่นไหวง่าย เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลับเอามาคิด คนที่ใจไม่มั่นคง ท่านเปรียบเสมือนกับต้นสน ต้นสนนี้ลมกระดิกนิดเดียวใบก็ไหวระริก ๆ แล้ว หรือเหมือนกับต้นอ้อ เวลา
ถูกลมพัดก็ไหวไปตามลม


ภาวนาก็คือการฝึกสติ

ขอเจริญพรญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน

ต่อไปขอให้ตั้งใจเจริญภาวนากัน ตามวิธีของอาตมาที่ได้ไปนำภาวนาในสถานที่ต่าง ๆ เบื้องต้น ก็อยากจะให้ทุกคนได้แผ่เมตตาให้กับตนเองก่อน และวิธีแผ่เมตตาให้กับตนเองนี้ ก็ให้ส่งใจไปตามคำแผ่ด้วย ถ้าหากว่าส่งใจไปตามคำแผ่ได้ดังที่กล่าว จิตของเราก็จะดำเนินไปได้ถึงปฐมฌาณ อันหมายความว่า ผู้ที่ทำจิตใจได้อย่างนั้นจะมีเมตตาพรหมวิหาร มีกรุณาพรหมวิหาร มีมุทิตาพรหมวิหาร และมีอุเบกขาพรหมวิหาร ซึ่งอาตมาจะได้นำกล่าวต่อไป ขอให้ตั้งใจ และก็ส่งใจไปตามการแผ่เมตตาพร้อมกัน

อหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขเถิด
อหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความทุกข์
อหัง อเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากเวร
อหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความอาฆาต
พยาบาท
อหัง อนีโฆ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความทุกข์
กายทุกข์ใจ
อหัง สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ ขอให้ข้าพเจ้า จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด


อหัง สัพพะทุกขา ปะมุจจามิ ขอให้ข้าพเจ้าจงพ้นจากทุกข์ทั้ง
ปวง
อหัง ลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉามิ ขอให้ข้าพเจ้าจงอย่าพรากจาก
สมบัติอันตนได้แล้ว
อหัง กัมมัสสโกมหิ เรามีกรรมเป็นของของตน
กัมมทายาโท เรามีกรรมเป็นมรดก
กัมมโยนิ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด
กัมมพันธุ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง
กัมมปฏิสรโณ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กริสสามิ เราทำกรรมใดไว้
กัลยาณัง วา เป็นกรรมงามที่เป็นกุศลก็ตาม
ปาปกัง วา เป็นกรรมชั่วอกุศลก็ตาม
ตัสส ทายาโท ภวิสสามิ เราจักเป็นผู้รับมรดกของกรรมนั้น

ต่อไปก็ตั้งใจเจริญภาวนาสมาธิ พร้อมทั้งตั้งสติฟังคำบรรยายไปพร้อมกัน คือในการเจริญภาวนาสมาธิ ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น ก็คือเป็นการฝึกสติให้เกิดกับดับพร้อมกับจิตของเรานี้เอง คือจิตของเรานี้ถ้าหากไม่มีสติเป็นผู้กำกับ หรือไม่มีสติเป็นเครื่องคัดเลือกอารมณ์ที่จะให้ปรากฏกับจิต ก็มักจะไปได้อารมณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์คืออารมณ์ที่เป็นโทษ อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์ที่เป็นภัย อารมณ์ที่เป็นเวร หรือไม่ก็เป็นอารมณ์ที่สร้างความเศร้าโศกเสียใจอะไรต่าง ๆ ให้กับจิตของเราอยู่อย่างสม่ำเสมอ การฝึกภาวนานี้ก็หมายความถึงว่า การฝึกสติให้เกิดมีขึ้นกับจิตของเรา คือสติในการฝึกนี้มันก็มีอยู่ ๒ สติ คือ
(๑) สตินอกพุทธศาสนา ก็มีคนที่ฝึกได้ ทำได้เยอะ อย่างพวกฤาษีชีไพรในป่าในเขา หรือพวกที่เอาจิตที่มีสมาธิไปใช้ในทางที่ผิด เอาไปใช้ใน.เวทมนต์คาถา เอาไปใช้ในการทำลายล้างอะไรต่าง ๆ นานานี้ก็มี อันนี้เรียกว่าใช้สมาธิในทางที่ผิด อันนี้มีอยู่เท่าที่อาตมาเคยประสบและได้เห็นมา
(๒) สติในลักษณะที่เป็นสัมมาสติในองค์มรรค คือระลึกชอบในการที่จะทำจะพูดจะคิด คือหมายความถึงเวลาเราทำก็มีสติกำกับ อยู่ที่การทำ การทำงานทางกาย การพูดเราก็มีสติอยู่ที่การพูด คิดก็มีสติอยู่ด้วยการคิด คือให้มีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะที่เป็นปัจจุบัน อันนี้ก็เรียกว่าจิตของเราจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ คำว่าสมาธินี้ไม่ได้หมายความอะไรอย่างอื่น คือจิตของเรามั่นคงนั่นเอง

จิตเป็นสมาธิ คือจิตไม่หวั่นไหว ในขณะที่เราทำการงานทำหน้าที่อะไร จิตของเราจะอยู่ในงานในหน้าที่อันนั้นไม่หวั่นไหว เพราะอารมณ์ภายนอกมากระทบกระทั่ง เพราะในสังคมที่เราอยู่นั้น ก็มีสิ่งที่รบกวนจิตใจของเรามาก ฉะนั้น ผู้ที่มีจิตไม่เป็นสมาธิ ก็อาจจะทำงานไม่ดี หรือถ้าหากว่ารับอารมณ์เก็บอารมณ์ คือเก็บอารมณ์ประจำวันก็จะเก็บอารมณ์ที่ไม่ดี คือแทนที่อารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบกระทั่งประจำวันจะหมดไป ในขณะที่กระทบแต่กลับปรากฏอยู่ในความรู้สึกคือจิตใจของเรา เอาไปนอนทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องเดือดร้อน เป็นเรื่องไม่สบายใจอะไรทำนองนี้ อันนี้ก็เรียกว่าเก็บอารมณ์ไม่เป็น กลายเป็นจิตที่มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน มีความสับสนวุ่นวาย

อย่างที่อาตมาได้นำกล่าวให้แผ่เมตตาให้กับตนเองนั้น ก็หมายความว่า เรารักตน เมื่อเรารักตนแล้วสิ่งที่จะทำให้ตนเดือดร้อน ตนมีความทุกข์ ตนในที่นี้เป็นคำสมมุติคือเราอาจจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของร่างกายก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องของจิตใจก็ได้ แต่ตามภาษาธรรมะท่านว่าขันธ์ ๕ ทั้งหมด คือทั้งรูปทั้งนามนี้ คือถ้าหากว่าเรายังละตนไม่ได้ เราก็จะต้องเลือกตนในทางที่ถูกที่ดี หรือตนในทางที่มีประโยชน์ คือขันธ์ ๕ ก็มีรูปขันธ์ คือร่างกายทั้งหมด เวทนาก็หมายความถึงเวทนาขันธ์ คืออารมณ์ที่เป็นสุขเป็นทุกข์ และเฉยๆ อะไรทำนองนี้ สัญญาขันธ์ ตัวสัญญาขันธ์นี้สำคัญมาก หากว่าเราไม่มีสติในการเก็บ มันก็จะเก็บข้อมูลในทางที่เป็นทุกข์ไว้ทรมานความรู้สึกในจิตใจของเราตลอดเวลา เช่นพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์ ที่ท่านระลึกชาติได้เป็นร้อยชาติพันชาติแสนชาติ ก็เพราะสัญญาขันธ์อันนี้ เป็นตัวเก็บข้อมูลในภพในชาติต่างๆ ไว้อย่างสมบูรณ์ทุกแบบ หากว่าเราเจริญสมาธิจนจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ถูกอารมณ์รบกวนในปัจจุบัน ก็สามารถจะดูเรื่องราวความเป็นมาของจิตใจได้ทั้งในปัจจุบันทั้งอดีตที่ยาวนาน ได้อย่างตลอดปลอดโปร่ง อันนี้คือสัญญาขันธ์ เป็นที่เก็บข้อมูลต่างๆ ในภพในชาติ

เช่นบางคน ประเภทที่กลัวผี กลัวอะไรต่างๆ ภาวนาไปภาวนาไป พอมีอะไรทำให้เป็นเรื่องคล้ายจะมีผีหลอก หรือเป็นเรื่องน่ากลัวขึ้น ภาพต่างๆ ที่เราเก็บไว้ด้วยสัญญาอุปาทาน คือเราเก็บไว้ในจิตของเรานี่แหละ คือจิตของเราเป็นผู้เก็บภาพไว้ คือเวลาเรานึกกลัวผีเราก็สร้างภาพผีมาในลักษณะที่น่ากลัว คืออันนี้ก็มันไม่ใช่มาจากที่อื่น แต่มาจากจิตของเราเป็นผู้สร้างขึ้น สร้างภาพที่น่ากลัว สร้างภาพที่น่าเกลียด แล้วก็เก็บเอาไว้เป็นความรู้สึก มีอะไรมากระทบส่อแสดงให้เห็น หรือส่อแสดงไปในลักษณะที่จะเป็นเรื่องของผี ภาพที่เราเก็บไว้ก็จะลอยขึ้นมาในความรู้สึก ถ้าหากว่าผู้ที่ไม่มีสติชัด ก็จะเข้าใจว่าเรื่องหรือภพที่เห็นนั้นภาพที่มาจากภายนอก แต่จริงๆ แล้วก็มาจากสัญญาขันธ์ของเรานี้เอง อันนี้ก็เป็นเรื่องเตือนใจสำหรับผู้ที่ภาวนา คืออาจเห็นภาพโน้น อาจจะเห็นภาพนี้เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิพอสมควร บางท่านอาจเห็นเรื่องนั้นอาจเห็นเรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องที่เห็นนั้นให้มีสติ คือให้มีสติชัดๆ แล้วเพ่งดูว่า สิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องปัจจุบันหรือเป็นเรื่องอดีต โดยมากจะเป็นเรื่องอดีตเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่เราเก็บเอาไว้เป็นความรู้สึก มันจะเป็นเรื่องอดีตเสียเป็นส่วนมาก

สังขารขันธ์ ก็หมายความถึงว่า จิตที่ปรุงแต่งเกิดจากเวทนาบ้าง สัญญาบ้าง วิญญาณบ้าง ปรุงแต่งจิตของเราให้เป็นบุญบ้างบางครั้ง บางครั้งก็เป็นบาปบ้าง หรือบางครั้งเฉยๆ ยังไม่มั่นใจอะไรทำนองนี้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสังขารขันธ์ที่เรียกว่าเป็นรูปเป็นนาม วิญญาณขันธ์ ก็หมายถึงสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกต้องสัมผัส คือรู้อารมณ์ทางประสาทห้า แล้วก็จับเอาอารมณ์เหล่านี้ เอาไปไว้ในจิตอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า มโนวิญญาณ คือจับเอาตัวอารมณ์ที่ปราสาทได้รับรู้เอาไปไว้เป็นความรู้สึก นี่เรียกว่าเป็นมโนวิญญาณ

การภาวนาเราก็ต้องการที่จะให้รู้รูปรู้นาม คือพิจารณารูป พิจารณานามให้เห็นชัด คือให้เห็นว่า อะไรเป็นส่วนรูป อะไรเป็นส่วนนาม รูปนี่ก็ไม่ได้หมายรูปเฉพาะรูปหญิงรูปชาย ตนสัตว์เท่านั้น คือรูปทั้งหมดที่มีในโลกนี้เป็นรูปทั้งหมด จะเป็นบ้านช่องเรือนชานทรัพย์สินเงินทองอะไรต่างๆ ก็เป็นรูปทั้งนั้น แล้วรูปต่างๆ ถ้าหากว่าผู้เข้าไปเกี่ยวช้องหรือจิตเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยการขาดสติ หรือสติมีไม่เพียงพอ แทนที่จะได้ประโยชน์จากการเข้าไปเกี่ยวข้อง กลับจะได้รับความทุกข์ กลับจะได้รับความเดือดร้อน กลับจะได้รับสิ่งตอบสนองในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะถ้าหากว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะที่เรารู้เท่าทันรูปต่างๆ คือด้วยอำนาจของสติในองค์อริยมรรค เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในโลกนี้จะเป็นรูปก็ตาม จะเป็นนามก็ตามไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดความทุกข์ได้ ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องเข้าไปฝืนสภาพความเป็นจริงว่า ทุกอย่างจะต้องเที่ยง จะต้องเป็นไปตามความรู้สึกของเราอย่างนี้แม้แต่ร่างกายของเรา เราก็ไม่อยากจะให้มันแก่ ไม่อยากจะให้มันเจ็บ ไม่อยากจะให้มันตาย แต่ว่าสภาพจริงๆ แล้วร่างกายก็คือร่างกาย มันจะต้องเป็นไปตามสภาพ คือจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าหากว่าเราทำจิตจนบริสุทธิ์ เราเพ่งดูรูปของเราว่า รูปของเรามีอะไรบ้าง ท่านแยกอาการไว้ก็มี ๓๒ อาการ

คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปจนถึงมันสมอง แต่ถ้าเราเพ่งจนจิตของเราขาวบริสุทธิ์ อย่างที่ท่านว่าไว้ในโอวาทปาติโมกข์
ปภัสสรมิทัง จิตตัง คือจิตขาวรอบ ถ้าจิตของเราบริสุทธิ์ขาวรอบ เราเพ่งดูรูปขันธ์ทั้งหมดตรงไหนบ้างที่เป็นตัวของเรา จิตเพ่งดูแล้วมันไม่มี คือดูจริงๆ แล้ว จะมีสิ่งที่เรายึดเอาเป็นสิ่งสักอย่างหนึ่งก็ไม่มี คือจะเอาเป็นที่พึ่งไม่มีเลย เพราะชีวิตที่ภาษาแพทย์ปัจจุบันเขาเรียกว่าเซลล์บ้างอะไรบ้างนั้น ภาษาทางศาสนาเรียกว่า ชีวิตรูป ชีวิตรูปนี่หมายถึงอนูของชีวิตแต่ละอนู ที่ประกอบขึ้นเป็นรูปทั้งหมด คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่ตลอดเวลา มีปัจจัย ชีวิตนี้ก็ต้องแตกสลาย คือตายไปตามหน้าที่
ถ้าหากเราดูแล้วคือถ้าจิตของเราขาวบริสุทธิ์ ก็ดูตามความเป็นจริงอย่างนี้ เราจึงจะละนิวรณ์ได้ นิวรณ์ในข้อสุดท้ายคือวิจิกิจฉานิวรณ์ ถ้าหากว่าเราเห็นด้วยจิตของเราชัดๆ อย่างนี้ เห็นการทำหน้าที่ของชีวิตรูปแต่ละชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ชีวิตใหม่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เราเห็นชัดอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องสงสัยถึงคำว่า อนิจจัง คือความไม่เที่ยงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คือเราเห็นอย่างนี้เราก็ไม่ต้องไปถามใครว่าคำว่าไม่เที่ยงมันเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนี้ และอารมณ์ของเราแต่ละขณะที่เราคิดเรานึกก็เช่นเดียวกัน คือความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา เมื่อเราเพ่งดูจริงๆ เพ่งดูด้วยสติ คือมีสติชัดๆ แล้วเพ่งดูจะเห็นว่า มีบางอารมณ์ที่ทำให้จิตของเราเป็นทุกข์ เราก็ดูซิว่า ตัวอารมณ์ที่ทำให้จิตของเราเป็นทุกข์นั้นคืออะไร ทำไมจึงมีอิทธิพลต่อจิตของเรานัก เราก็เพ่งดู ก็จะเห็นว่ามีไม่กี่อย่าง ถ้าหากว่าจิตนั้นยังเป็นจิตในกามาวจรภูมิ ก็จะมีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง มีผัสสะ ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ทั้งสองส่วน ฝังอยู่ในความรู้สึกของจิตถ้าเราเพ่งดูเราก็จะเห็นชัด บางทีก็เป็นเรื่องของรูปบ้าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องรูปบ้าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องเสียงบ้าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องกลิ่นของรสต่างบ้างๆ คือเมื่อเห็นแล้วเราก็เพ่งพิจารณา ดูว่า รูปก็ดี รสก็ดี กลิ่นก็ดี เสียงก็ดี ผัสสะก็ดี เป็นของเที่ยงจริงไหม

ถ้าเราดูจริงๆ เราก็จะเห็นว่า จริงๆแล้วจิตของเรามันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ประเดี๋ยวเฉยๆ เพียงชั่วโมงหนึ่งนี้นี่มันทุกข์ไม่รู้จักเท่าไหร่ สุขที่เกิดกับจิตของเราก็มาก ทุกข์ที่เกิดกับจิตของเราก็มาก หรือบางครั้งก็เฉยๆ อะไรทำนองนี้ อันนี้ถ้าเราดูแล้วเราก็จะเห็น จะรู้ชัดว่า อารมณ์ต่างๆนั้นมันไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงแล้ว ควรไหมที่เราจะเข้าไปยึดถือจนเกิดเป็นความทุกข์ขึ้น ควรไหมที่เราจะเอามาเป็นเรื่องเดือดร้อนทำให้จิตของเราหมดสภาพที่เป็นตัวของตัวเอง นี้ก็คือตกเป็นทาสนั่นเอง เป็นทาสของอารมณ์ สิ่งใดชอบใจ จิตของเราตกไปเป็นทาส สิ่งใดไม่ชอบใจ จิตของเรากลายเป็นเรื่องหงุดหงิด อยากจะให้มีอันเป็นไปในลักษณะที่เราต้องการ เป็นฝ่ายของโทสะ ทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องของความทุกข์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน คือเรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ เห็นทุกข์ได้ง่าย

แต่เรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ นั้นเห็นยากหน่อย คือถ้าไม่มีสติชัดๆ แล้วก็เห็นยาก คือเอาแค่รูปร่างกายของเรา ถ้าร่างกายไม่มีโรค ไม่มีภัย ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเดือดร้อนใจเราชอบใจ แต่ร่างกายของเรามันจะต้องมีโรค มีภัย จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปตามหน้าที่ อันนี้ ถ้าหากเราดูสิ่งที่เราชอบใจที่สุด คือชีวิตของเรายังเป็นอย่างนี้ แล้วสิ่งต่างๆ ที่มีในโลกนี้ ก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเราเพ่งพิจารณาให้ชัดเจน เราจะได้เข้าใกล้องค์มรรคขึ้น คือมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เห็นถูกต้อง เห็นทุกข์เป็นทุกข์ ไม่ใช่เห็นทุกข์เป็นสุขอะไรทำนองนั้น

คือที่ท่านให้ฝึกในการภาวนา เช่นฝึก พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก พุท หายใจเข้า โธหายใจออก ก็เพื่อจะฝึกจิต หรือเวลาเดินก็ให้มีสติในการเดิน คือก้าวเท้าขวาก้าวเท้าซ้ายก็ให้มีสติ กำหนดในการเดิน แล้วเมื่อมีสติกำกับอยู่ที่กาย เราก็จะเห็นชัด คือเราจะรู้ชัดว่าทำไมท่านสอนให้เดินจงกรม ทำไมสอนให้นั่งภาวนาจะทำกิจกรรมงานอะไร ทำไมท่านสอนให้มีสติอยู่ที่งานนั้น อันนี้ถ้าหากว่าเราทำไปๆ เราจะได้เห็นอริยสัจสี่ในข้อต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อริยสัจข้อต้นก็คือ
ทุกขสัจ ทุกข์ที่มีประจำวันประจำชีวิตของเรา เราไม่ค่อยได้ดู บางทีมีปัญหาอะไรเราก็โทษสิ่งโน้นสิ่งนี้ โทษนั่นโทษนี่อย่างที่อาตมาได้พาแผ่เมตตาในเบื้องต้นจริงๆ แล้วถ้าหากสติของเราอยู่กับตัวของเรา อย่างโยมนั่งนานๆ ประเดี๋ยวมันก็ทุกข์แล้ว นั่งข้างซ้ายมันก็ทุกข์ข้างซ้าย ถ้านั่งนานๆ ความทุกข์มันก็เกิดขึ้น แล้วเราก็โกหกจิตของเรา โกหกตัวเองว่า สุขอยู่ข้างขวา พลิกมาข้างขวาพอนั่งนานๆ ความสุขข้างขวาหมดไป กลายเป็นทนนั่งไม่ไหว ต้องลุกไปเดิน คิดว่าความสุขอยู่ที่การเดิน เดินนานๆ มันก็ทุกข์ เลยเข้าใจว่าไปนอนเสียจะสบาย นอนนานมันก็ทุกข์ อันนี้แหละความทุกข์ที่มีประจำชีวิตของเรา เราไม่ได้ดู คือถ้าหากว่าเรามีสติในการเดินจงกรมในการนั่งภาวนา พอเกิดเมื่อยขึ้นเราก็ดูที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป นอกจากทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไป ทรงชี้ให้เราเห็นอันนี้นั่นเอง เราจะได้ละสิ่งที่เป็นอัตตา เขาเรียกว่าอัตตานุทิฐิ คืออัตตาที่มันไม่ถูก อัตตานี่มันไม่สมควรอะไรทำนองนั้นเป็นอัตตาที่สร้างปัญหาให้โลกสับสนวุ่นวายอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะคนที่มีอัตตามากนั่นเอง

ถ้าหากว่าเรานั่งพิจารณาอย่างนี้ เราก็จะเห็นว่า แม้แต่รูปของเรามันก็เต็มไปด้วยก้อนทุกข์ และสิ่งที่เราจะเอาเป็นที่พึ่งร่างกายของเรา มันก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ อะไรเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ศีลเป็นข้อแรก อย่างที่ญาติโยมสมาทานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือ ศีล ๒๒๗

ข้อ ๒ สำหรับฆราวาสญาติโยม ก็คือให้มีเมตตาจิตแผ่เมตตา คือความรักความปรารถนาดีต่อกัน จะเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นคนใกล้คนไกลก็ให้มีเมตตาปราณีรักใคร่ปรองดองสามัคคีกลมเกลียว อะไรแนะนำตักเตือนให้อภัยกัน สังคมนี้มันก็เป็นสังคมที่เย็น เป็นสังคมที่มีความสงบสุข

ข้อที่ ๓ ภาวนา หมายความถึง การทำจิตของเราให้เจริญขึ้น เรายังละกามภูมิไม่ได้ กามภูมิก็หมายความว่า จิตของเรายังท่องเที่ยวไปในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง กามภูมิที่ประเสริฐที่ดีกว่าเราอยู่ในปัจจุบันนี้ยังมีอีกมาก คือเป็นโลกทิพย์โลกอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นโรคที่มีความสุขความเจริญ เราก็จะต้องทำจิตของเราให้สูงขึ้น ให้ดีขึ้น ให้ก้าวหน้าขึ้นอย่าให้ตกต่ำไปในลักษณะของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของผัสสะ ที่ต้องอาศัยโทสะ ต้องอาศัยโลภะ ต้องอาศัยโมหะ เป็นเครื่องประหัตประหารล้างผลาญกันอย่างในสังคมที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นเขาเรียกว่า ใช้จิตไม่เป็นแต่ถ้าหากว่าเราใช้จิตของเราเป็น คืออารมณ์ที่ดียังมีมาก หากว่าจิตของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิสามารถบรรลุถึงปฐมฌาณได้

ข้อสุดท้ายที่เรียกว่า กัมมัสสกตา เห็นว่า กัมมัสสโกมหิ เรามีกรรมเป็นของของตน โดยมากเราก็จะโทษโน้นโทษนี่กัน คืออะไรที่มันไม่ดีเกิดขึ้น แทนที่จะดูกรรมของตัวเองเราไม่ดู เราก็ไปโทษคนโน้นทำให้ คนนี้ทำให้ คนโน้นสร้างความเดือดร้อนให้ คนนี้สร้างความเดือดร้อนให้ แต่จริงๆ แล้วกรรมต่างๆ มันอยู่ในจิตของเรา มันเป็นแม่เหล็กที่จะดึงเอาสิ่งต่างๆ มาแวดล้อมเราได้สารพัด คือทั้งสิ่งที่จะอำนวยความสุขทั้งสิ่งที่จะอำนวยความทุกข์ กรรมตัวนี้แหละเป็นแม่เหล็ก กัมมทายาโท มีกรรมเป็นมรดก คือมรดกก็หมายความว่าสิ่งที่เราจะใช้สอย จะเป็นทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ มีมากน้อยไม่เท่ากัน อันนี้ก็เป็นกรรมของเราสร้างมาในอดีต กัมมโยนิ มีกรรมเป็นแดนเกิด ถ้าหากว่าเราภาวนา เรารักษาจิตของเราให้ถูกต้องตามองค์มรรค อริยมรรคอยู่ตลอดเวลาอารมณ์ที่ทำให้เรามีความรูสึก คือหน้าที่ของจิตเรานี้มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ คิด รู้ รับ จำ อันนี้จะทำให้จิตของเรามีความรู้สึกเป็นไปในเรื่องดี เป็นเรื่องอริยมรรค คือมีทุกข์น้อย และ กัมมพันธ์ ก็หมายถึงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง อันนี้สำคัญมากสำหรับผู้ที่อยู่ในสังคม ถ้าหากว่าเราทำจิตของเราเป็นอุเบกขาไม่ได้ คือสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับทั้งหมดนั้น จะเข้ามาด้วยอำนาจของกรรม บางครั้งบุคคลบางคนเมื่อเข้ามาใกล้เราแล้ว ทำให้เรามีความสุข ทำให้เรามีปัญญา ทำให้เรามีความสงบเย็นใจ แต่บางคนเข้ามาใกล้เราแล้ว กลายเป็นทำให้เรามีความทุกข์ กลายเป็นทำให้เรามีความเดือดร้อนสารพัดเรื่อง เพราะอะไร อันนี้ก็เพราะกรรมของเรานั้นเองเป็นเครื่องดึงเอาสิ่งต่างๆ เข้ามาแวดล้อมตัวเราและก็ให้สังเกตดู การทำบุญในปัจจุบัน เท่าที่อาตมาพิจารณาดูในการทำบุญแต่ละครั้งจะมีการเลี้ยง การให้ทานต่างๆ ส่วนที่เป็นบุญบางทีก็มีนิดเดียว คือทานที่บริสุทธิ์มีนิดเดียว แต่ทานที่ไม่บริสุทธิ์มีเยอะ เยอะมาก นี้ก็เป็นบริวารกรรมที่จะทำความเดือดร้อน นำความทุกข์นำความไม่สบายใจมาให้กับเรา เมื่อบุคคลเหล่านี้มาใกล้ชิดเรา สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของความเดือดร้อนทั้งนั้น คือบุคคลเหล่านี้ก็มีเรื่องยุ่งทั้งนั้น เมื่อเข้ามาใกล้กับเรา อันนี้มันก็เป็นกรรมของเรา ถ้าหากว่าเรามี เราก็จะต้องทำจิตของเราให้มีอุเบกขา คืออุเบกขาวางจิตเป็นกลางให้ได้ วางจิตเป็นกลางในอารมณ์ต่างๆ ให้ได้ แล้วก็พิจารณาดูกรรมของเราด้วยว่า นี่เพราะกรรมที่เราเคยหลงเราเคยทำ จึงเกิดการอย่างนี้ขึ้น คือให้เราได้ประสบสิ่งอย่างนี้ก็เพราะกรรมที่เราทำไว้ เราก็จะได้ไม่ทำกรรมอย่างนั้นซ้ำลงไปอีกในปัจจุบันชาติ อันนี้ทางพุทธศานาเราสอนให้ดูที่กรรมของเรา กัมมปฏิสรโณ นั้นก็มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร

ที่อาตมาได้บรรยายมาพอสมควร ต่อไปก็จงตั้งใจเจริญภาวนาสมาธิ ด้วยการทำสติระลึกอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ ให้มีสติคือ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หายใจยาวรู้ หายใจสั้นรู้ แต่บางรายอาจจะภาวนาไม่ได้ คือพุทโธ ไม่ได้ ก็ให้เพ่งดูจิตเฉยๆ กำหนดดูจิตเฉยๆ มีสติในการกำหนดดูจิตเฉยๆ คือถ้าภาวนาพุทโธอาจจะฟุ้งซ่านไป ก็กำหนดดูจิตของเราเฉยๆ ด้วยสติ อย่าหลงลืม เอาละต่อไปนี้ก็ให้ตั้งจิตเจริญภาวนาจนกว่าจะหมดเวลาตามที่กำหนดๆ #
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 1:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณมากค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
น้อม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ก.พ. 2008
ตอบ: 58
ที่อยู่ (จังหวัด): England

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 6:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณค่ะ สาธุ
ก่อนปฏิบัติสมาธิกรรมฐานดิฉันจะสวดบท http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1895
ตามที่คุณบัวแก้วนำมาลงไว้
ตอนสวดก็ไม่ค่อยเข้าใจในบทสวดบางเรื่อง เช่น "กัมมปฏิสรโณ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย" เมื่อได้อ่านข้อความข้างต้นแล้วทำให้กระจ่างขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ
สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2008, 8:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bai_pai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.พ. 2008
ตอบ: 39
ที่อยู่ (จังหวัด): kyeongki-do, korea

ตอบตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2008, 8:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง