Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปฏิบัติอย่างไร... ให้ถึงธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
robinson
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ก.พ. 2008
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.พ.2008, 8:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัจจุบัน โลกถูกพัฒนาขึ้นในด้านวัตถุ จนเจริญก้าวหน้าไปมาก แต่ในขณะเดียวกัน
เมื่อวัถุมีบทบาทและเป็นที่ตองการมากขึ้น ศีลธรรมจึงตกตำลงอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางความเจริญรุ่งเรือง ...
จิต เป็นสิ่งสำคัญของการดำรงชีวิต จิตที่ไม่มีเรืองป้องกัน ย่อมหวั่นไหวไปตามสภาวะอารมณ์ต่างๆที่ปรุงแต่งขึ้นจากอายตนะภายนอก จึงเกิดเป็นความฟุ้งซ่าน ยึดมั่นในสิ่งผิด อันเนื่องจากขาดสติ เป็นเหมือนครอบแก้วที่ครอบเปลวเทียนไว้ไม่ให้เปลวเทียนไหวเอนตามกระแสลม กล่าคือ จิตที่ประกอบด้วยสติที่มั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหว แม้ต้องอยู่ท่ามกลางกระแสอารมณ์ที่กำรังโหมอย่างแรง
แม้รอบข้างจะวุ่นวายเพียงใด แต่จิตใจกลับอยู่ท่ามกลางสภาวะเหล่านั้นได้โดยสงบ เท่าน้ก็สุขกว่ามีเงินทองล้นฟ้าเป็นไหนๆ แล้วถ้าก้าวต่อไปถึงระดับวิปัสสนาเพื่อถอนรากของกิเลสราคะแล้ว ย่อมประสบกับความสุขที่ไม่เจือด้วยทุกอย่างประมณมิได้ ........
แนวทางปฏิบัติ ก็มีอยู่แล้วมากมาย ถ้าให้แนใจจริง ก็จากพระไตรปิฎกก็จะสร้างความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น หลายคนอาจมองเห็นว่าไม่ใช่กิจของตน หรือเป็นเรื่องเกินกำลังของตน แต่จริงแล้วเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลมากกว่าใครทำ ใครได้ ใครไม่ทำ ก็ไม่ได้เท่านั้นเอง และถ้าไม่คิดจะทำ มันก้เป็นเรื่องเกินตัว แต่ถ้ามีความเพียร ตั้งั่นที่จะทำ มันก็ย่อมไปถึงเป้าหมายได้ไม่ช้าก็เร็ว หรืออย่างน้อย ก็เข้าใกล้เป้าหมายไปเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อน้อมกายใจเข้าไปเท่านั้น
นักปฏิบัติส่วนใหญ่แม่ความเพียรมากมาย แต่ไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติก็มีให้พบเห็น อันเนื่องจาก มีความเพียรแต่ไม่ถูกช่องทางที่เหมาะกับตน ปฏิบัติเท่าไร สภาวะธรรมก็ไม่เกิด บ้างก็ไม่มีความเข้าใจในสภาวะธรรม ไม่สามรถหาทางผ่านไปสู่ขั้นต่อไปได้ เหมือนภายเรือในอ่าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีความรอบคอบ และมีสติที่มั่นคงรวดเร็ว และมีปัญญาในการหาวิธี ลองผิดลองถูก เพื่อให้ได้แนวทางที่ถูกกับจริต ไม่หลงทิศหลงทางไปเสียก่อน เพราะเรื่องของจิต เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีเพียงสติเท่านั้นที่จะตามรู้เท่าทันความเป็นไปของจิตดวงนี้ .......... ละอองธรรม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
robinson
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ก.พ. 2008
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 19 ก.พ.2008, 9:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ใจที่ไม่เคยหยุดนิ่ง .... ใจอันหมายถึงสภาวะจิตที่เป็นธรรมชาติ
ของทุกคนนั้น ปกติมักจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้จาก
เหน็ดเหนื่อย และหลายครั้ง ส่งผลไปถึงร่างกายที่ต้องคอยตอบสนอง
ความนึกคิดในใจให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าไปทั้งกายและใจ
อยู่เสมอๆ จะมีสักกี่ช่วงอึดใจกัน ที่ใจดวงนี้จะหยุดอยู่นิ่งๆให้ได้พัก
ได้ผ่อนคลายจากความนิดคิดต่างๆ ซึงไม่เว้นแต่ยามนอน ก็ยังจะ
สร้างฝันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมิได้พัก เนื่องจากจิตใจที่มิได้รับการ
ฝึกฝนควบคุมด้วยสตินั้นเองเป็นเหตุให้เมื่อใดที่เราขาดสติ มันก็จะ
ล่องรอยไปตามกระแสแห่งอารมณ์ต่างๆ มิได้ว่างเว้น



สติอยู่ที่ไหน ..... เมื่อใดที่เรารู้ทันตามความเป็นไป ตัวรู้นั่นแหละคือ
สติ ... บางทีเราอาจแยกมันไม่ออกระหว่างสติกับจิต ซึ่งความจริง
แล้วมันแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด สติที่ไม่ได้รับการฝึก มักอยู่
กับเราไม่ได้นาน จะขาดๆหายๆ ไปตามกระแสอารมณ์ เมื่อคุณเจอ
สติคุณแล้ว จงฝึกให้สติอยู่กับคุณให้นาน และเฝ้ามองมันอย่างระ
เอียดถี่ถ้วน คุณจะเห็นมันแยกออกมาจากจิตใจความนึกคิดอย่าง
ชัดเจน นี่แหละ เครื่องมือที่จะทำให้คุณเดินทางไปสู่จุดหมายต่างๆได้
จากสติสู่มหาสติ ... สติของคนเราปกติจะไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัวมาก
นัก มักเลือนหายไปขณะที่จิตใจเพลิดเพลินไปกับความนึกคิด เหตุ
เพราะเราไม่ค่อยที่จะถามหามันอยู่บ่อยๆนั่นเอง เมื่อใดที่คุณระลึกได้
มันก็จะกลับมา ดังนั้นการถามหาสติของตนอยู่บ่อยก็เป็นอีกวิธีที่จะ
ฝึกเรียกใช้เจ้าสติได้อย่างคล่องแคล่ว และเมื่อคุณรู้จักมันดีขึ้นและ
มันถูกคุณเรียกใช้บ่อยขึ้น มันก็จะอยู่กับคุณนานขึ้น ซึ่งเป็นได้ที่อาจ
จะไม่เลือนหายไปจากคุณเลย อันเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับผู้ที่มีมหา
สติเช่นนั้น



สุขอยู่ที่ไหน .... มันอยู่ในใจเรานี่แหละ แต่ที่สำคัญคือ มันอยู่กับเรานาน
แค่ไหน มันจะหายไปเมื่อไร แล้วเราจะทุกข์ไหม ถ้ามันหายไป



แล้วทุกข์ล่ะ ต่างกับสุขตรงไหน ... ดูเผินๆ มันก็ต่างกันมากทีเดียว
หากแต่ว่าที่จริง มันเหมือนกันอย่างแยบยล เราจะเห็นว่ามันทำให้เรา
ร้องไห้ได้ทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งนี่เป็นข้อเหมือนพังดูโง่ๆ .. แต่ที่จริง เพราะ
มันคืออารมณ์ ทั้ง2อย่างที่จะปรุงแต่งคุณให้มีการตอบสนองต่างๆ
เช่น พอใจ ไม่พอใจ แต่แล้วมันก็อยู่กับเราได้ไม่นานทั้งคู่ เพียงแค่ให้
เราได้รับรู้ผ่านเข้ามาในความรู้สึกแล้วก็เลยผ่านไป เหลือไว้แต่ความ
ทรงจำ ให้เราคอยดึงย้อนมาทบทวน แล้วก็ซึมซับความรู้สึกเดิมๆ
ด้วยสัญญาหรือความทรงจำของเราเอง


ธรรม..ไม่ไกลจากใจเราเลย ธรรม... คือความเป็นไปตามสภาวะของ
ธรรมชาติ การศึกษาธรรม ก็คือการศึกษาธรรมชาตินั่นเอง


แล้วธรรมชาติแบบไหนกันล่ะ .. ที่ควรจะศึกษา.. ความจริงแล้วการ
ศึกษามันก็ให้ประโยชน์อยู่แล้วหากว่าประโยชน์นั้นจะเป็นไปในทาง
บวกหรือลบ แต่ถ้าว่ากันด้วยการศึกษาที่ให้ประโยชน์ในทางบวก
แล้วล่ะก็ การศึกษาธรรมชาติของจิตใจ และร่างกายเราเองนั่นแหละ
จะทำให้เราเข้าใจตัวเราเองได้มากขึ้น เข้าใจถึงสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
กับเรา เข้าใจถึงความเป็นไปของอารมณ์ และเมื่อเราเข้าใจกายและ
จิตใจเราเองอย่างแยบยลแล้ว เราก็จะเข้าใจถึงสภาวะธรรมชาติของ
คนอื่นๆด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน ต้องผจญกับ
อารมณ์ ต่างๆที่มีบนโลกนี้เหมือนกัน ดังนั้นสภาวะการปรุงแต่งก็คง
ไม่ต่างกันจนเกินเข้าใจได้ ดังนั้นเมื่อเรารู้ทันใจเราเองแล้ว เราจะ
สามารถใช้สติระงับ อารมณ์ .. และทบทวนแก้ไขปัญหาต่างๆได้
แยบยลกว่า และเมื่อเรารู้ถึงสภาวะจิตใจของคนอื่นจากการปรุงแต่ง
ต่างๆ เช่นเมื่อเราเห็นคนโกรธเรา เราก็จะเข้าใจได้ว่า เขายังรู้ไม่ทัน
อารมณ์ของตน และทนแบกความโกรธไว้เผาจิตใจตนเอง และแทนที่
เราจะโกรธเขาตอบ กลับกลายเป็นการเกิดของเวทนาที่เห็นเขาหลง
อยู่ในอารมณ์และมีความเมตตากลับไปสู่เขา มิใช่ช่วยกันเผาใจกัน
และกันทั้งสองฝ่าย นี่ก็เป็นประโยชน์อีกประการของการศึกษาใจ


จิตใจ.. ยากจะควบคุม ว่าไปแล้วจิตใจเราก็ใช่ว่าจะควบคุมกันได้ง่าย
เผลอนิดเดียวมันก็วิ่งไปคว้าโน่น คว้านี่ให้คิดอยู่มิได้เว้น บทมันอยาก
ได้โน่นได้นี่ เราก็ต้องแสวงหามาตอบสนองมัน หากแม้นขาดสติ ก็
อาจต้องเป็นทุกข์เพราะการที่จะต้องตอบสนองมัน และใช่ว่ามันจะ
คิดจะเพราะเรื่องที่ดีมีศีลธรรม บางครั้งมันก็มีนอกลู่นอกทางบ้าง
อยากได้อะไรที่ไม่เกิดประโยชน์บ้าง ดังนั้นจึงเป็นการควรอย่างยิ่งที่
จะต้องมีสติไว้คอยไตร่ตรองและห้ามปรามความคิดในสิ่งที่ผิดศีล
ธรรม และไม่ก่อเกิดประโยชน์


ร่างกายก็ใช่ว่า ควบคุมได้ ... มันจะเจ็บจะป่วย มันก็ไม่บอกล่วงหน้า
ห้ามก็ไม่ได้ มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้น ถ้ามันเป็นของ
เราจริงเราก็น่าจะควบคุมมันได้ดังใจ หรือจะป่วยเมื่อไรก็บอกกันล่วง
หน้า มิใช่ป่วยเสียแล้วค่อยแสดงให้เรารู้ นี่แหละ ธรรมชาติของกาย -
คุยกับตัวเองบ้าง หมายถึงใจตัวเอง ใช้สติที่เรามีถามว่ามันทุกข์ อะไร
สุขอะไร ยังหลงไหลสิ่งใดอยู่บ้าง ค่อยๆถามตัวเอง ค่อยๆศึกษาใจให้
ถี่ถ้วน แล้วใจเราเองจะตอบในปัญหาทั้งหมดที่รุมสุมเราอยู่ไม่ว่าง
เว้น...


ธรรมะ ...ไม่เคยล้าสมัยเลย.. แม้โลกจะพัฒนาไปมากสักเพียงใด หาก
แต่ว่าใครจะเข้าถึง ธรรม ที่แท้จริงได้ ทุกอย่างต้องมีเริ่มต้น เพียงเปิด
ใจแล้วนับหนึ่ง จากนั้น 2 3 4 5 .. จะเป็นไปตามขั้นตอน เองตราบเท่า
ที่เรายังไม่หยุดนับ ..และอุปสรรคต่างๆที่เข้ามารุมเร้าคืออีกเรื่องที่จะ
ต้องผ่านไป จงใช้สติ อย่างแยบยล และจงจำไว้เสมอว่า เมื่อไม่เห็น
ทุกข์ ก็ย่อมไม่เห็นธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่สุดอย่างที่พระพุทธองค์
ทรงตรัสไว้....


ที่ไหนก็ได้ ... ในการฝึกสมาธินั้น ปัจจัยสำคัญมีกันอยู่แล้วทุกคน คือ
กาย กับใจ ดังนั้นแล้วไม่ว่าที่ใดที่กาย กับใจคุยอยู่ ที่นั่นก็สามารถ
สร้างสมาธิ เพื่อปฏิบัติธรรมได้ ไม่ว่าขับรถ เดิน ที่บ้าน ที่ทำงาน เมื่อ
คุณหายใจเข้าพุทธ แล้วหายใจออกโธ น่นแหละ สมาธิเกิดแล้ว หรือ
อาจใช้หลักปฏิบัติวิธีอื่นแล้วแต่ตามถนัด หลลายคนเข้าใจว่าการ
ปฏิบัติอาจต้องเกิดเป็นที่เป็นทาง เช่นในวัด หรือห้องพระ ซึ่งก็เป็นสิ่ง
ที่ดีอีกอย่างในการโน้มรำจิตใจเข้าสู่ธรรม แต่หลายคนที่มิต้องอาศัย
อุบายในการโน้มนำแล้วนั้น สมามารถปฏิบัติได้ทุกที่ ทุกเวลา ก็ใน
เมื่อ1วันคุณมีโอกาศอยู่ในวัด หรือหน้าหิ้งพระ สักกี่ช่วงเวลากัน แล้ว
ถ้าจะพูดกันถึงการหวังมรรคผล หรือ กระพัฒนาของจิตชนิดหวังผล
มันคงจะน้อยมากเกินไปเมื่อเทียบกับระยะเวลาการใช้ชีวิตในแต่ละ
วัน ซึ่งถ้ายิ่งฝึก นั่นหมายถึงสติ ย่อมเกิด แล้วการมีสติในทุกขณะจิต
ถึงแม้เป็นช่วงสั้นๆ ขาดๆหายหาย คงดีกว่า การสร้างสติหน้าหิ้งพระ
เพียงอย่างเดียวแน่นอน .....


มากกว่าสมาธิ .... สมาธิ มิใช่สิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงแก่นธรรม.. หาก
แต่เป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะปูพื้นฐานของสติปัญญาให้เข้มแข็งใน
การต่อสู้ กับกิเลส ดังนั้นสมาธิอย่างเดียวเห็นทีจะไม่ได้การล่ะ .. แม้
ทุกครั้งที่คุณเข้าสมาธิ อาจเข้าถึงอัปนาสมาธิ อาจเห็นนิมิตรต่างๆ
อาจที่ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ....แต่ เมื่อใดที่เรากลับเข้ามาสู่
โลกของอารมณ์ เราจะพบว่า กิเลสในใจ ที่เหมือนต้นหญ้าที่ถูกก้อน
หิน ..คือ สมาธิทับไว้ กลับ งอกเงยขึ้นมาอีก อันเนื่องมาจาก ต้นหญ้า
เหล่านั้น มิได้มีการ ถาก .. ถอน ออกแม้แต่น้อย ดังนั้น สมาธิอย่าง
เดียว จึง ไม่เพียงพอ


วัดในบ้าน หลายคนยังอาศัยวัดเป็นสิ่งโน้มนำจิตใจ ... แต่หากเมื่อเรา
เข้าใจธรรมมากขึ้น เราก็สามารถ ทำห้องพระที่บ้าน จัดแต่งให้สวย เป็น
ที่โน้มนำจิตใจให้เราออยากปฏิบัติทุกครั้งที่ก้าวเข้า จะทำให้การปฏิบัติ
ของคุณสะดวกขึ้นได้ โดยมิต้องเดินทางเไปยังวัดต่างๆ อยู่บ่อยๆทั้งๆที่
การงานลัดตัว


วัดในใจ .. เมื่อเรามีวัดในบ้านแล้ว การปฏิบัติเราย่อมมีความถี่ขึ้น
แน่นอน ซึ่งทำให้เราเข้าถึงธรรมได้เร็วกว่าการปฏิบัติแบบขาดช่วง
และเมื่อเราเข้าใจ ธรรม ถึงอีกระดับ เราก็สามารถ สร้างวัดขึ้นที่ใจ
เราด้าน คราวนี้ไม่ว่าเราจะอยุ่ที่ใด วัดก็จะอยุ่กับเรา เสมอและพร้อม
ที่จะให้เราเปิดประตูใจเข้าไปได้ทุกเวลา .... แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เลิกเข้า
วัดกันไปเลยนะขอรับ เพราะยังมีกิจกรรมทางธรรมอีกหลายอย่างที่
วัด สามารถเสริมสร้างคุณธรรมให้แก่ผู้ที่เข้าไปน้อมรับได้อีก
มากมาย ...


ตักน้ำใส่ตุ่ม ... การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ค่อยเป็น
ค่อยไปจะให้ปุบปับโลดโผนคงไม่มี ว่าไปแล้วก็คล้ายตักน้ำใส่ตุ่มใบ
ยักษ์ ทีละขันเหมือนมันไม่ได้เพิ่มอะไรขึ้นมาเลย แต่ขอให้ก้มหน้าก้ม
ตาตักไปเถอะ วันละขันนั่นแหละ ไม่ต้องกังวลว่าเพิ่ม มาแค่ไหน พอ
เผลออีกที อ้าว เข้าไปค่อน ตุ่ม เดี๋ยวก็เต็ม หลายคนมองว่าบั้นปลาย
ชีวิต ค่อยเดินเข้าวัด แล้วคุณมีเวลาเหลือเยอะแค่ไหนกันเล่า กับชีวิต
เล็กๆที่แขวนอยู่บน ความตายอยู่ทุกขณะจิตอยู่แล้ว ...พร้อมที่จักตัก
น้ำขันแรกใส่ตุ่มของคุณหรือยัง อย่ากังวลถึง ผลที่จะได้รับว่าวันนี้
พรุ่งนี้ มันจะได้เท่าไร ขอให้ค่อยๆปฏิบัติไป เมื่อ สภาวะ ธรรมเกิดขึ้น
กับจิตใจ หรือกายคุณ คุณจะรุ้เอง ว่าวันนั้น น้ำในตุ่มของคุณได้แค่
ไหน...


เดินทางต้องมีแผนที่ ... การเดินทาง สิ่งที่สำคัญก็คือแผนท ี่ เช่น
เดียวกับการปฏิบัติ ก็ควรมีแผนที่ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบันทึกไว้โดยระ
เอียด แต่แผนที่เหล่านั้น ก็มาจากการ ปฏิบัติ เป็นอย่างแรกเช่นกัน
ซึ่งถ้าเราไปโดยไม่มีแผนที่ก็คงยาก หรืออาจหลงทางไปซะก่อน และ
ถ้ามีแผนที่ที่ดีที่สุดอยู่ในมือ แล้วนั่งอ่านเช้าอ่านเย็นจนเราเข้าใจ
มันดี แต่ไม่เคยได้เดินทางไปจริง ก็อาจเป็นข้อยึดมั่นให้หลงผิดว่ารู้
แล้ว เข้าใจแล้ว ถึงแล้ว ก็เป็นได้ ซึ่งต่างจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
เพราะความสำเร็จ และการบรรลุ ธรรมนั้น ย่อมสืบเนื่องมาจากการ
ปฏิบัติ และเข้าถึงสภาวะธรรมนั้นๆ ได้อย่างแท้จริง ........ ดังบทสวด
บทหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ปฏิบัติ .. ปริยัติ เป็นสอง คือทางดำเนินดุจคลอง
ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง .... ดังนั้นแหละขอรับ


รักษาจิต .. . จะเห็นได้ว่าบางครั้ง ทุกข์กาย แต่ใจกลับไม่ทุกข์ แต่พอ
ทุกข์ใจ แล้วทำไม มันหดหู่ไปเสียหมด กระทั่งร่างกายที่แข็งแรงอยู่ดีๆ
ก็ หดหู่เอาเสียดื้อๆ นี่แหละ ความสำคัญของจิตใจ อันเนื่องมาจาก
ความสุขจริงๆแล้วนั้น อยุ่ที่ใจ ไม่ใช่ที่กาย หลายคน พยายาม
หาความสุขทางกาย พยายามตอบสนอง ความสบายทางกายต่างๆ
จนไม่คำนึงถึงสภาวะจิตใจ ...แล้วมันคุ้มกันหรือ คุณมีเงิน 100 ล้าน
แต่คุณไม่มีสังคมที่จริงใจ คุณไม่มีเวลาที่จะพักใจ ถึงแม้รอบด้านคุณ
จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากแค่ไหนก็ตาม กลับกัน บางคนมีเงิน
ไม่ถึง1000 แต่ล้อมรอบไปด้วยมิตรแท้ และเวลาที่มีให้กับจิตใจ
ตนเอง กลับนั่งยิ้มอยู่บนสิ่งแวดล้อมที่ ไม่มีความสะดวกสบายได้ .....
จิตใจเป็นสิ่งที่ควรรักษาให้ป่วยมากที่สุด ไม่ว่าปัญหาใดๆเข้ามา ถ้า
เราควบคุมจิตใจเราได้ แล้วจิตใจเรามีกำลังเต็มร้อย เราก็จะผ่าน
ปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี แม้ว่าบางครั้งอาจไม่ดีที่สุด แต่เราก็ยังยิ้ม
ได้ แต่หากใจเราอ่อนแอต่อสิ่งที่มากระทบแล้วล่ะก็ แม้ภายนอกเรา
จะแกร่งสักเพียงใด มันก็ล้มลงได้ดื้อๆ เช่นกัน



เถียงกับตัวเอง ...หลายครั้งที่ผมต้องสงสัยถึงสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต
และนี่เป็นอีกสภาวะ เมื่อเราแยกสติออกจากจิตได้อย่างชัดเจน บาง
ครั้งในหนึ่งอารมณ์เราจะมีสองความคิด ... สติจะโน้มนำความคิดไป
ในทางที่ถูกที่ควร แต่จิต จะมีกำลังมาต่อต้านพยามคิดออกไปในทาง
ตรงกันข้าม ซึ่งบางทีนั่งดูมันแล้วก็เหมือนคนบ้า มานั่งเถียงกับตัวเอง
นี่แหละความพยศของจิต เช่นบางครั้งผ่านศาลริมทาง สติระลึกได้ว่า
ควรเคารพ แต่จิตเราเองกำพลิกแผลงคิดลบหลู่ท้าทายขึ้นมาเสีย
ดื้อๆ กลัวจะเป็นการท้าทายก็กลัว แต่ยิ่งระงับกลับยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ต่อเมื่อได้หยุดจิตมันคิด มันฟุ้งซ่านของมันไป สักพักพอไม่มีใครไป
บังคับไประงับมัน มันก็หยุดไปเอง .... ซึ่งจริงแล้วอารมณ์หลายๆ
อารมณ์ความนึกคิดหลายๆความนึกคิด เมื่อเกิดขึ้นในระดับที่เราใช้
สติ สมาธิเข้าไประงับมันได้มันก็จะอยู่เพียงในกรอบที่เรากำหนด แต่
บางครั้ง มันรุนแรงและฟุ้งซ่านเกินระงับ เราก็ไม่ควรฝืน แต่เราควร
หยุดดูความฟุ้งซ่านเพียงนิ่งๆ ในเมื่อระงับไม่ได้ หยุดมันไม่ได้ ก็ปล่อย
ให้มันวิ่งไป มันมีแรงเท่าไรก็ให้มันแสดงออกมา เดี๋ยวพอมันเหนื่อ
เราก็ค่อยเอามันมาผูกไว้ได้โดยง่าย .....


อย่าท้อ กับทุกข์ต่างๆ ....ก็ในเมื่อทุกข์หรือสุข มันก็เป็นอารมณ์ที่มีอยู่
ตามธรรมชาติของโลกใบนี้ ใช่ว่าเรามีเพียงคนเดียวคนอื่นเขาก็มีกัน
มันมีมาตั้ง แต่แรกเริ่ม เพียงถ้าเราเข้าใจมัน ว่ามันก็เป็นของมันอย่าง
นั้น นี่แหละอารมณ์ ตราบใดที่อยุ่บนโลกใบนี้ ยังไงก็หนีไม่พ้น
นอกจากหาทางระงับหรือดับมันโดยการทำความเข้าใจมันซะ
ทำความเข้าใจธรรมชาติ.. จิตใจเรามันก็อยู่กับเรา อารมณ์ต่างๆมันก็
มีของมันอยู่อย่างนั้น ผ่านไปก็ผ่านมา เพียงแต่ว่าใครจะเปิดประตุรับ
มันเข้ามามากน้อยเพียงใด แล้วปล่อยให้มันลอยผ่านไป หรือ ยึดมัน
ไว้กับใจตัวเอง ............ เมื่อเราทุกขืก็ให้นึกถึงคนที่ทุกกว่า เมื่อเราสุข
ก็ ให้นึกถึงคนที่สุขกว่า จะเห็นว่ามันก็มีกันทุกคน ใช่ว่าเรามีคนเดียว
ดังนั้นตั้งสติให้มั่นแล้วค่อยๆปล่อยให้มันผ่านไป เมื่อเราได้แก้ไขมันดี
ที่สุดแล้ว ...... เพราะทุอย่างมันมีเหตุและมีผล ในเมื่อผลมันเกิดขึ้นกับ
เรา แล้วต้นเหตุ ที่แท้จริงมันจะไม่ได้มาจากเราเองหรือ ??? นี่อาจเป็น
กรรมอีกข้อที่เรา กำลังชดใช้อยู่ก็ได้ น่าดีใจเสียอีกที่กรรมที่เราสร้าง
ไว้กำลังจะหมดไปอีกหนึ่งข้อ ....


นี่.... ก็เป็นอีกเรื่องที่กำลังจะผ่านไป " เพราะความท้อแท้มักเกิดขึ้นกับ
เราเสมอ และมันก็จะผ่านเราไปทุกๆครั้ง แล้วจะแปลกอะไรล่ะที่มันจะ
กลับมาสู่ใจเราอีกครั้งหนึ่ง เพราะนี่ก็คงมิใช่ครั้งสุดท้ายอยู่ดี และที่
สำคัญ " นี่.... ก็เป็นอีกเรื่องที่กำลังจะผ่านไป "


สติที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากการที่ได้ฝึกการมีสติอยู่บ่อยๆแล้ว สติจะเริ่ม
อยู่กับเรานานขึ้นและสามารถเรียกใช้ได้ทันใจ อาจสังเกตุเห็นจาก การ
เกิดเหตุการที่คับขันขึ้น แต่ก่อนอาจเป็นคนตื่นตนก ตกใจไม่ทันตั้งตัว ทำ
อะไรไม่ถูก แต่เมื่อมีสติที่แข็งขึ้น เราจะเห็นความเป็นไปของเหตุการจาก
สติที่มีอยู่ และสามารถตัดสินใจแก้ไขทันท่วงที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
bai_pai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.พ. 2008
ตอบ: 39
ที่อยู่ (จังหวัด): kyeongki-do, korea

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.พ.2008, 5:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ปรบมือ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
robinson
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 ก.พ. 2008
ตอบ: 7

ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.พ.2008, 12:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หวัดดีขอรับคณ ใบไผ่ ... ยิ้มแก้มปริ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 1:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
z
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 ต.ค. 2007
ตอบ: 46
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 6:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....เรียนรู้

....ทำความเข้าใจ

....ยอมรับ

....เลิกสนใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bai_pai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.พ. 2008
ตอบ: 39
ที่อยู่ (จังหวัด): kyeongki-do, korea

ตอบตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2008, 8:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

wad dee krub khun robinson ยิ้ม สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง