ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
01 ธ.ค.2007, 2:49 pm |
  |
เกริ่นก่อนว่า...
เมื่อไม่กี่วันก่อนได้อ่านเจอเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำหรับผมยังไม่เคยอ่านเจอมาก่อน แต่ท่านอาจจะพบเจอมานานแล้ว จะว่าผมเชยก็ได้ ผมขอยอมรับ
และพอดีผมมีเรื่องคู่มือไปสวรรค์ เห็นว่าเป็นเรื่องสอดคล้องกัน เลยนำมาผูกเข้าด้วยกัน
และขออาศัยลานธรรมแห่งนี้ ได้นำมาให้ท่านพิจารณา
เคยมีคนในสมัยพระพุทธเจ้าทำมาแล้วด้วยเหมือนกันคือ
ท่านผู้นั้นดูถูกว่าการให้ทานเป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำ จึงมุ่งรักษาศีลและเจริญภาวนาไปเลย
ด้วยกุศลผลบุญดังกล่าวเมื่อตายไปก็เป็นผลทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์
และได้บวชในพระพุทธศาสนา
เมื่อบวชใหม่ได้ออกบิณฑบาต แต่เนื่องจากท่านอาวุโสน้อยที่สุด จึงต้องเดินท้ายสุด
ปรากฏว่า ชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตร พอใส่มาถึงท่านนั้นอาหารก็หมดพอดี
ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับมาอาศรม และต้องอาศัยภัตตาหารจากพระรูปอื่น
♦ ในวันรุ่งขึ้น พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้พระท่านนั้น ออกเดินนำหน้าพระภิกษุรูปอื่นออกบิณฑบาต
โดยให้เหตุผลว่าเมื่อวานนี้พระท่านนั้นเดินท้ายแถวจึงไม่ได้อาหาร
ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านที่นำอาหารมาคอยใส่บาตรกลับนัดแนะกันว่า
เมื่อวานนี้พวกเราใส่บาตรจากหัวไปทางท้ายแถว ทำให้พระท่านหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายแถวไม่ได้รับอาหารเลย
ดังนั้นวันนี้เราจงใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถวเพื่อเป็นการชดเชยเถิด
ด้วยเหตุนี้เมื่อพระมา ชาวบ้านก็ใส่บาตรจากท้ายแถวไปทางหัวแถว
และพอใส่บาตรมาถึงพระท่านนั้นที่อยู่หัวแถวอาหารก็หมดพอดี
ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรม เช่นเดียวกับวันแรกอีก
♦ ในวันต่อมา พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้ท่านนั้นออกบิณฑบาตโดยให้เดิน อยู่ในตำแหน่งกลางแถว
โดยให้เหตุผลว่า คราวนี้แม้ชาวบ้านจะใส่บาตรจากหัวแถว หรือท้ายแถวมาก็ตาม
พระท่านนั้นย่อมต้องได้ภัตตาหารแน่
ส่วนทางฝ่ายชาวบ้านก็กลับปรึกษากันว่า สองวันแล้วนะที่เรานำอาหารมาใส่บาตรและไม่ว่าจะใส่บาตร
จากหัวแถวไปหาท้ายแถว หรือใส่บาตรจากท้ายแถวย้อนไปทางหัวแถวก็ตามมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่เคยได้รับอาหารเลย
อย่ากระนั้นเลยในวันรุ่นขึ้นพวกเราจงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเถิด
คือกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากหัวแถวไปทางท้ายแถว และอีกกลุ่มหนึ่งใส่บาตรจากท้ายแถวไปหาหัวแถว
เพราะถ้าทำวิธีนี้แล้วไม่ว่าพระท่านนั้นจะเดินบิณฑบาตอยู่หัวแถว หรือท้ายแถวก็ตามที
ย่อมต้องได้ภัตตาหารจากพวกเราอย่างแน่นอน
♦ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระออกบิณฑบาตชาวบ้านก็แยกออกเป็น 2 กลุ่ม และแยกกันใส่บาตรตามวิธีการที่คิดเอาไว้
ปรากฏว่า พอถึงพระท่านนั้นที่ยืมอยู่ตรงกลาง อาหารก็หมดพอดี
ทำให้พระท่านนั้นต้องนำบาตรเปล่ากลับอาศรมในวันที่ 4
♦ วันต่อมา พระอุปัชฌาย์จึงให้พระบวชใหม่เข้าแถวเป็นองค์ที่สองต่อจากท่าน เมื่อชาวบ้านมาใส่บาตร
เมื่อใส่องค์แรกแล้วก็ข้ามไปใส่องค์ที่สาม เนื่องจากมองไม่เห็นบาตรองค์ที่สอง
พระอุปัชฌาย์จึงใช้มือของท่านจับปากบาตรพระบวชใหม่ไว้ ชาวบ้านจึงเห็นบาตรของพระองค์ที่สอง
และใส่บาตรของท่านได้โดยอาศัยทานบารมีของพระอุปัชฌาย์
♦ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบเรื่องราวแล้วจึงได้ทรงอธิบายว่า
พระท่านนั้นในอดีตชาติมิได้สร้างสมทานบารมีมาเลย
ด้วยดูถูกว่าทานบารมี เป็นกุศลผลบุญขั้นต่ำจึงมุ่งแต่รักษาศีลและเจริญภาวนา
ดังนั้นเมื่อมาเกิดในชาตินี้จึงขาดลาภและขาดแคลนในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อาหารการกิน ดังที่ได้ประจักษ์แล้ว
* |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
01 ธ.ค.2007, 2:51 pm |
  |
ต่อครับ *****
เมื่อไฟไหม้บ้าน ภาชนะเครื่องใช้อันใดที่เจ้าของบ้านนำออกไปได้ ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เขา
ที่นำออกไม่ได้ก็ถูกเผาเสียเปล่าไปในที่นั้น ฉันใด เมื่อโลกอันมีไฟคือความแก่และความตายไหม้อยู่
ผู้ฉลาดย่อมนำทรัพย์ออกด้วยการให้ทาน ทำประโยชน์ ชื่อว่านำออกดีแล้ว และให้ผลเป็นความสุข
ส่วนของที่ยังมิได้นำออก ย่อมเสียหายด้วยถูกโจรลักไปบ้าง น้ำท่วมเสียหายบ้าง ไฟอาจไหม้เสียบ้าง
และเมื่อความตายมาถึง บุคคลย่อมทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งปวงทั้งสรีระแห่งตนไป
ผู้รู้ความจริงข้อนี้แล้ว เมื่อได้บริโภคใช้สอยเองตามสมควรแล้ว พึงสงเคราะห์ผู้อื่น จึงเป็นผู้ไม่ถูกติเตียน และเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐ |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
01 ธ.ค.2007, 2:54 pm |
  |
คู่มือไปสวรรค์ ๖ ชั้น
สวรรค์มี ๖ ชั้น เรียงจากชั้นที่ ๖ ถึงชั้นที่ ๑ มีดังนี้
ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัสดี
ชั้นที่ ๕ นิมานรดี
ชั้นที่ ๔ ดุสิต
ชั้นที่ ๓ ยามา
ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์
ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา
************************************
๑. บุคคลที่ให้ทาน โดยตั้งความหวังว่าจะได้เสวยผลของทานนี้
เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกา
************************************
๒. บุคคลที่ให้ทาน โดยไม่หวังจะได้เสวยผลของทาน แต่ให้ทานเพราะเห็นว่าเป็นการทำดี
เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ดาวดึงส์
************************************
๓. บุคคลที่ให้ทาน โดยไม่หวัง......( ไม่ ตามข้อ ๒ ) แต่ให้ทานเพราะเห็นว่า ปู่ ย่า ตา ยาย เคยทำมา
ไม่ควรให้เสียประเพณี เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ยามา
**************************************
๔. บุคคลที่ให้ทาน โดยไม่หวัง......( ไม่ ตามข้อ ๓ ) แต่ให้ทานเพราะเห็นว่า เราหุงหากิน
แต่สมณะเหล่านี้ไม่ได้หุงหากิน เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ดุสิต
***************************************
๕. บุคคลที่ให้ทาน โดยไม่หวัง......( ไม่ ตามข้อ ๔ ) แต่ให้ทานเพราะเห็นว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่เก็บเฉยไว้ไม่เกิดประโยชน์
นำมาแจกจ่ายให้ทานเกิดประโยชน์กว่า เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น นิมานรดี
***************************************
๖. บุคคลที่ให้ทาน โดยไม่หวัง.....( ไม่ ตามข้อ ๕ ). แต่ให้ทานเพราะเห็นว่า ให้ทานอย่างนี้แล้วทำให้จิตใจผ่องใส
ปลาบปลื้มใจ เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้น ปรนิมมิตวสวัสดี
***************************************************
ขอเชิญทุกท่านตีตั๋วเดินทางกันตามอัทธยาสัย ...♥♥♥ |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2007, 9:32 am |
  |
ทาน จะพบในคำสอนสำคัญๆ เช่น
บุญกริยา ๑๐
1.ทานมัย 2.สีลมัย 3.ภาวนามัย 4.อปจายนมัย ....... 10.ทิฎฐุชุกัมม์
ทศบารมี
ทานบารมี ศีลบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี .....เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี
มงคล 38
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังตะละมุตตะมัง
การทำทาน จึงเป็น มงคล เป็นบุญ และเป็น บารมี
ดังนั้น เมื่อบุคคลมีทรัพย์เหลือจากความจำเป็นแล้ว พึงให้ทานด้วยเหตุฉะนี้
*
 |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2007, 10:27 am |
  |
ทาน ยังพบใน สังคหวัตถุ 4
ทาน ปิยะวาจา อัตถะจริยา สมานัตตา
แต่ทานไม่พบในคำสอนเหล่านี้ เช่น
ไตรสิกขา
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
อริยทรัพย์
มี ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
03 ธ.ค.2007, 2:53 pm |
  |
เพลง ทานบารมี ( ต้องขออภัยที่ไม่รู้ที่มา)
ทานบารมี ความดีที่ใครก็ทำได้
ทานคือการให้ ให้สิ่งที่ดีแก่กัน
สิ่งที่ควรให้ทาน ชื่อว่าวัตถุทาน
วัตถุเหล่านั้น มี 10 ประการ
ข้าว และน้ำ ยานพาหนะ
ผ้า ดอกไม้ ของหอม กับเครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่พักอาศัย ดวงประทีป โคมไฟ
สิ่งเหล่านี้ทั้งหลาย ชื่อว่า วัตถุทาน
เมื่อคิดถวายทาน จงจำเอาไว้ในใจ
ก่อนที่จะถวาย จะต้องนึกปลาบปลื้มใจ
ระหว่างถวายทาน มีความปีติยินดี
ทานของเราครานี้ ได้บุญกุศลมากมาย
คืนและวันผ่านไป ให้หมั่นนึกถึงวันวาน
วันที่ถวายทาน นึกแล้วฉันก็สุขใจ
บุญเกิดขึ้นทั้งสามกาล ก่อนทำ กำลังทำ หลังทำ
บุญต่อเนื่องหนุนนำ ชีวิตเป็นสุขตลอดไป
ทานบารมี ความดีที่ใครก็ทำได้
เป็นบันได ก้าวแรกการสร้างบารมี
ทานบารมี ความดีสากล
ทุกๆ คน จะหลุดพ้นความยากจน ด้วยผลทาน
ทุกๆ คน จะหลุดพ้นความยากจน ด้วยผลทาน
ทุกๆ คน จะหลุดพ้นความยากจน ด้วยผลทาน
*
* |
|
|
|
  |
 |
น้ำใส
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
07 ธ.ค.2007, 4:44 pm |
  |
นำเรื่องเศรษฐีสองท่านมาให้ดูเปรียบเทียบกัน
เศรษฐีฆ่าตัวตายที่ทะเลสาบเกอร์มอร์
*****************
หนังสือพิมพ์ในยุโรปลงข่าวว่า ที่เมืองเกอร์มอร์ประเทศอิตาลี มหาเศรษฐีคนหนึ่งฆ่าตัวตาย
เพราะเบื่อชีวิต ในอดีตเขาอยู่ที่อเมริกาหาเงินทองได้มากมาย หลังจากที่เป็นเศรษฐีแล้ว
เขาไปอาศัยอยู่ที่ทะเลสาบเกอร์มอร์ ได้ซื้อที่ดินผืนใหญ่และสร้างบ้านหลังใหญ่ที่ริมทะเลสาบนั้น
เนื่องจากไม่ต้องกังวลกับปัจจัยสี่ ตลอดวันตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่มีงานทำ เขาจึงค่อยๆ กลายเป็นโรคประสาทอ่อน
นับวันจะมีอาการรุนแรงและหนักขึ้น มักกลัดกลุ้มใจไร้ความยินดี แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ฆ่าตัวตาย ออกจากโลกที่เขาไม่พึงพอใจ
หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว มีคนพบธนบัตรอยู่ในกระเป๋าของเขาเป็นจำนวนมาก มูลค่าประมาณสองล้านกว่าเหรียญอิตาลี
และพบจดหมายซึ่งเขาเขียนด้วยตัวเอง ในจดหมายกล่าวว่า
ที่ข้าพเจ้าฆ่าตัวตายเพราะไม่มีงานทำ ทั้งยังอยู่ในสถานที่เงียบสงัดทำให้ทนไม่ได้ เมื่อนึกถึงอดีตขณะที่ทำงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์กนั้น
ข้าพเจ้าแช่มชื่นเบิกบานยินดีอยู่เสมอ แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีทรัพย์สมบัติหลายร้อยล้าน กลับเป็นทุกข์โศกเศร้าน่าเวทนามาก ทุกข์จนไม่อาจจะบรรยาย
เงินทองไม่อาจบันดาลให้คนเรามีความสุขได้ น่าเสียดายที่กว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจหลัก-ธรรมนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
มีเพียงทางเดียวคือฆ่าตัวตาย หวังว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้เสียที
*********************************************************
จิตตคหบดีเศรษฐี
*******
จิตตคหบดีมีเพื่อนเก่าอยู่คนหนึ่ง บวชเป็นชีเปลือยชื่อว่า อเจลกกัสสปะ
วันหนึ่งได้พบกัน จิตตคหบดีจึงถามว่า บวชมานานเท่าใดแล้ว อเจลกตอบว่า ๓๐ ปีแล้ว
จิตตคหบดีถามต่อว่า บวชมา ๓๐ ปีได้คุณวิเศษอะไรบ้างหรือไม่ อเจลกตอบว่า ยังไม่ได้คุณวิเศษอะไรเลย
อเจลกถามท่านคหบดีบ้างว่า ได้เป็นอุบาสกมานานเท่าใดแล้ว ท่านตอบว่า ๓๐ ปีแล้ว
อเจลกถามต่อว่า ได้คุณวิเศษอะไรบ้างหรือไม่ คหบดีตอบว่า ได้ฌาน ๔ และ อนาคามิผล
อเจลก เกิดความเลื่อมใส จึงขอบวชในพระพุทธศาสนา แล้วในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในบั้นปลายท่านจิตตคหบดีป่วยหนัก ตอนที่ใกล้จะสิ้นใจ เหล่าบริวารขอให้ท่านกล่าวให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย ท่านจึงกล่าวว่า
ขอให้ทุกคนจงศรัทธาเลื่อมใสใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมั่นบริจาคทรัพย์ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
* |
|
|
|
  |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
11 ธ.ค.2007, 4:03 pm |
  |
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณน้ำใส
ขอบคุณมากนะคะ...สำหรับบทความดีดี
รูปสวยสวยที่นำมาฝากกัน
ติดตามอ่านเรื่องที่คุณน้ำใสนำมาฝากบ่อยๆ
ชื่นชมนะคะ...อนุโมทนาบุญในสิ่งดีดีที่คุณน้ำใสหมั่นทำอยู่เสมอ
เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ
ธรรมะสวัสดีค่ะ
 |
|
|
|
   |
 |
|