Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปล่อยวางอย่างเซน กับ ศีลพรหมจรรย์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เซน หรือ นิกายเซน เป็นชื่อญี่ปุ่นของพุทธศาสนา นิกายมหายาน

เซน ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึงการเข้าฌานครับ

รายละเอียด ของ นิกายเซน ดูได้จากนี่ครับ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99

เซน เป็นนิกายหนึ่งในมหายาน

การกล่าวถึงเซนนั้น ต้องระลึกอย่างหนึ่งว่า เซนในยุคเริ่มต้น กับเซนในยุคปัจจุบัน ต่างกันมาก.....

เซนในยุคเริ่มต้นนั้น เกิดจากการที่มีภิกษุมหายานกลุ่มหนึ่งที่"ทิ้งตำรา"ของมหายาน(ที่มีมากมายจนฟั่นเฝือ) แล้วย้อนมา"อ่านใจธรรมชาติ"......
เซนในยุคเริ่มต้น จึงเป็นลักษณะชี้ตรงเข้าที่ใจ โดยใช้ปริศนาธรรมที่ลึกซึ้ง......โดยที่ปรมาจารย์พระเซนในยุคต้นๆ(เช่นท่านเว่ยหลาง ฮวงโปๆลๆ)เท่าที่ทราบ ท่านก็ยังคงรักษาศีลพรหมจรรย์-ธรรมวินัยอยู่น่ะครับ. พระป่ากรรมฐานของเถรวาทในยุคปัจจุบัน หลายต่อหลายท่าน ต่างยกย่องและยอมรับคำสอนของ ปรมาจารย์พระเซนในยุคต้นๆ......
เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า เซนในยุคต้นๆคล้ายกับเถรวาทมากกว่าคล้ายกับทางมหายานด้วยกันเองเสียด้วยซ้ำ

แต่เซนในปัจจุบันนั้น ไม่เหมือนในยุคเริ่มต้น....
พระเซนในยุคปัจจุบัน ละทิ้งศีลพรหมจรรย์-ธรรมวินัย พากันมาใช้ชีวิตแบบฆราวาส เช่น มีเมีย ทำธุรกิจ ๆลๆ. เซนในปัจจุบัน เน้นการใช้ภาษาที่ฟังดูสวยหรู แต่ไม่ชี้ตรงเข้าที่จิตอย่างลึกซึ้งอย่างปรมาจารย์เซนยุคต้นๆ.....
ส่วนพระเซนเริ่มละทิ้งศีลพรหมจรรย์-ธรรมวินัยของพระพุทธองค์เมื่อใด ผมก็พยายามหาอยู่เหมือนกัน..... ทราบแต่ว่า ในยุคสมัยของอิ๊กคิวซัง ที่บอกว่าบรรลุธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ก็มาแต่งงานมีภรรยาตอนอายุมากแล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมโอวาท ท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์

กล่าวถึง เรื่องการเลิกรักษาศีลพรหมจรรย์ของพระมหายาน(และพระเซน)ในปัจจุบัน



จาก http://larndham.net/index.php?showtopic=25012&st=0



ยกตัวอย่าง ดังที่กล่าวแล้วว่าในประเทศญี่ปุ่นมีพุทธศาสนามหายานหลายนิกาย และแยกนิกายย่อย เป็นร้อย ๆ นิกาย เอาเฉพาะนิกายใหญ่ 5 นิกาย ก็สอนและปฏิบัติต่างกันมากมาย

เวลานี้สิ่งหนึ่งที่พระมหายานของญี่ปุ่นทุกนิกายรักษาไว้ไม่ได้ ก็คือเพศพรหมจรรย์ นิกายเซนที่ว่ารักษาไว้ด้วยดีมานาน เดี๋ยวนี้ตัวอาจารย์เจ้าสำนักก็มีครอบครัวกันไป

พระญี่ปุ่นบางนิกาย อย่างนิกายชิน นอกจากมีครอบครัว แล้วยังทำธุรกิจ เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของกิจการ ทำการค้าพาณิชย์ต่าง ๆ บ้างก็เล่นการเมือง บางนิกายถึงกับตั้งพรรคการเมือง อย่างเช่น นิกายโซกะงักไก ที่เป็นนิกายย่อยหนึ่งของนิกายนิจิเรน ได้ตั้งพรรคการเมืองโกเมโตขึ้น

พระญี่ปุ่นบางนิกายนั้นในประวัติศาสตร์ถึงกับตั้งกองทัพของตนเอง มีอำนาจทางการเมืองและทางการทหารมาก แข่งอำนาจกับทางฝ่ายบ้านเมืองนั้น หรือแข่งอำนาจกับพวกขุนนาง จนในที่สุดทางฝ่ายบ้านเมืองทนไม่ไหว ต้องยกทัพเข้ามาปราบปราม ทำสงครามกัน

ส่วนทางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่ารักษาวินัยแบบแผนคำสอน หลักการเดิมไว้ อย่างแม่นยำที่สุด เพราะฉะนั้นสภาพสับสนและเหตุการณ์แปลกๆ อย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะวินัยที่พระรักษานั้น ป้องกันไว้อย่างรัดกุมที่สุด ไม่มีทางที่จะคลาดเคลื่อนไปได้ นอกเสียจากว่าเราจะไม่รักษาพระไตรปิฎกบาลีนี้ไว้


และอีกบทความหนึ่ง




ในที่สุดนี้ ชาวพุทธควรจะพิจารณาตรวจสอบตนเองให้ดี ว่าเราจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ได้อย่างไร
มิใช่กลายเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นมรดกที่บรรพบุรุษได้อุตสาหะเพียรพยายามรักษากันมาตั้งเป็นพันๆ ปี
ชาวพุทธจะต้องมีการศึกษาแม้แต่ขั้นเบื้องต้น ที่จะทำให้รู้ตระหนักถึงความสำคัญของพระธรรมวินัย ที่ท่านรักษาไว้ในพระไตรปิฎก และมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระไตรปิฎกนั้นกับความเป็นไปของพระพุทธศาสนา
ขอเล่าเรื่องหนึ่งว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว มีพระภิกษุจากประเทศไทยคณะหนึ่งเดินทางไปดูการพระศาสนาที่ประเทศญี่ปุ่น
วันหนึ่งก็ได้ไปเยี่ยมวัดของสังฆราชนิกายหนึ่ง เมื่อเข้าไปพบกับสังฆราชนิกายนั้น ก็มีหญิงสาวนำน้ำชามาต้อนรับพระภิกษุไทย ได้ความว่า หญิงสาวที่นำน้ำชามาต้อนรับนั้น เป็นลูกสาวของสังฆราชญี่ปุ่นนั่นเอง
ถ้าคนไทยไม่อยากเห็นพระภิกษุไทยเป็นอย่างพระญี่ป่น ก็จะทำได้ด้วยการช่วยกันรักษาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนี้ไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์มั่นคง ดังเป็นที่รู้กันอยู่และเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้รู้ทั่วโลกว่า พระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนี้แหละ เป็นแหล่งบรรจุรักษาคำสอนเดิมแท้ของพระพุทธศาสนาไว้เราควรจะมีความภูมิใจที่สามารถรักษาคำสอนที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแท้จริงนี้ไว้ให้แก่โลก เพื่อให้พระสัทธรรมอำนวยประโยชน์สุขที่ยั่งยืนแก่มวลมนุษย์สืบไป


http://members.tripod.com/~b2b2/tmk/tmk47.txt
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลวงปู่ชา สุภัทโท ที่มีคำสอนในแนวการอ่านใจธรรมชาติบ่อยๆ


ลองอ่านท ี่ท่านกล่าวยกย่องท่านเว่ยหลางดูน่ะครับ



“สูตรของเว่ยหล่าง (หรือฮุยเหนิง)” ของพระสังฆปริณายก (นิกายเซ็น) องค์ที่หก

ท่านฮุยเหนิงมีปัญญาเฉียบแหลมมาก คำสอนของท่านลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งไม่ใช่ของง่ายที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติจะเข้าใจได้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติตามศีลและด้วยความอดทนและถ้าท่านฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ท่าน ก็จะเข้าใจได้ในที่สุด ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝก ฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และ วันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนึ่ง เขาไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไป และผมได้ถามถึงกุฏิของเขา เขาตอบว่าเขากำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นการไม่ยึด มั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย
ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดีและ เป็นอยู่ง่ายๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัว ท่านจึงจะเข้าใจซึ้งถึงปัญญาของท่านฮุยเหนิงได้

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=200



ในขณะที่ท่านสรรเสริญถึงปัญญาของท่านเว่ยหลาง ปรมาจารย์เซนในอดีต

แต่ท่านก็ทักท้วงในกรณีที่พระมหายาน(รวมทั้งพระเซนในปัจจุบัน)ในปัจจุบันจำนวนมากพากันละทิ้งศีลพรหมจรรย์




เซนในอเมริกา


พอล; มหายานถือว่าจิตเดิมแท้เป็นของบริสุทธิ์ สรรพสัตว์มีพุทธภาวะในใจอยู่แล้ว ฉะนั้น บางคนเห็นว่าไม่ต้องประพฤติปฏิบัติให้ลำบาก

หลวงพ่อ; เรามีอะไรสะอาดบ้างไหม.....
ถาดใบนี้น่ะ สมมติว่าเราเอาขี้ใส่ แล้วพูดว่าถาดใบนี้เดิมแท้เป็นถาดสะอาด ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องล้าง......อย่างนี้จะถูกไหม


พอล; บางคนไม่ยอมปฏิบัติ เพราะเห็นว่าเขาสบายแล้ว ไม่มีความทุกข์

หลวงพ่อ; ถ้าหากว่า เด็กน้อยไม่ยอมไปโรงเรียน ดื้อกับพ่อแม่ว่า ไม่ไป ผมสบายแล้ว.....อย่างนี้จะดีไหม

พอล; บางคนเขาเห็นว่า ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สมบูรณ์ ชีวิตต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับจึงจะเป็นธรรมชาติ ...... ถ้าไม่มีความทุกข์ ความสุขก็ไม่มีรสชาติ

หลวงพ่อ; จะเอาอย่างนี้ก็ได้ ....
อย่าปล่อยน่ะ จับไว้ดีๆ จับไว้นานๆ ดูวิว่า มันจะเป็นอย่างไร
ถ้าหากว่าคนเราจะมีความเห็นต่างๆอย่างนี้ และไม่ยอมรับความจริง ก็ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นก่อน

(โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท จาก อุปลมณี หน้า536)




แน่จริงต้องพรหมจรรย์



อีกประเด็นหนึ่งที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมาเป็นข้อเตือนใจผู้ปฏิบัติ ได้แก่ การที่ผู้สอนกรรมฐานยังถือเพศฆราวาส และ ไม่ให้ความสนใจในเรื่องศีลเท่าที่ควร. คงมุ่งสอนเฉพาะวิธีในการนั่งสมาธิเท่านั้น …..ทั้งที่ในความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างเป็นปัจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

หลวงพ่อได้ย้ำความสำคัญของการถือพรหมจรรย์ โดยกล่าวว่า

“ความเป็นจริง พุทธศาสนานี่นะ คนเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ต้องอยู่ในพรหมจรรย์อย่างนี้ เป็นพระสงฆ์ตลอดไปอย่างนี้ สอนกรรมฐานเรื่อยไป
การอยู่พรหมจรรย์เช่นนี้ ไม่ใช่เฉพาะคนเดียวนะ….หลายๆคน…อำนวยประโยชน์แก่การปฏิบัติได้มากที่สุด
เพราะชีวิตพรหมจรรย์ไม่ต้องการอะไรมาก …..มุ่งสั่งสอนตนเองและญาติโยมทั้งหลายให้มีธรรมะเท่านั้น ไม่มุ่งอะไรต่างๆนาๆหลายอย่าง อาตมาว่าควรแล้ว
จะพูดถึงมนุษย์ มันก็มากไปแล้ว เดี๋ยวนี้…..มันมากไป….พอที…..เป็นพรหมจรรย์ก็ดีเหมือนกันน่ะ มันจะไม่มีที่หากินกันแล้วทุกวันนี้ มันยุ่งกันนี้ เกิดรบราฆ่าฟันกันหลาย เพราะว่าคนมาก ไปรักษาพรหมจรรย์กันก็ดีเหมือนกัน จะมีประโยชน์มากเลย”

เมื่อหลวงพ่อกล่าวเรื่องนี้จบ ก็มีคำถามขึ้นมาอีกว่า
“พุทธศาสนาฝ่ายมหายานบางนิกาย เช่น ธิเบต และเซน ก็มีคนแต่งงานแล้วได้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน ทำไมเราจึงจะไว้ใจเขาไม่ได้ล่ะครับ”

หลวงพ่อหัวเราะพร้อมกับปรารภขำๆว่า

“คนยังเป็นขโมยอยู่ก็ไม่ไว้ใจล่ะเนาะ”

จากนั้นท่านก็ชี้แจงว่า

“เอาเครื่องวัดอย่างนั้นไม่ได้……
ที่เรียกว่าพระศาสนานะ ไม่ใช่เถรวาท ไม่ใช่เซน ไม่ใช่ธิเบต แต่เป็นสัจธรรม…..
ท่านไม่ได้กล่าวถึง บุคคลนั้น บุคคลนี้ พระศาสนาไม่ใช่บุคคลน่ะ แต่บุคคลต้องน้อมศาสนามาปฏิบัติ
คนไปทำผิด ไม่ใช่ศาสนาผิดน่ะ ……ศาสนายังตรงอยู่ ตั้งโลกอยู่เสมอ
เราต้องศึกษาพุทธศาสนาให้แน่นอน…. คนจะโกหกเราไม่ได้ ถ้าเรารู้จักพุทธศาสนาแน่นอนแล้ว
อาตมาเพียงแต่บอกให้ระวังเท่านั้นหรอก…..ดีกว่าน่ะ…..ดีกว่าไม่ระวัง…..หรือไม่ดี?”



(โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท จาก อุปลมณี หน้า 540)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความสำคัญ ของ สิกขาบท และ ปาฏิโมกข์ (ศีล-วินัย) ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้แก่อนุชนคนรุ่นหลังมีความสำคัญมาก......
จริงอยู่ ถึง ศีล-วินัย จะไม่ใช่ตัวปรมัตถธรรมโดยตรงก็ตาม......แต่เนื่องเพราะสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนใหญ่แล้ว จำเป็นต้องอาศัยกรอบ แนวทาง ที่พระพุทธองค์ทรงวางแนวไว้ให้จึงสามารถเดินตามมรรคโดยไม่ผิดเพี้ยน เข้าสู่ปรมัตถธรรมที่แท้จริงได้
ถ้าปราศจาก หลักศีล-วินัย แล้ว ไม่ช้านานก็จะพากันเดินผิดเพี้ยนออกจากมรรคที่แท้จริงกันไปหมด


มีพระพุทะวจนะ ที่ตรัสยืนยันถึงความสำคัญ ของ สิกขาบท และ ปาฏิโมกข์



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ วินัยปิฎกที่ ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ ไม่นาน และ นาน

[๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิด
ขึ้นอย่างนี้ว่า

พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน

ดังนี้ ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า

พระพุทธเจ้าข้าข้าพระพุทธเจ้าไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
ของพระผู้มีพระภาคพระนาม กกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.

ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู
ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ
เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี
พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดง
แก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่ง
สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน
ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดย
ฉับพลัน....


.... ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ
พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนาม
กัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง
สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ
ของพระผู้มีพระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์
ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น
เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่าง
ชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระ
ศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีโอวาทธรรม ของ หลวงปู่ ชา สุภัทโท มาลงเพิ่มเติม




โยมคนหนึ่งได้กราบเรียนข้อข้องใจว่า
“คำสอนของเซนให้คนอยู่ตามธรรมชาติ แต่รู้สึกหลวงพ่อพูดตรงกันข้าม ขอให้อธิบายหน่อยครับ”

หลวงพ่อ; “ เราสอนไม่ได้ตามใจคน ถ้าตามใจคน มันก็ยังเป็นคนอยู่อย่างนั้น.
ถ้าตามใจกิเลสก็ยังเหลืออยู่ ไม่ได้เป็นอะไรสักที เช่น ถ้ามันขี้เกียจก็ให้มันขี้เกียจ มันอยากนอนก็ให้มันนอนเสีย อยากทำงานก็ให้ทำงานเสีย.
ถ้าอยู่ตามธรรมชาติจริงๆนั้น ท่านให้อยู่ตามธรรมชาติ ต้องให้มีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติด้วย ไม่ผิดเหมือนกัน
แต่กลัวพวกเราทั้งหลายมันจะเป็นลิงหมดน่ะ …..ปล่อยให้เป็นลิง มันก็จะไม่เป็นมนุษย์สักที …..ก็เป็นลิงอยู่เรื่อย….
เซนท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็มีปัญญาพูดน่ะ ให้มีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติ ธรรมชาตินั่นล่ะเป็นธรรมะ ธรรมะนั้นก็คือ ธรรมชาติ ถ้ารู้มันแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น…… กลัวคนทั้งหลายจะไม่รู้ถึงนั่น…..ๆลๆ”

(โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท จาก อุปลมณี หน้า 539)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากเสนอให้เปรียบเทียบระหว่าง


เรื่องพระเซ็นชราอุ้มหญิงสาวข้ามน้ำตื้นๆ

กับ

พระสารีบุตรทิ้งยา-ทิ้งชีวิต เพื่อรักษาศีล





ประเด็น เรื่อง พระเซนอุ้มหญิงสาวข้ามน้ำนั้น



http://www.geocities.com/knowable2001/zen001.htm


ครั้งหนึ่งพระภิกษุทันซันและเอกิโด ร่วมเดินทางไปตามถนนซึ่งเป็นโคลนตมสายหนึ่ง ขณะนั้นฝนกำลังตกหนักจึงทำให้มีน้ำเจิ่งไปทั่วถนน เมื่อทั่งสององค์เดินมาถึงหัวโค้งถนน ก็พบหญิงสาวสวนคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อกิโมโนไหมที่มีสายคาดเป็นแพรเนื้อดี เธอไม่อาจเดินข้ามห้วงน้ำที่กำลังเจิ่งถนนตอนนั้นได้ (เพราะเกรงว่าเสื้ออันสวยงามของเธอจะเปียกเปื้อน) ทันใดนั้น พระภิกษุทันซันได้เดินเข้าไปหาหญิงสาวผู้นั้นและกล่าวว่า "มานี่ซิเธอ ฉันจะช่วย" ว่าแล้วก็อุ้มหญิงสาวบุกข้ามห้วงน้ำนั้นไป

พระภิกษุเอกิโด ได้มองดูการกระทำของเพื่อนร่วมทางอย่างเงียบๆ และมิได้ปริปากพูดอะไรขึ้นอีกเลย ทั้งสองรูปเดินทางต่อไปจนค่ำ และเข้าอาศัยพักอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง เมื่อต่างองค์ได้จัดที่ทางเรียบร้อยแล้ว เอกิโดจึงได้กล่าวขึ้น ด้วยอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปว่า "นี่แน่ะท่าน ในฐานะที่เราเป็นสมณะ ไม่ควรบังอาจเข้าไปใกล้สตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่สาวและสวย เพราะมันเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์อย่างร้ายกาจ เมื่อกลางวันนี้ทำไมท่านจึงเข้าไปอุ้มหญิงสาวผู้นั้น" "ผมวางเธอไว้ที่นั่นตั้งแต่กลางวันนั้นแล้ว" พระภิกษุทันซันตอบ "ท่านยังอุ้มเธออยู่อีกหรือ"




ส่วนพระสารีบุตร ที่ท่านยอมทิ้งชีวิตเพื่อรักษาศีล-วินัย นั้น..... ได้เคยฟังมาดังนี้
ตอนที่ท่านอาพาธ ขณะนั้นท่านอยู่ในสถานที่วิเวกแห่งหนึ่ง ไกลจากหมู่บ้าน.....
แล้วมีเทวดาที่อยากได้บุญทราบว่าท่านอาพาธ เทวดาอยากได้บุญเลยไปเข้าสิงเด็กในหมู่บ้าน บอกให้พ่อแม่เด็กนำยาไปถวายพระสารีบุตร.พระสารีบุตรท่านรับยานั้น แล้วทราบด้วยญาณว่ายานี้ได้มาแบบไม่บริสุทธิ์ .....ท่านทิ้งยานั้นลงกับพื้น....ทันทีที่ยาตกลงถึงพื้น อาพาธท่านก็หายทันที ด้วยอานิสงส์ของศีลที่บริสุทธิ์ .
นี่คือการรักษาศีลของผู้สิ้นสมมุติแล้ว..... ท่านไม่อาลัยใยดีในชีวิตท่านเลย ท่านเอาชีวิตไปแลกกับศีลเลย......



อยากให้ลองพิจารณาถึงประเด็นของสองเรื่องนี้
1.ความจำเป็นในการล่วงละเมิดศีล
2.ผลกระทบที่ติดตามมาจากเรื่องนี้

###ความจำเป็นในการล่วงละเมิดศีล###
ในกรณีของพระภิกษุชราอุ้มหญิงสาวข้ามน้ำตื้นๆนั้น ไม่ใช่ว่า ถ้าท่านไม่ยอมละเมิดศีลแล้วจะมีอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตหญิงสาวเสียที่ไหน.....อย่างมากก็เพียงชุดแต่งตัวหญิงสาวเปียกน้ำในการเดินข้ามลำห้วยเอง. ท่านละเมิดศีล เพียงเหตุเท่านี้
ในกรณีของพระสารีบุตรที่ท่านยอมทิ้งยา-ทิ้งชีวิตเพื่อรักษาศีลนั้น ....ถ้าท่านจะฉันยานั้น ก็ยังพอจะมีเหตุผลในความรู้สึกของเราๆท่านๆอยู่ว่า มีความจำเป็น

###ผลกระทบที่ติดตามมาจากเรื่องนี้###
ในกรณีของพระภิกษุชราอุ้มหญิงสาวข้ามน้ำตื้นๆนั้น
จริงอยู่ว่าพระภิกษุชราท่านอาจจะเป็น"ไม่ทำอะไร"หรือ"ไม่ต้องทำอะไรแล้ว" แต่เรื่องนี้อาจจะมีส่วนให้ภิกษุรุ่นหลังที่แพ้กิเลสกามราคะใช้เป็นกรณีตัวอย่างในการก้าวล่วงศีลพรหมจรรย์(ความเห็นส่วนตัว)
 


แก้ไขล่าสุดโดย ตรงประเด็น เมื่อ 22 ต.ค.2007, 12:09 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จริงอยู่ ที่ มรรคนั้นก็ไม่ใช่นิพพาน.....

แต่ก็เพราะอาศัยมรรคที่พระพุทธองค์ทรงวางเป็นแนวไว้นั้นเองเป็นแนวทาง และพุทธสาวกเดินด้วยตนเองจนถึงที่สุดของมรรค ก็จะประจักษ์ซึ่งนิพพาน....
มรรคนั้นประมวลย่อลงมาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา....
ถ้าจะกล่าวว่า ทางเดินยังคงไม่ใช่ตรงจุดหมายปลายทาง ก็คงจะไม่ผิด
แต่ก็เพราะอาศัยทางเดินนั้นแหละ จึงสามารถถึงซึ่งจุดหมายปลายทางได้(สำหรับอนุพุทธะ)


เคยมีพระอาคันตุกะรูปหนึ่ง จะไปปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์พระป่าท่านหนึ่ง
แต่ทางวัดป่านั้น(แม้นจะเป็นมหานิกาย)มีกฏห้ามไม่ให้พระในวัดทุกรูปครอบครองเงินทอง.....
พระอาคันตุกะท่านนั้น กล่าวกับท่านอาจารย์เจ้าอาวาสว่า
ผมไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะขอครอบครองเงินทองได้ไหม..... สงสัย

ท่านอาจารย์เจ้าอาวาสนั้นท่านเลยย้อนกลับไปว่า ถ้าท่านกินเกลือแล้วไม่เค็มก็สามารถถือเงินทองแบบไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ และท่านยังบอกว่าถ้ากินเกลือแล้วไม่เค็มจริงๆแล้วท่านจะไปนำเกลือมาให้กินสักกระทง.......
ท่านกล่าวว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น จะพูดเอาลอยๆอย่างนั้นไม่ได้

ดังนั้น จะไปแปรว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องเคารพศีล หรือ พระธรรมวินัยไม่ได้!!!
หรือจะไปแปรว่า ผู้ที่พยายามรักษาศีล คือพวกยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ได้อีก!!!

ยิ่งอัตตาตัวตนเบาบางเท่าใด จะรักษาศีลได้ดีมากขึ้นเท่านั้น


ก็เป็นมุมมองหนึ่ง ถูก-ผิด ประการใด ขออภัยล่วงหน้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำหรับเรื่อง ท่านทันซันอุ้มหญิงสาวนี้

ผู้เล่า ดูเหมือนจะพยายามกล่าวในลักษณะที่ว่า
......การที่พระรักษาศีลพรหมจรรย์= พระยึดมั่น-ถือมั่น?........
..... ถ้าพระจะไม่ยึดมั่น-ถือมั่น ก็คือ พระไม่จำเป็นต้องรักษาศีลพรหมจรรย์ก็ได้.....




ทีนี้ ลองมาวิเคราะห์ต่อน่ะครับ ว่า การที่พระเอกิโดกล่าวกับพระทันซัน ในลักษณะที่ว่าท่านงุนงงว่า พระทันซันอุ้มหญิงสาวนั้น ไม่อันตรายต่อพรหมจรรย์หรอกหรือ?


ท่านอาจารย์หลวงพ่อทันซันองค์นี้มีตัวตนอยู่จริงๆ ท่านมรณะภาพเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ.2435 (115ปีย้อนกลับไป)

อิ๊กคิวซัง ซึ่งจากประวัติว่า แต่งงานมีภรรยาเมื่ออายุมากแล้ว นั้น มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.1892 -2024 (658ปีย้อนกลับไป)

สังเกตุดีๆน่ะครับ เหตุการณ์ที่อิ๊กคิวซังมีภรรยา นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนที่จะเกิดเรื่องพระทันซันอุ้มหญิงสาวตั้งนาน.....(จะวิเคาะห์เรื่อง ที่อิ๊กคิวซังมีภรรยาต่อภายหลังครับ)

และอิ๊กคิวซังก็เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่นมาช้านานแล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่ พระเอกิโดจะไม่ทราบเรื่องที่อิ๊กคิวซังเองก็เคยมีภรรยา


คำถามคือ

ก็ในเมื่อ พระเซนก่อนหน้ายุคท่านทันซัน อย่าว่าแต่แค่อุ้มหญิงเลย..... มีภรรยายังได้เลย

แล้วท่านเอกิโดจะมางุนงงกับ เพียงแค่การอุ้มหญิงสาวของท่านทันซันทำไม ???


นี่คือ ความไม่สมเหตุ-สมผล อีกอย่างของเรื่องนี้



ดูไป-ดูมา เรื่องเล่านี้ เหมือนกับเจตนาจะอธิบายเหตุผลที่พระเซนในยุคหลังๆไม่จำเป็นต้องรักษาศีลพรหมจรรย์เสียมากกว่า
ซึ่งเหตุผลนี้ก็คือ ก็เพื่อจะไม่ต้องยึดมั่น-ถือมั่น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัญหาเรื่อง ศีลพรหมจรรย์ของพระนิกายเซน ในยุคสมัยของอิ๊กคิวซัง



ได้มีโอกาส กลับไปทบทวน ประเด็นนี้.....
มีมุมมองมาเสนอเพิ่มเติมครับ

คือ จากประวัติของอิ๊กคิวซัง จาก

http://std.kku.ac.th/4732200405/Icusan.txt

สังเกตเห็นได้ว่า ในยุคสมัยของอิ๊กคิวซัง แนวคิดที่ว่าพระภิกษุเซนสมควรรักษาศีลพรหมจรรย์นั้นก็ยังมีอยู่ในพระเซนบางกลุ่ม.....
และดูว่าจะเป็นการเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างสองแนวคิด คือ
1.พระเซนที่เห็นว่าควรรักษาศีลพรหมจรรย์ต่อเช่นที่ปรมาจารย์เซนยุคต้นๆท่านกระทำกัน
กับ
2.พระเซนที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรักษาศีลพรหมจรรย์แล้ว

จาก

“..........อิ๊กคิวซังเคยไปร่วมงานครอบรอบวันมรณภาพ ของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ด้วยสภาพมอมแมมสกปรก จีวรหลุดลุ่ย
พร้อมทั้งด่าทอพระที่มือถือสากปากถือศีล
เพราะในสมัยนั้นมีพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากที่ทำตัวเคร่งพระวินัย ถึงขนาดบอกว่าผู้หญิงเป็นมารศาสนา แต่ว่ากลับลักลอบให้แม่เล้า-แมงดานำโสเภณีมาบำเรอถึงในกุฏิ…..ๆลๆ


………(อิ๊กคิวซัง)เดินเข้าออกซ่องโสเภณีอย่างเปิดเผยเป็นว่าเล่น…..ๆลๆ



.........การกระทำแบบนี้อิ๊กคิวซังต้องการต่อ้าน และเสียดสี
รวมทั้งสั่งสอนพระจอมปลอมในยุคนั้ให้ละอายกับการลวงโลก
อิ๊กคิวซังคบหาและปฏิบัติกับโสเภณีอย่างเปิดเผยสุภาพและให้เกียรติ.....”





ผมมองว่า การที่ อิ๊กคิวซัง แก้ปัญหาพระเซนผู้ใหญ่บางรูปที่ประพฤติตนแบบ “มือถือสาก-ปากถือศีล” ด้วยวิธีที่อิ๊กคิวซังใช้ ด้วยการ
“เดินเข้า-ออก ซ่องโสเภณี อย่างเปิดเผย” และ
“คบหาและปฏิบัติ กับโสเภณีอย่างเปิดเผย และให้เกียรติ”
เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่สมควร และเป็นแบบอย่างให้พระเซนรุ่นต่อๆมา พากันล่ะทิ้งศีลพรหมจรรย์กันเกือบทั้งหมด เช่น ในญี่ปุ่นปัจจุบัน....

(ปล... ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัดน่ะครับว่า ก่อนสมัยอิ๊กคิวซัง มีพระเซนล่ะทิ้งศีลพรหมจรรย์กันบ้างไหม. ผมถึงได้ขอความรู้จากท่านผู้ศึกษานิกายเซนในกระทู้นี้ว่า ถ้าท่านใดทราบช่วงเวลาที่แน่ชัดว่า พระเซนเริ่มล่ะทิ้งศีลพรหมจรรย์กันช่วงไหน ก็โปรดบอกผมเป็นวิทยาทานด้วย)


การที่พระเซนอาวุโส ในยุคนั้นทำตัวในลักษณะ “มือถือสาก-ปากถือศีล”นั้น
วิธีการแก้ที่ถูก ก็คือว่า อิ๊กคิวซังควรรักษาศีลพรหมจรรย์ต่อ ส่วนพระเซนอาวุโสนั้น ก็ปล่อยให้สังคมเขาตัดสินเอง.....
ไม่ใช่ อิ๊กคิวซัง ใช้วิธีเลิกรักษาศีลพรหมจรรย์ โดยใช้เหตุผลว่า เพื่อให้ปากกับใจตรงกัน.....


ถ้า พระเซนอาวุโสในยุคนั้น ทำตัวแบบ “มือถือสาก-ปากถือศีล” (ไม่รักษาศีลพรหมจรรย์แต่ กล่าวว่าตนรักษาศีลพรหมจรรย์) จริงๆ....
มันก็เป็นข้อบกพร่องส่วนตัวของพระเซนอาวุโสรูปนั้น

ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อิ๊กคิวซังจะต้องทำตัวแบบ “มือถือสาก-ปากถือสาก”(ไม่รักษาศีลพรหมจรรย์ และ ปฏิเสธหลักศีลพรหมจรรย์) เลย.....
เพราะการทำแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย มิหนำซ้ำยังทำให้พระเซนรุ่นหลังพากันทำตาม.....
เป็นการทำลายพระวินัยที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงวางแนวทางไว้ให้....

จนทำให้พระเซนในญี่ปุ่น มีสภาพดังที่เห็นในปัจจุบัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ต.ค.2007, 11:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่ ก็มีข่าวดีมาบอกเหมือนกันครับ


มีข่าวของ นักบวชในนิกายเซนบางท่านในญี่ปุ่น ที่เริ่มหันกลับมารักษาศีลพรหมจรรย์กันมาฝากอ่านน่ะครับ

ไม่ใช่ภิกษุ แต่เป็นภิกษุณีครับ





จาก http://www.komchadluek.net/column/pra/2004/08/17/01.php



"........พระภิกษุญี่ปุ่นส่วนใหญ่สาละวนอยู่กับการประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศพ พระเกือบทุกรูปมีลูกเมียอยู่ครองเรือน เช้าเดินมาทำงานที่วัด เย็นก็กลับไปอยู่กับลูกกับเมีย จึงมีเวลาทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาน้อย

ส่วนภิกษุณีในโซโตเชนในสำนักของท่าน ล้วนประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด จึงมีเวลาทุ่มเทให้กับพระศาสนาอย่างเต็มที่ และท่านได้รับนิมนต์ไปพูดในการประชุมทางศาสนานานาชาติหลายต่อหลายครั้ง....."


ครับ.....

เป็นนิมิตหมายที่ดี
ที่พระพุทธศาสนามหายานนิกายเซนในญี่ปุ่นอาจจะกลับมารักษาศีลพรหมจรรย์กันใหม่ เหมือนเช่นที่ ท่านปรมาจารย์เซนในอดีตท่านรักษากัน.....

ถึงแม้นจะเป็นเพียง กลุ่มภิกษุณีกลุ่มเล็กๆก็ตาม

แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ หลายต่อหลายอย่าง ก็เริ่มมาจากสิ่งเล็กๆ....ไม่ใช่หรือ


ขอกราบคารวะ ท่านภิกษุณี ซุนโด โอยามะ ครับ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2007, 12:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระปรมาจารย์เซนในยุคต้นๆ ผมถือว่าท่านเป็นพระในพระพุทธศาสนาเช่นกันครับ(ส่วนตัว ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะเป็นพระอรหันต์เสียด้วยซ้ำ)..... เพียงแต่ท่านไปเกิดอยู่ในประเทศที่มหายานเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น.
ตรงนี้บอกอะไรได้อย่างหนึ่ง..... คือ ถึงแม้นท่านเหล่านั้นจะได้รับคำสอนเพียง"บางส่วน"ของพระพุทธเจ้าศากยมุนีในมหายานส่วนที่ยังคงตรงกับคำสอนที่แท้จริง ก็ยังเพียงพอสำหรับ"บางกลุ่มคน"ที่จะพ้นทุกข์ได้
ที่ผมเน้นว่าเป็นเพียงสำหรับ"บางกลุ่มคน" ก็เพราะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้วิธีการเดียวกับพระปรมาจารย์เซนในยุคต้นๆแล้ว จะสามารถเข้าถึงปรมัตถธรรมที่แท้จริงโดยไม่ผิดเพี้ยน.... ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า พระเซนในยุคหลังๆนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร
ตรงนี้ก็ย้ำถึงความสำคัญของ สิกขาบท และ ปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงวางกรอบไว้ให้ว่า มีความสำคัญมาก ที่จะช่วยประคองให้อนุชนคนรุ่นหลัง สามารถเดินตรงทางในมรรค โดยไม่แฉลบออกไปทางซ้ายหรือทางขวาเสียก่อน




บางท่าน อาจจะถามว่า
แล้วพระของทางเถรวาทที่ทำอาบัติปาราชิกด้วยการเสพเมถุนธรรม ทั้งๆที่ครองจีวรไม่มีหรือ?

ประเด็นนี้ มันอยู่ตรงที่ว่า
1.ทำตนผิดเพี้ยนออกจากหลักการที่ถูกต้อง
2.ทำหลักการที่ถูกต้องให้ผิดเพี้ยน

ประเด็นของพระเถรวาทที่ทำอะไรแปลกๆนั้น ก็มีอยู่จริงครับ.... ผมก็เห็น. แต่ต้องสังเกตุว่า ทำไมเรา-ท่านจึงสามารถรู้ได้ว่า พระเถรวาทบางท่านทำผิดเพี้ยน?
ที่เราสามารถรู้ได้ว่า พระเถรวาทบางท่านทำผิดเพี้ยน ก็เพราะเรายังคงมีหลักการที่ถูกต้อง(ศีล-วินัยของพระพุทธเจ้าศากยมุนี)ไว้เป็นเกณฑ์ชี้วัด อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวไว้.... จึงกล่าวได้ว่า พระเถรวาทที่ทำอะไรแปลกๆนั้น เป็นข้อ1 คือ ทำตนผิดเพี้ยนออกจากหลักการที่ถูกต้อง

ในขณะที่ กรณีพระมหายานเสพเมถุนธรรมทั้งๆที่ครองจีวร ทางมหายานเองกลับไม่สามารถชี้ได้ว่านั่นคือ "การผิดเพี้ยน"ออกจากหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าศากยมุนีแล้ว.... เพราะอะไร.... ก็เพราะว่าหลักการ(ศีล-วินัย)ของทางมหายานนั้นมีปัญหาในตัวเอง เป็นข้อ2 คือ ผิดเพี้ยนในระดับหลักการ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2007, 12:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนที่เผยแผ่มหายานหลายๆท่าน เรื่องที่ว่า ผมอยากเสนอให้ทางเขาช่วยกันไป"บอกต่อ"ในหมู่คนที่ชื่นชอบมหายาน(และเซน) ในเรื่องที่อยากเห็นพระมหายานในปัจจุบันหันกลับไปรักษาศีลพรหมจรรย์ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลกระทำกันมา.....

เพราะการที่ภิกษุจะมาเสพเมถุนธรรมทั้งๆที่ครองจีวรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีสอนเอาไว้แน่ๆ

บางท่านก็เห็นด้วยกับผม
บางท่านก็ไม่เห็นด้วยกับผม
บางท่านก็ไม่แสดงความเห็น
บางท่านก็ยกเรื่อง"การฟังอย่างลึก"มาให้ผมฟังแทน


เหตุผลหนึ่ง ที่เคยได้สดับรับฟังมา คือว่า เขาเห็นว่า "ทวิธรรม" หรือ สิ่งที่เป็นของคู่ทั้งหลาย คือ ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ บุญ-บาป ดีใจ-เสียใจ ชอบใจ-ไม่ชอบใจ นั้น ต้องวางทั้งหมด.....
เขาก็เลยกล่าวในลักษณะคล้ายๆกับว่า ถ้าไม่ยึดติดกุศลแล้ว กิเลสก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ....เท่าที่ฟังดูเหตุผลของเขา จะเป็นในลักษณะ ทำนองนั้น....
คือ เหมือนกับเขามองว่า การละกิเลส=การรังเกียจกิเลส..... ดังนั้น เมื่อไม่ควรรังเกียจกิเลส ก็เลยไม่ต้องละกิเลส....
ความจริง ปรมัตถธรรมที่เขากล่าวก็มีส่วนถูกน่ะครับ แต่ผมมองว่าใช้ไม่ถูกกาละเทศะ.....
..... มันเลยกลายเป็นเอาผล(วิมุติ) ไป หักล้างเหตุ(หลักของศีล-วินัย) .....
และความจริงก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพื้นฐานของศีล และ วินัย ดีเหมือนปรามาจารย์เซนในยุคต้นๆ
เลยมาลงเอยกัน อย่างที่เห็น ว่าภิกษุมหายานจำนวนมากในปัจจุบันพากันมีเมียทั้งๆที่ครองจีวร


ในโอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้3ข้อ คือ
1.ไม่ทำบาปทั้งปวง
2.ทำกุศลให้ถึงพร้อม
3.ทำจิตให้ขาวรอบ
ข้อ3นั้น ก็คือ ดับอุปาทาน-สิ้นทุกข์.... ซึ่ง จะเรียกว่า "เหนือบุญ-เหนือบาป"(ลอยทั้งบุญและบาป) "ไม่กระทำกรรมใหม่อีก" หรือ พ้นจากภาวะทั้งปวง ก็ได้.
ซึ่งตรงนี้ มันจะไปคล้ายกับที่ทางมหายานเขากล่าวถึงการพ้นจากทวิธรรม.....ฟังดูคล้ายๆกัน กับ การทำจิตให้ขาวรอบ(วิมุติ) .....แต่ผลที่ออกมา แตกต่างกันมาก เพราะใช้ปรมัตถธรรมผิดกาละเทศะ


ทั้งนี้ และ ทั้งนั้น ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่นับรวมปรมาจารย์เซนในรุ่นแรกๆน่ะครับ.... ท่านเหล่านั้น มีพื้นฐานของศีลและสมาธิที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว.... ท่านจึงเข้าถึงปรมัตถธรรมได้โดยไม่คลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน. ที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ ผมหมายเรียกร้องเอาเฉพาะภิกษุมหายานที่ยังครองจีวรแต่มีเมียเท่านั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
uk
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 07 ส.ค. 2007
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 24 ต.ค.2007, 6:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ขันธ์ 5 ธาตุ 4 พอกันทีชาตินี้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2007, 8:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องนี้เป็นนิทาน ที่ผมวางเค้าโครงเรื่องขึ้นมาเองทั้งหมด....
แต่งเล่นๆ เอาไว้นานแล้วครับ....
วันนี้ขออนุญาต นำมาลงในกระทู้นี้อีกที

ได้แรงบันดาลใจ จากการที่เคยสนทนาธรรมกับเพื่อนทางธรรมท่านอื่นๆ
กล่าวคือ ท่านไม่เห็นด้วย กับการที่จะต้องมามัวคร่ำเคร่งกับกับการรักษาศีลวินัยและปาติโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเป็นกรอบไว้...
เหตุผลคือว่า ท่านมองว่า ในเมื่อสิ่งทั้งหลายล้วนไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) และล้วนตกอยู่ในสภาพว่างเปล่าจากตัวตน(สุญญตา) .... จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย....

เมื่อไม่ควรยึดมั่นแล้ว จะมารักษาศีลทำไม(เขามองว่าการรักษาศีล คือการยึดมั่น-ถือมั่น)





สมมุติ-วิมุตติ (นิทานธรรมคำกลอน)

มุ่งวิมุตติ แต่ทิ้งศีล….จะวอดวาย


บทที่1
อารัมภบท

กาลครั้งหนึ่ง ย้อนไป ในหนหลัง
เล่าสู่ฟัง เป็นนิทาน นานนักหนา
มีอาราม แห่งหนึ่ง แต่ก่อนมา
หมู่สังฆา ประเสริฐ เลิศวินัย

พระเถระ เจ้าอาวาส หาขาดเว้น
เรื่องกฏเกณฑ์ มิเสื่อม น่าเลื่อมใส
ปาติโมกข์ ครบถ้วน ทุกส่วนไป
จึงยังให้ หมู่ชน ล้นศรัทธา

กาลต่อมา ประธานสงฆ์ องค์ผู้ใหญ่
ท่านฝักใฝ่ หลุดพ้น จึงค้นหา
เจ้าอาวาส มุ่งชัด วิปัสสนา
จึงเข้าป่า วิเวกหลบ ไม่พบใคร

ก่อนเข้าป่า ตั้งองค์รอง ขึ้นครองวัด
แล้วก็จัด หมู่เณร คอยรับใช้
ด้วยว่าเณร เคยช่วยท่าน อย่างรู้ใจ
กิจน้อยใหญ่ หมู่เณรทำ ด้วยชำนาญ



บทที่2
รักษาการเจ้าอาวาสไม่ชำนาญงานของวัด เลยพึ่งเณรเกินขอบเขต

พอนานไป กลายเป็น เณรครองวัด
ด้วยเจนจัด กำเริบ เลยเสิบสาน
และรองเจ้า อาวาส ไม่ทันการณ์
เพราะเพลินพาล เกลือกกลั้ว มัวฟังเณร

เณรเสนอ เช่นไร ไม่ตรองคิด
เรื่องถูก-ผิด มิรู้ หมู่พระเถร
ศีลวินัย ที่เคยชัด และจัดเจน
กลับละเว้น ทำตามใจ ไม่ระวัง


บทที่3
เณรเสนอใช้หลักวิมุติธรรม….มาลบล้างศีลวินัย

มาวันหนึ่ง หัวหน้าเณร ประกาศก้อง
ว่าไม่ต้อง กลัวอาบัติ หรือพลัดพลั้ง
พระเณรอยาก ทำเช่นไร ไม่ต้องยั้ง
เพราะสิ่งหวัง สูงสุด วิมุตติธรรม

เมื่อตัวตน สิ้นจึง ถึงความว่าง
ไม่แบ่งข้าง ชั่ว-ดี สิ….เลิศล้ำ
อยากกระทำ เช่นใด ให้กระทำ
อย่ามัวจำ ลืมให้สิ้น ศีลวินัย


“……จงอย่าแบ่ง ฝ่ายข้าง อย่างดี-ชั่ว
ไม่พันพัว ทวิธรรม จึงสดใส
จะรังเกียจ กิเลส กันทำไม….”
คือหลักใหญ่ วิมุตติธรรม สามเณร

เมื่อกล่าวจบ วจี ที่หรูเลิศ
จึงเกิด เสียงวิจารณ์ ในหมู่เถร
บ้างคล้อยตาม บ้างปฏิเสธ ในกฏเกณฑ์
บ้างความเห็น สับสน และปนเป

หัวหน้าเณร จึงจัดแจง แถลงย้ำ
เป็นถ้อยคำ น่างงงัน ด้วยหันเห
สิกขาบท เคยมี ที่จำเจ
อย่าสนเท่ห์ เร่งแก้ไข ไม่เนิ่นนาน


รักษาศีล ที่แท้หรือ คือยึดมั่น
ซึ่งขัดกัน กับ”ว่าง….มหาศาล”
จึงต้องแก้ พระวินัย ไปตามกาล
สุขสำราญ ยิ่งใหญ่ ในใจตน

“….การปล่อยวาง ต้องไร้ วินัยครอบ
จึงพ้นกรอบ ชั่ว-ดี ที่สับสน
ปฏิบัติแท้ ที่ใจ ไม่กังวล
จึงจักพ้น ถึงสุด วิมุติธรรม….”



บทที่4
กิเลสในใจปุถุชน จึงสำแดงเดช เมื่อขาดศีล-วินัย

หมู่พระเณร ทั้งหลาย พากันคล้อย
เคลิ้มตามพลอย คารม ที่คมล้ำ
ละทิ้งศีล- วินัย ไม่จดจำ
เกิดระส่ำ ระสาย ในอาราม

เป็นต้นเหตุ เณร-พระ ทั้งอาวาส
วินัยขาด หมองมัว ทั่วเขตคาม
ตัณหาพา เฉไฉ ไม่งดงาม
กิเลสกาม แสดงเดช ก่อเภทภัย

ศีลวินัย สะบั้นขาด อนาถนัก
หนทางมรรค สะบั้นขาด อนาถไซร้
ปาติโมกข์ มิรักษ์ สิ้นหลักชัย
คนทั่วไป เคลือบแคลง พระธัมมา


บทที่5
พระเจ้าอาวาสบรรลุอรหัตตผล
และเห็นเหตุการณ์ในอารามด้วยญาณ

กล่าวย้อนไป เถรา เจ้าอาวาส
ท่านตัดขาด ดับพลัน ซึ่งตัณหา
พลักเพียรตรึก ฝึกชัด วิปัสสนา
อรหันต์ปฏิสัมภิทา….บันดล

ท่านเล็งญาน ย้อนมา ยังอาวาส
เห็นพินาศ ชี้ชัด ขัดสน
ทั้งพระเณร ศีลย่อยยับ อับจน
อวิชชา ห่างมรรคผล ทุกคนไป

ท่านเร่งกลับ จากป่า มาอาศรม
เพื่ออบรม ศิษย์เกเร เถลไถล
หาเบื้องหลัง พระเณร ทิ้งวินัย
ประพฤติตน ตามใจ จนหมองมัว

จึงเรียกรวม ชุมนุม ประชุมสงฆ์
ถามโดยตรง เหตุการณ์ ท่านรองขรัว
ใยพระเณร เถลไถล ตามใจตัว
มาเกลือกกลั้ว อธรรม นำอบาย


บทที่6
ท่านเจ้าอาวาสแก้ไขทิฏฐิที่ผิดของเณร

ฝ่ายเณน้อย เจ้าปัญหา ผู้กล้าหาญ
โต้อาจารย์ ด้วยคำคม คารมหมาย
“…..ศีลวินัย นั้นหรือ คืองมงาย
จะสบาย เมื่อปล่อยวาง ทุกอย่างไป

ศีล-ปาติโมกข์ ที่ถือ คือยึดมั่น
เมื่อรู้ทัน ทวิธรรม จะสดใส
ศีล-ปาติโมกข์ มิจำเป็น แต่อย่างใด
ถ้าจิตไม่ ถือดี-ชั่ว เป็นตัวตน…..”

เจ้าอาวาส จึงแย้ง แสดงเหตุ
ที่อาเภท เพราะเณร เห็นสับสน
เอาวิมุตติ ค้านสมมุติ อลวน
สัปดน วิปลาส ขาดหลักใจ

อันว่าศีล บริสุทธ์ ดุจเปลือกนอก
กันกิเลส ล่อหลอก ให้เฉไฉ
ปุถุชน มุ่งจะเอา แต่แก่นใน
ทิ้งศีลไป จึงเมามัว กลั้วอบาย

ศีล-วินัย มีประโยชน์ ขั้นสมมุติ
คอยรั้งฉุด เตือนให้ ไม่เสียหาย
มุ่งวิมุตติ แต่ทิ้งศีล จะวอดวาย
เปรียบทำลาย โอวาท ศาสดา


เมื่อจบธรรม เทศนา พระเถระ
ทั้งเณร-พระ ที่เสื่อมสิ้น ศีลสิกขา
สำนึกได้ จึงกราบ ขอขมา
อุปัชฌาย์ ผู้สอนสั่ง เมื่อยังเยาว์

ต่างกลับใจ รักษา ปาติโมกข์
จึงพาพ้น วนโลก โศกเศร้า
จิตผุดผ่อง ไม่สลัว มัวเมา
ทุกค่ำเช้า กลับร่มเย็น เช่นที่เคย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2007, 5:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็น อีกเรื่องหนึ่งที่เข้าใจไม่ตรงกัน ระหว่าง เซนในยุคปัจจุบัน กับ เถรวาท ที่นำไปสู่ความเห็นและศีล-วินัยที่แตกต่างกันมาก


คือ เรื่องที่ว่า "ไม่ต้องทำอะไร นี่ล่ะเซน"



การ"ไม่ทำอะไร"นั้น
สำหรับทางเถรวาทนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน

กรรมนั้น แบ่งออกเป็น
1.กรรมดำ
2.กรรมขาว
3.กรรมทั้งดำและขาว
4.กรรมที่ไม่ดำไม่ขาว หรือสิ้นกรรม


ในพระไตรปิฎกนั้น จะมีเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้นที่อยู่ในข้อ4
นอกนั้นทั้งปุถุชนและพระเสขะบุคคล จะยังอยู่ใน3ข้อแรก......

ไม่ว่าจะ"พูดสวยหรูฟังดูเท่ห์"อย่างไร ถ้ายังไม่เกิดอาสาวักขยญาณรู้ว่าจิตหลุดพ้นขึ้นแล้ว การกระทำยังจะต้องอยู่ใน3ข้อแรกทั้งสิ้น

ดังนั้น การไม่ทำอะไรเลยที่แท้จริงก็หมายถึง บรรลุพระอรหัตตผล

แต่ไม่นับรวมการก้าวล่วงศีล(ศีลตามภาวะและเพศที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ชอบแล้ว) หรือการไม่รักษาศีลมาเป็น"การไม่ทำอะไรเลย"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2007, 10:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โดยส่วนตัวผมนิยมความคิดและการปฏิบัติของคนโบราณหลายอย่าง เช่น

ความคิดดั้งเดิมเรื่องการปกป้องผู้คนในปกครองของตนของเหล่าอัศวินตะวันตก และความตรงไปตรงมา พูดความจริงแม้จะทำให้พบกับความตาย

แต่อัศวินก็ไม่ใช่คนดีทุกคนใช่หรือไม่ คนที่เก็บภาษีโหด ๆ รีดนาทาเล้นคนในที่ของตนก็มีอยู่ดาษดื่นใช่หรือไม่

การยึดมั่นในเกียรติ ศักดิ์ศรี คุณธรรม และการอุทิศตนเพื่อนายเหนือหัวด้วยชีวิตของเหล่าซามุไร (ผู้รับใช้) รวมถึงการชดใช้สิ่งที่ตนเองทำผิดพลาดไปด้วยความตาย (เซ็ปปุกุ = คว้านท้อง)

แต่จิตวิญญาณของซามุไรก็ไม่ได้อยู่ในจิตใจของชายชาวญี่ปุ่นทุกตน ใช่หรือไม่

พระพุทธองค์ไม่ส่งเสริมให้พระสงฆ์อวดคุณวิเศษต่าง ๆ เพราะจะทำให้คนหลงผิดไปตามคุณวิเศษเหล่านั้น

แต่ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ก็เคยเสกน้ำมนต์รักษาโรคให้ชาวเมืองไม่ใช่หรือ

แล้วพระธรรมของพระพุทธองค์ล่ะ แม้แต่พระพุทธองค์เองก็ทรงทราบว่าคนนั้นสามารถแบ่งตามระดับสติปัญญาได้ 4 เหล่า

บางคนแค่แนะนำเพียงนิดหน่อยก็เข้าใจในธรรม
บางคนต้องสอนจึงจะเข้าใจ
บางคนต้องเคี่ยวเข็นอย่างมากจึงจะเข้าใน
บางคนสอนให้ตาย ยังไงก็ไม่เข้าใจ

แล้วมีกี่คนล่ะที่เข้าใจใน "ธรรม" ของพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้จนถึงขั้น "บรรลุธรรม"
ใน6000ล้านคนบนโลกยังมีไม่ถึงแสนคนเลยนะครับ

และที่น่าเสียใจ แม้แต่คนไทยเราเองที่บอกกันอยู่ปาว ๆ ว่าเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็มีแต่คนที่เป็นพุทธแต่ในทะเบียนบ้านเป็นคนส่วนใหญ่นะครับ มันฟังดูไม่ดีนักแต่เป็นความจริงที่รับได้ยาก (โดยเฉพาะพวกมือถือสาก ปากถือศีล)

สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ พระธรรมคำสอน ศีล พระธรรมวินัยนั้นรักษาไว้เป็นเรื่องดี และควรทำ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การเผยแพร่ให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย และยังคงรักษา "แก่น" ของคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

อืม... เท่าที่อ่านดูตามความเห็นของ คุณ ตรงประเด็น ผมขอรบกวนถามสักนิดนะครับในประโยคที่ว่า

ในเมื่อสิ่งทั้งหลายล้วนไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) และล้วนตกอยู่ในสภาพว่างเปล่าจากตัวตน(สุญญตา) .... จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย....

เมื่อไม่ควรยึดมั่นแล้ว จะมารักษาศีลทำไม(เขามองว่าการรักษาศีล คือการยึดมั่น-ถือมั่น)



แล้วการที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "ธรรมนั้นก็เปรียบดั่งเรือ เมื่อเราใช้เรือพาเราให้ถึงฝั่งแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแบกเรือนั้นขึ้นมาด้วย" ล่ะครับ คุณ ตรงประเด็น หรือท่านผู้รู้ที่ผ่านมาอ่านกรุณาช่วยรบกวนช่วยชี้แจงให้กระจ่างด้วยนะครับ

ขอบพระคุณครับ สาธุ
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 11 พ.ย.2007, 4:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็น ธรรมอุปมาเหมือนแพ



จากพระพุทธวจนะ

ในข้อนี้บุรุษนั้นข้ามไปสู่ฝั่งแล้ว พึงดำริอย่างนี้ว่า แพนี้มีอุปการะแก่เรามากแล เราอาศัยแพนี้พยายามอยู่ด้วยมือและเท้า จึงข้ามถึงฝั่งได้ โดยสวัสดี ถ้ากระไร เราพึงยกแพนี้ขึ้นวางบนบกหรือให้ลอยอยู่ในน้ำแล้ว พึงหลีกไปตามความปรารถนา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นกระทำอย่างนี้แล จึงจะชื่อว่ากระทำถูกหน้าที่ในแพนั้น แม้ฉันใด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือ

ฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึงธรรมมีอุปมาด้วยแพที่เราแสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงอธรรมเล่า





นี่อยู่ในพระไตรปิฎกพุทธเถรวาทแน่นอน

พระพุทธองค์ไม่ทรงสอนให้ยึดมั่น-ถือมั่น แม้นแต่ในธรรม
พระอรหันต์จึงเป็นผู้ลอยทั้งบุญและบาป

แต่จะไปใช้พระพุทธวจนะนี้ มาแปลให้เป็นว่า ศีล-วินัยไม่ต้องรักษา
ไม่ได้ครับ
เป็นการกล่าวธรรมผิดกาลเทศะ และปรากฏผลที่วินาศสันตะโร ให้เห็นในหลายๆประเทศที่ยึดแนวทางนี้

ดังที่เล่าในต้นกระทู้ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 12 พ.ย.2007, 6:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลิงคอันตรธาน การเสื่อมสูญแห่งเพศสมณะ


จากหนังสือ พุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ ของพระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์


ต่อไปภายภาคหน้า ภิกษุทั้งหลายมีปฏิปทาไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส จะอยู่ในอิรอยาบถใดก็ไม่สำรวมเหมือนพวกเดียรถีย์ไม่มีความสำรวม ประพฤตินอกรีดอนาจารต่างๆ ผิดเพศภิกษุซึ่งเป็นพุทธสาวก แม้กระนั้นก็ยังชื่อว่าเพศสมณะ ยังไม่ถึงกับอันตรธาน

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ภิกษุทั้งหลายไม่ใช้ผ้าไตรจีวรมีสีอันควรแก่สมณเพศ เห็นว่าสีผ้ากาสาวพัสตร์ไม่มีความสำคัญ จากนั้นก็พากันละทิ้งบริขารแม้กระทั้งไตรจีวร พากันประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวทั้งบุตรและภรรยา จะมีก็แต่เศษผ้าเหลืองชิ้นน้อยๆ ห้อยอยู่ที่คอหรือผูกไว้ที่ข้อมือเท่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นพระภิกษุ สมดังพระดำรัสที่ครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า

“ ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน”

ถึงแม้ภิกษุทั้งหลายจะมีความเป็นอยู่ย่อหย่อนถึงเพียงนั้น ก็ชื่อว่าเพศภิกษุยังคงอยู่ไม่อันตรธาน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงไป ภิกษุเหล่านั้นพากันละทิ้งผ้าเหลืองชิ้นน้อย ๆ ที่ติดตัวอยู่นั้นเสีย จึงได้ชื่อว่า ลิงคอันตรธาน คือเพศภิกษุสูญสิ้นไม่เหลือเศษอีกต่อไป





มหายานมีจุดเด่นด้านการประยุกต์เข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
ทำให้ปรับเข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ง่ายกว่าทางเถรวาท
และเห็นชัดว่า เผยแผ่ได้ง่ายกว่า เช่นในประเทศตะวันตก

แต่ก็เป็นดาบสองคม ที่อาจมีส่วนให้คนรุ่นหลังแก้ไขหลักการที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีวางเอาไว้จนเลยเถิด ตามกิเลสในใจตน
และทำให้พระศาสนาอันตรธานอย่างรวดเร็ว

ณ เวลาปัจจุบัน การอันตรธาน ของพระพุทธศาสนาในประเทศที่เผยแผ่แนวทางมหายาน เห็นได้ชัดเจนกว่า....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 12 พ.ย.2007, 2:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เข้าใจแล้วครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
sssboun
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 16 พ.ย. 2007
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ย.2007, 10:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ

สาธุ กราบขออนุโมทนากับ กุศลจิตของพี่ ตรงประเด็นด้วยครับ เจอกันอีกแล้วครับ

เพราะธรรมนำเราให้มาเจอกัน แม้จะห่างไกลแต่ก็หัวใจรักธรรมเช่นกันครับ

กราบขอบพระคุณครับ

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
อดีตให้เป็นเหมือนครู ควรจะคิดดูให้เกิดปัญญา
มีปัญญาทุกข์นั้นมีน้อย ปัญญาน้อยนั้นทุกข์มากเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง