ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ย. 2007, 8:45 pm |
  |
ดังกล่าวแล้วว่า สมถะ- คืออุบายฝีกจิตให้สงบ จนตั้งมั่นเป็นสมาธิ
สมาธิ มีชื่อเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เอกัคคตา (ดังคุณ mes เข้าใจ)
เมื่อสมาธิแน่วแน่สนิทกับอารมณ์ที่กำหนดแล้ว ก็เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ฌาน (ชื่อจะเปลี่ยนอีก)
ฌานมี 4 ขั้นตามแนวพระสูตร
มี 5 ขั้นตามแนวอภิธรรมบางแห่ง
ยิ่งเป็นฌานที่สูงขึ้นๆ ก็ยิ่งประณีตขึ้นๆ
องค์ธรรม ที่ประกอบร่วมประจำในฌาน รวมทั้งสมาธิ เรียกชื่อสั้นๆ ว่า องค์ฌาน
ตามบาลีว่า ฌานงฺค (ฌานังคะ) มี 6 อย่าง (วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา และเอกัคคตา) รายเอียดกล่าวไว้แล้ว |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ย. 2007, 9:12 pm |
  |
-ฌาน แปล ว่าเพ่ง หมายถึง ภาวะจิตที่เพ่งอารมณ์จนแน่วแน่ ได้แก่ภาวะจิตที่มีสมาธินั่นเอง แต่สมาธินั้น มีความประณีตสนิทชัดเจนผ่องใสและมีกำลังมากน้อยต่างๆกันแยกได้เป็นหลายระดับ
เน้นคำแปลย่อๆ ขององค์ฌานอีกที
-วิตก-การจรดจิตในอารมณ์
-วิจาร-การที่จิตเคล้าอยู่กับอารมณ์
-ปีติ -ความอิ่มใจ
-สุข
-อุเบกขา-ความมีใจเป็นกลาง (ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก)
-เอกัคคตา- ภาวะที่จิตที่มีอารมณ์แน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว คือตัวสมาธินั่นเอง
-ฌานที่สูงขึ้นไปอีกเรียกว่า รูปฌานและอรูปฌาน องค์ธรรมมีองค์สอง คือ อุเบกขา
และเอกัคคตา
-ในอรรถกถาบางแห่ง แบ่งฌานออกเป็นสองจำพวก
คือ การเพ่งตามแบบสมถะ เรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน
การเพิ่งพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ ตามแบบวิปัสสนาหรือวิปัสสนานั่นเอง
เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ย. 2007, 10:03 am |
  |
ไปพบวิปปัสสนูกิเลสที่ลานธรรมสนทนา
ถ้าหาก วิตก วิจาร ปิติ สุข อุเบกขา เอกัคคตา ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งในสถาวะหนึ่งด้วย
จะแก้ปัญหานี้ด้วยอะไรครับ |
|
|
|
   |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ย. 2007, 11:45 am |
  |
"เป็นกิเลส" นึกเห็นภาพ...ผู้หนึ่งชัดเลย พูดไปๆ...มันเป็นกิเลสๆ
-เค้าพูดออกหน้าการปฏิบัติกันครับคุณ mes ถ้าจะให้ดีปฏิบัติให้ถึงแล้ว แล้วค่อยพูดถึงองค์ธรรมนั้นว่าเป็นกิเลสจะดีไม่น้อย เพราะองค์ธรรมดังกล่าวเป็นเจตสิกที่ประกอบกับกุศลจิตทั้งนั้น
แต่ก็อย่างที่บอกเขาเข้าใจสมถะแบบไสยศาสตร์ แบบข้ามภพข้ามชาติ ดูที่เค้าแนะนำนักปฏิบัติคนหนึ่ง ปฏิบัติแล้วเกิดอาการแปลกๆ นำมาจากที่นั่นแหละ => อาการของสมถะที่เราเคยทำมาในอดีต มักจะมาแสดงให้เห็น นับว่าเป็นสิ่งดีนะคะ ภาวนาต่อไปค่ะ แต่เพียงทำใจว่า เราเป็น เพียงผู้รู้ ผู้ดู กายใจ แสดงธรรมให้เราค่ะ
-ขออธิบายล่วงหน้าบ้างนะครับ โดยสภาวธรรมในฌานแต่ละขั้นๆ มีความประณีตต่างกัน ตามลำดับ...ท่านจึงปฏิบัติให้สูงขึ้นไปๆ เพื่อต้องการพ้นจากองค์ธรรมระดับก่อนๆ...ท่านผู้ปฏิบัติถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน (องค์ธรรมคืออุเบกขาและเอกัคคตา) ก็ด้วยเหตุดังกล่าว
แต่ติดครับ ติดที่นี่ ครูของพระโพธิสัตว์ติดที่นี่ สอนพระโพธิสัตว์ถึงฌานนี้
-แต่พระโพธิสัตว์เห็นว่ามันยังไม่หลุดนะ มันยังติดอยู่อีกนิดหนึ่งนะ (ท่านเปรียบฌานนี้เหมือนน้ำมันทาบาตร...จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) เมื่อถามอาจารย์ๆตอบไม่ได้ ท่านจึงลาออกจากสำนักศึกษาด้วยตนเอง...จนหลุดหมด
-ที่ถามจะแก้ปัญหานั้นด้วยอะไร
ก็คงต้องอ้างพุทธพจน์ที่ว่า " ธรรม เราอุปมาเหมือนแพ เราแสดงไว้เพื่อความมุ่งหมายให้ใช้ข้ามไป มิใช่เพื่อให้ยึดถือไว้...เมื่อเธอทั้งหลาย รู้ทั่วถึงธรรม อันมีอุปมาเหมือนแพที่เราแสดงแล้ว พึงละเสียแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปใยถึงอธรรมเล่า"
ม.มู. 12/280/270
(ละได้ด้วยการเข้าถึง มิใช่ละได้ด้วยการพูดถึงนะครับ ) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.ย. 2007, 5:17 pm |
  |
(สรุปกระทู้นี้ไว้ตอนหนึ่งก่อน....สมถะมิใช่ลืมกายลืมใจ มิใช่ติดข้ามภพข้ามชาติมา
ในทางกลับกัน ผู้บำเพ็ญสมถะจนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว สติสัมปชัญญะจะแจ่มชัดขึ้นยิ่งสูงยิ่งแจ่มชัด จิตจะประณีตเป็นลำดับๆ
และเพื่อยืนยันว่า เจ้าชายสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) หลังออกจากสำนักดาบสแล้ว พระองค์ก็ยังเจริญฌานที่ได้จากสำนักดาบสนั้น และใช้ฌานที่ได้นั้นเป็นฐานในการตรัสรู้...พิจารณาพุทธพจน์ต่อไปนี้ ครับ)=>
ดูกรอานนท์ เรานั้นแล สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน....
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยกาม ยังกวนใจได้ อันนับว่ายังเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความคิดว่า ถ้ากระไร ระงับ วิตกวิจาร เสียได้ เราพึงบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก (= ต่อมามีอีกคราวหนึ่ง)
...เรานั้น....บรรลุทุติยฌาน..
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วย วิตก ยังกวนใจได้ อันนับว่ายังเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความคิดว่า ถ้ากระไร...เราพึงบรรลุตติยฌาน ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุตติยฌาน...
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วย ปีติ ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร...เราพึงบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุจตุตถฌาน...
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วย อุเบกขา ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร โดยความก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง...เราพึงบรรลุอากาสานัญจายตนะอยู่ ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุอากาสานัญจายตนะ...
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบด้วยรูปธรรม ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร เราก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง...พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะอยู่ ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุวิญญาณัญจายตนะ
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบอากาสานัญจายตนะ ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร เราก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง...พึงบรรลุอากิญจัญญายตนะอยู่ ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุอากิญจัญญายตนะ
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบวิญญาณัญจายตนะ ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร เราก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะเสีย...พึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการที่ประกอบอากิญจัญญายตนะ ยังกวนใจได้ อันนับว่าเป็นความอึดอัดแก่เรา...
เราจึงได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร เราก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะเสีย...
พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ฯลฯ
โดยสมัยอื่นอีก.....
เรานั้น....บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ และเพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายก็ได้ถึงความสิ้นไป
ดูกรอานนท์ ตราบใด เรายังเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ประการนี้
ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมนี้ไม่ได้
ตราบนั้นเราก็ยังไม่ปฏิญาณในโลก พร้อมทั้งเทพ ทั้งมาร ทั้งพรหม ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ทั้งเทวะและมนุษย์ ว่าเราได้ตรัสรู้แล้วซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ต่อเมื่อใดแล เราเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ประการเหล่านี้ ทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้แล้ว
เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณ ในโลก.....ว่าเราได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็แล
ญาณทัศนะเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า เจโตวิมุตติของเราเป็นอกุปปา นี้เป็นอันติมชาติ บัดนี้ไม่มีภพใหม่อีก
องฺ.นวก. 23/245/458-469 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2007, 9:17 am |
  |
(ดูลำดับการบรรลุธรรมของพระสาวกบ้าง)
ที่ท่านบรรยายลำดับขั้นการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมของสาวกโดยทั่วไป ก็มีข้อความเหมือนข้างบน...ต่างแต่มีเฉพาะตัวหลักที่แสดงขั้นตอน ไม่มีรายละเอียด ดังนี้....
ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ 5 เหล่านี้แล้ว...สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุลธรรมทั้งหลาย
บรรลุปฐมฌาน...บรรลุทุติยฌาน...บรรลุตติยฌาน...บรรลุจตตุถฌาน...บรรลุอากาสานัญจายตนะ...บรรลุวิญญานัญจายตนะ...บรรลุอากิญจัญญายตนะ...บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ...บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายก็หมดสิ้นไป
องฺ. นวก.23/244/456.... |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ต.ค.2007, 9:45 am |
  |
นอกจากเข้าใจฌานผิด 2 ประเด็นดังกล่าวแล้ว (ลืมกายลืมใจ+ติดมาแต่อดีต)
-ยังมีเข้าใจผิดอีกแบบหนึ่ง เข้าใจว่าฌานเข้าแล้วถอดจิตออกจากกายเหมือนถอดไส้ ฉะนั้น
-ที่ฝึกผิดก็มี คือสอนให้นั่งเขย่าๆ กระตุกกายขึ้นลง
-อีกแห่งหนึ่งสอนให้นั่งโยกซ้าย โยกขวา
-การหลงเข้าใจผิดมีได้ทุกรูปแบบซึ่งผิดเพี้ยนไกลออกจากหลักมากขึ้นทุกทีๆ
-ลองดูแนวทางที่ถูกต้องเกี่ยวกับฌานที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ =>
-พึงทราบความสุขประณีตในระดับตั้งแต่ฌานสุขขึ้นไป ว่ามีเค้าความรู้สึกอย่างไร ดังที่ท่านแสดงไว้โดยอุปมา สรุปมาให้พิจารณากันดัง ต่อไปนี้
ก้าวสุดท้ายก่อนจะบรรลุฌาน ก็คือการละนิวรณ์ ๕ (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ
อุทธัจจะกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา) ได้ ผู้ละนิวรณ์ได้แล้ว จะมีความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบาสบายและอิ่มใจเกิดขึ้น เป็นพื้นนำของการจะได้ความสุขในฌานต่อไป ดังที่ท่านอุปมาไว้ ๕ ประการ
1. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่เคยกู้ยืมเงินคนอื่นมาประกอบการงาน แล้วประสบความสำเร็จ ใช้หนี้สินได้หมดแล้วและยังมีเงินเหลือไว้เลี้ยงครอบครัว
2. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่ฟื้นหายจากความเจ็บป่วยเป็นไข้หนักกลับกินข้าวปลาได้ มีกำลังกายแข็งแรง
3.เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชุ่มชื่นใจของคนที่พ้นจากการถูกจองจำไปได้โดยสวัสดีไม่มีภัย และไม่ต้องเสียทรัพย์สิน
4. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชุ่มชื่นใจของคนที่หลุดพ้นจากความเป็นทาส อาศัยคนเองได้ ไม่ขึ้นกับคนอื่น เป็นไทแก่ตัว จะไปไหนก็ไปได้ตามใจปรารถนา
5. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชุ่มชื่นใจของคนมั่งมีทรัพย์ ผู้เดินทางข้ามพ้นหนทางไกลกันดาร ก็หาอาหารได้ยากและเต็มไปด้วยภยันตราย มาถึงถิ่นบ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี
-ต่อแต่นั้นก็จะได้ประสบความสุขสบายในฌานที่ประณีตยิ่งกว่านั้นขึ้นไปตามลำดับ กล่าว คือ
ในฌานที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายของตนให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและความสุข ไม่มีส่วนใดของกายทั่วทั้งตัว ที่ปีติและความสุขจะไม่ถูกต้อง
เปรียบเหมือนแป้งสีกายที่เขาเทใส่ภาชนะสำริด เอาน้ำพรมปล่อยไว้ พอถึงเวลาเย็น ก็มียางซึมไปจับติดถึงกันทั่วทั้งหมด ไม่กระจายออก
-ในฌานที่ 2 ซึ่งประกอบด้วยปีติ สุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและความสุขที่เกิดจากสมาธิ อย่างทั่วไปหมดทั้งตัว
เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึก ที่น้ำผุดขึ้นภายใน ไม่มีน้ำไหลจากที่อื่นหรือแม้แต่น้ำฝนไหลเข้ามาปน กระแสน้ำเย็นผุดขึ้นจากห้วงน้ำนั้น ทำให้ห้วงน้ำนั้นเองชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมเยือกเย็นทั่วไปหมดทุกส่วน
-ในฌานที่ 3 ซึ่งประกอบด้วยสุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขที่ปราศจากปีติทั่วไปหมดทุกส่วน
เปรียบเหมือนกอบัวเหล่าต่างๆ ที่เติบโตขึ้นมาในน้ำ แช่อยู่ในน้ำและน้ำหล่อเลี้ยงไว้ ย่อมชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นทั่วไปหมดทุกส่วน ตั้งแต่ยอดตลอดเหง้า
-ในฌานที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยอุเบกขาและเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติแผ่จิตใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไปทั่วทั้งกาย เหมือนเอาผ้าขาวล้วนบริสุทธิ์มานุ่งห่มตัวตลอดหมดทั้งศีรษะ
(ที.สี.9/126-130/69-100; 325/257...)
-ต่อจากความสุขในฌาน 4 นี้ไป ก็มีความสุขในอรูปฌานอีก 4 ขั้น ซึ่งประณีตยิ่งขึ้นไปตามแนวเดียวกันโดยลำดับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
12 ต.ค.2007, 4:30 pm |
  |
(จงกรมมีอย่างเดียวเท่านั้น มิได้มี 2 อย่าง หลายอย่างดังที่แนะนำเขาว่ามีทั้ง แบบสมถะกับแบบเจริญสติ (เจริญสติที่คิดขึ้นเอง) สร้างความเสียหายแก่จงกรมอีก) ดังว่า =>
-การเดินจงกรม แล้วรู้สึกที่เท้าอย่างเดียว หากต้องการทำสมถะ ก็ไม่ผิดอะไร
แต่หากต้องการฝึกเจริญสติ ก็จะไม่ใช่ครับ
หากต้องการเดินจงกรมเพื่อหัดเจริญสติก็คือ เมื่อเท้ากระทบพื้น ก็รู้ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้ จิตรู้เท้ากระทบพื้น ก็รู้ จิตเป็นอย่างไรๆก็รู้
ไม่มีการบังคับจิต ให้ไปรู้ที่ไหน แต่เมื่อรู้ว่าจิตเผลอไป หรือหนีไปคิด เว้นจังหวะในใจเพียงนิดเดียว จิตเขาก็จะกลับไปรู้ที่เท้าได้เอง คล้ายกับเด็กที่ถูกจับได้ (ว่าแอบหนีไป) ก็จะกลับมาที่เดิม (แต่ก็อยู่ได้อีกแป๊บเดียวเช่นกัน)
ตอบปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานผิด อธิบายความธรรมะก็ผิดสภาวธรรม
นำมาจากลิงค์นี้=>
http://larndham.net/index.php?showtopic=28484 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
25 ต.ค.2007, 4:37 pm |
  |
-กรรมฐานที่ใช้บริกรรมภาวนา กับ แบบดูความคิดเฉยๆ คนละอารมณ์กัน
สภาวธรรมที่เกิดแก่ผู้บริกรรมภาวนา จะซับซ้อนลึกกว่าเพราะเป็นขั้นภาวนามัย
ส่วนผู้ดูความคิดที่เรียกกันเองว่า ดูจิต อยู่ระดับจินตา คือ ระดับคิดเอาเอง
ยังคิดเข้าไม่ถึงสภาวะที่ปรากฏแก่ภาวนามัยบุคคล
เมื่อมีผู้นำเอาปัญหาที่เกิดจากภาวนามัยไปถาม
คำตอบที่ได้ คือ เป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนา เพราะเขาเข้าใจวิปัสสนาว่าคิดนึกเอา
วิธีปฏิบัติตามแบบทั้งสองอ่านเพิ่มลิงค์นี้=>
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13918 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
|