Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ใครอยากรู้จักพระเจ้า..เชิญมาทางนี้ครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2007, 10:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๙ ข้อ ๔๙๓ หน้า ๒๑๘ ให้ผู้สนใจศึกษาได้พิจารณา มีเรื่องราวดังนี้
ครั้งหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่งเข้าสมาธิถึงขั้นที่จิตตั้งมั่น จนเห็นทางไปพรหมโลก ครั้นแล้วเธอเข้าไปหาเทวดากลุ่มหนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุย่อมดับสนิทที่ไหน”
เทวดาตอบว่า “แม้พวกเราก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เทพเจ้าผู้เป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเรา ท่านคงจะทราบ”
“ท่านผู้มีอายุ เวลานี้ท้าวมหาพรหมอยู่ที่ไหน”
พวกเทพตอบว่า “แม้พวกเราก็ไม่รู้ที่อยู่ของท้าวมหาพรหมหรือทิศทางที่ท้าวมหาพรหมอยู่เหมือนกัน แต่ถ้านิมิตปรากฏขึ้นท้าวมหาพรหมก็จะปรากฏพระองค์ด้วย การที่แสงสว่างปรากฏขึ้นนี้ จัดเป็นบุรพนิมิตแห่งการปรากฏของท้าวมหาพรหม”
ต่อมาไม่นานท้าวมหาพรหมก็ได้ปรากฏพระองค์ขึ้น
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นเข้าไปหาท้าวมหาพรหมแล้วถามว่า “ท่านผู้มีอายุ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมดับสนิทที่ไหน”
เมื่อถามอย่างนี้ ท้าวมหาพรหมตอบว่า “เราเป็นพรหมผู้เป็นท้าวมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด”
พระภิกษุนั้นถามซ้ำอีก ๒ ครั้ง ท้าวมหาพรหมก็ตอบเช่นเดิม
ทันใดนั้น ท้าวมหาพรหมจับแขนภิกษุนั้นนำออกไปข้างนอก แล้วกล่าวว่า “ภิกษุ พวกเทพเข้าใจกันว่า ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ทราบ ไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ดังนั้น เราจึงไม่ตอบคำถามของท่านต่อหน้าพวกเทพเหล่านั้นว่า “แม้เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน ฉะนั้น การที่ท่านละเลยพระผู้มีพระภาคแล้วมาหาคำตอบเรื่องนี้ที่เรา นับว่าทำผิด นับว่าทำพลาด ไปเถิดภิกษุ ท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหานี้” ฯลฯ.......

ดูรายละเอียดต่อได้ที่ ....พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย เกวัฏฏสูตร เล่มที่ ๙ ข้อ ๔๙๓ หน้า ๒๑๘





คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ คำสอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม ใครไม่ทำตามจะถูกทำโทษจากเทพเจ้า แต่คำสอนของพุทธศาสนานั้นเป็นเพียงการนำกฏธรรชาติมาบอก….เท่านั้น

พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏหรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฏ พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่เพียรพยายามจนเกิดความรู้แจ้งในกฏธรรมชาติว่า “ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นสาเหตุ ( เช่น อยากร่ำรวยต้องทำอย่างไร? เป็นต้น ) และทรงรู้แจ้งว่า “ต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติได้”

ศาสนาพุทธมิใช่ว่าปฏิเสธเรื่อง”พระผู้สร้าง” แต่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจที่จะไปศึกษาในเรื่องนั้น เพราะเล็งเห็นว่า ถ้าหากไปหมกมุ่นอยู่กับเที่ยวสืบค้นว่า "ผู้สร้างคือใคร?" มากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดโทษภัยเสียมากกว่า เพราะย่อมไม่มีใครยอมใครอย่างแน่นอน ( ตีกันตายเพราะเรื่องนี้..กันซะเท่าไหร่แล้ว???)


ศาสนาพุทธศึกษาแต่ในประเด็นว่า“ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้” ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ....แล้วในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ..การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน..โดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อ สามารถเห็นผลได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ..ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน....
สรุปว่า .....ศาสนาพุทธ มิใช่ศาสนาแห่งผู้สร้าง
.....แต่...เป็นศาสนาแห่งพระผู้แก้ ( แก้ทุกข์...ให้ถึงสุขอันถาวร)


พระพุทธเจ้าเปรียนเหมือนหมอผ่าตัดผู้ป่วยที่ถูกลูกศรปักอก หมอไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าคนยิงเป็นใคร ทำไมคนร้ายจึงยิง หมอทำหน้าที่เพียงเร่งผ่าตัดช่วยชีวิตให้เร็วที่สุด ....แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมให้ผ่าตัด โดยตั้งเงื่อนไขว่า “ต้องหาคนยิงให้ได้ก่อน ..เขาหน้าตาเป็นอย่างไร? ผู้หญิงหรือผู้ชาย...ต้องให้เขาบอกเหตุผลที่ยิงให้ได้ก่อน...ผมจึงจะยอมให้หมอผ่าเอาลูกศรออก” ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็รับรองได้ว่า “ผู้ป่วยตายแหง๊แก๊!!!!???”


พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า
“ สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน(1) ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(2) บางชาติเกิดเป็นเทวดา บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(3)
......อ้างอิง...ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงการราชิวิทยาลัย (เล่มที่ / หน้าที่ )
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๓
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๒๒๗
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๕๐-๓๖๕


เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุควิทยาศาสตร์ ความรู้หรือหลักวิชาการทุกอย่างต้องผ่านการทดสอบทดลองทางวิทยาศาสตร์เสียก่อนจึงจะเชื่อถือได้ อย่างน้อยก็ต้องให้คนจบปริญญาเอกสักคนช่วยค้ำประกันให้ ฉะนั้น จึงขอเสนอรายชื่อหนังสือที่เขียนโดยศาสตราจารย์ของฝรั่ง มีเนื้อหายืนยัน ว่าชาติหน้ามีจริงดังนี้
๑. 23 ผู้กลับชาติมาเกิด โดย Ian Stevenson, M.D. (ศาสตราจารย์ น.พ.เอียน สตีเวนสัน) มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย พิมพ์โดย อภิธรรมมูลนิธิ หน้าพุทธมณฑล อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม 73170
http://www.questbooks.net/author.cfm?authornum=237

Ian Stevenson, M.D. is known for his groundbreaking research into the phenomena of children who remember previous lives. From 1967-2001, Dr. Stevenson was the Director of the Division of Personality Studies at the University of Virginia. Ian Stevenson’s research into cases of children who claim to remember previous lives has taken him around the world. He employs rigorous scientific methods in his research into such cases. His Twenty Cases Suggestive of Reincarnation, published in 1966, documented 20 cases in which reincarnation was offered as the most plausible explanation for the phenomena. Dr. Stevenson is the author of many other books, including Unlearned Language (1984), Children Who Remember Previous Lives: A Question of Reincarnation (1987), Where Reincarnation and Biology Intersect (1997), and European Cases of the Reincarnation Type (2003). Available titles by Ian Stevenson:
http://www.questbooks.net/author.cfm?authornum=237

๒. ชาติภพ โดย Brian L.Weiss,M.D. ( มหาวิทยาลัยไมอามี่) จุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์ แปล สำนักพิมพ์มติชน ๑๒ ถ.เทศบาลนฤมาล ประชาชื่น๑ กทม. ๑๐๙๐๐
http://www.matichonbook.com/images/cover/L470426102702.jpg
ชื่อหนังสือ : ชีวิตระหว่างภพ (Life between Life)
หมวด : สารคดี -- สิ่งลี้ลับ/ความเชื่อ
ผู้แต่ง : อรทัย เจริญชาติ
จัดพิมพ์โดย : สนพ.มติชน
พิมพ์ครั้งที่ 4 : สำนักพิมพ์มติชน กันยายน 2548
กระดาษปอนด์เหลือง ปกอ่อน
จำนวนหน้า : 267 หน้า
ขนาดหนังสือ : 14.6 cm. x 25 cm.
ISBN : 974-322-433-5

๓. ประจักษ์พยานตายแล้วเกิด โดย ดร. บุณย์ นิบเกษ โรงพิมพ์สหมิตรออฟเซท ๔๘ /๕๔ ถนนพระสุเมรุ บ้านพานถม พระนคร กทม. ๑๐๒๐๐โทร.๒๘๒๒๒๐๘ พิมพ์ครั้งที่ ๓
๔. จิตใต้สำนึกกับการระลึกชาติ โดย Jess Stearn “ทศยุทธ์” แปล สำนักพิมพ์เรืองบุญ ๑๐/๐ ม.๗ ต.บางกระสอ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
๕. ๒๕ ผู้ระลึกชาติ โดย นที ลานโพธิ และคณะ สำนัก พิมพ์ธารบัวแก้ว ๒๕/๕/๕๔ ซ.หมู่บ้านเจริญรัตน์ ถ.ประชาราษฏร์ ๑๖ ต.ตลาดขวัญ จ.นนทบุรี
๖. แว่นส่องจักรวาฬ โดย พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ธ.บ. โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์ ๔๗ ถ.เฟื่องนคร พระนคร กรุงเทพฯ ๒๕๐๒ (นายรวล รุ่งเรืองธรรม)

เนื้อหาของหนังสือทั้ง ๖ เล่มนี้จะบอกให้รู้ว่า เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด นรก สวรรค์ มิใช่เป็นความเชื่อของชาวพุทธ แต่เป็นกฏธรรมชาติที่มีอยู่คู่โลกและจักรวาล ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะนับถือศาสนา/ศาสดาองค์ใดก็ตาม ถ้าหากเขายังมีกิเลสตัณหาในจิตใจอยู่ เขาก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้ง ๓๑ ไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนสุขเวียนทุกข์ เป็นเทพบ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ตกนรกบ้าง ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ไม่มีที่สิ้นสุด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
aek_nida7
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 มิ.ย. 2006
ตอบ: 11
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2007, 7:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ

ขออนุโมทนาด้วยครับ
 

_________________
ดูใจตัวเอง ให้รู้ว่ามีอะไรมากระทบ และเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยซะ ไตรลักษณ์เกิดดับให้เราเห็นอยู่ทุกขณะจิต

อย่าให้อกุศลของผู้อื่น มาทำให้จิตเราเกิดอกุศล

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2007, 8:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พระผู้สร้าง

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย พรหมนิมันตนิกสูตร เล่มที่ ๑๒ ข้อ ๕๐๑ หน้า ๕๓๗


สมัยหนึ่ง พระผู้มีภาคประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน ได้ตรัสเรื่องนี้ เล่าให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า

“ ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่โคนต้นสาละใหญ่ในป่าสุภคะใกล้เมืองอุกกัฏฐา ในสมัยนั้น พรหมเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาว่า ‘แดนสวรรค์แห่งนี้เที่ยงแท้ ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แล สถานที่ไปให้พ้นจากทุกข์ นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ไม่มีอีก”
ครั้งนั้น เราอันตรธานจากโคนต้นสาละใกล้เมืองอุกกัฏฐา ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น พรหมได้เห็นเรามาแต่ไกล จึงได้กล่าวว่า ‘พระคุณเจ้า เชิญมาทางนี้เถิด กล่าวอีกว่า ‘ท่านน่าจะมาที่นี้นานแล้ว แดนสวรรค์แห่งนี้ เที่ยง ยั่งยืนมั่นคง แข็งแรง มีความเปลี่ยนแปลง แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แล สถานที่ไปให้พ้นจากทุกข์ นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ไม่มีอีก’

เมื่อพรหมเจ้ากล่าวอย่างนี้ เราได้กล่าวว่า ‘ ท่านพรหม ท่านเข้าใจผิดแล้วหนอ เพราะว่าท่านกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า‘เที่ยง’ กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนว่า‘ยั่งยืน’ กล่าวสิ่งที่ไม่มั่นคงว่า‘มั่นคง’ กล่าวสิ่งที่ไม่แข็งแรงว่า‘แข็งแรง’ กล่าวสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาว่า ‘มีความไม่การเปลี่ยนแปลง’
ขณะนั้นเอง เทวดาท่านหนึ่งกล่าวแทรกว่า ‘ภิกษุ ภิกษุ อย่ากล่าวรุกรานพรหมเจ้านะ ๆ เพราะว่าพรหมผู้นี้เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ฝ่าฝืนไม่ได้ โดยที่แท้ เป็นผู้รู้ทั่ว สรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจของท่าน เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ สมณพราหมณ์พวกก่อน ๆ ได้เคยติเตียนดินท่านพรหมเจ้า หลังจากตายแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นได้ไปเกิดในที่อันเลวเชียวนะ.. ส่วนสมณพราหมณ์ที่สรรเสริญ ชมเชยท่านพรหมเจ้า หลังจากตายแล้วสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะไปเกิดในพวกที่ดี

ภิกษุ เพราะเหตุนั้น เราจึงบอกท่านว่า ‘ เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมเจ้าบอกเท่านั้นเถิด ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเจ้าเลย ถ้าท่านจักฝ่าฝืนคำของพรหมเจ้า โทษจักมีแก่ท่าน เปรียบเหมือนบุรุษเอาท่อนไม้ไล่ตีสิริที่มาถึง หรือเปรียบเหมือนบุรุษผู้ตกเหวลึก ดึงมือ และเท้าให้ห่างแผ่นดินเสียฉะนั้น เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมเจ้าบอกเท่านั้น ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเลยนะ ท่านเห็นเทวดาจำนวนมากมายมาประชุมกันแล้วมิใช่หรือ’
เราจึงได้ตอบไปว่า ‘ท่านเทพ.. เรารู้จักเรื่องราวของท่านดี ท่านอย่าเข้าใจว่า ‘พระสมณะไม่รู้จักเรา’ ท่านอย่าคิดว่า พรหมก็ดี เทพทั้งหลายก็ดีทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของท่าน ตกอยู่ในอำนาจของท่าน ‘แม้พระสมณะก็ต้องอยู่ในมือของเรา ต้องอยู่ในอำนาจของเรา’ แต่ว่า เราหาได้อยู่ในมือของท่านไม่ เราไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของท่านหรอกนะ’

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมเจ้าได้กล่าวว่า เรากล่าวสิ่งที่เที่ยงว่า‘เที่ยง’ กล่าวสิ่งที่มั่นคงว่า ‘มั่นคง’ กล่าวสิ่งที่ยั่งยืนว่า ‘ยั่งยืน’ ฯลฯ เรากล่าวว่า ‘แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ที่อื่นที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ ไม่มี ...แต่ำทำไม ท่านกลับกล่าวคัดค้าน สมณพราหมณ์อย่างพวกท่านได้มีอายุนานทั้งสิ้นมีประมาณเท่าใดกัน?? กรรมที่ทำด้วยตบะของสมณพราหมณ์อย่างพวกท่านมีประมาณเท่านั้นกัน สมณพราหมณ์อย่างพวกท่านรู้วิธีการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่น หรือจะพึงรู้การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่น(ซึ่งต่างไปจากที่เรารู้หรือ?)

พรหมเจ้ากล่าวต่ออีกว่า ‘ท่านจักไม่เห็นการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นเลย แม้ว่าท่านจักเป็นผู้มีความลำบากและพากเพียรอย่างไรก็ตาม ท่านภิกษุ.. ถ้าท่านจักกลืนกินแผ่นดิน ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงสั่งได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้ ถ้าท่านกลืนกินน้ำ ... ฯลฯ ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงสั่งได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้’
ภิกษุทั้งหลาย เราจึงตอบพรหมไปว่า ‘ท่านพรหม แม้เราก็รู้อย่างนี้ว่า ‘ถ้าเราจักกลืนกินแผ่นดิน เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน ท่านพึงสั่งได้ตามประสงค์ ท่านพึงห้ามได้ ฯลฯ ..ใช่แต่เท่านั้น เรายังรู้อีกถึงคติและรู้ความรุ่งเรืองของท่านว่า พรหมเจ้านี้เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ มีศักดิ์มากอย่างนี้’

พรหมเจ้าจึงถามเราว่า ‘ท่านภิกษุ ท่านรู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของเราว่า พรหมเจ้านี้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ พรหมเจ้านี้มีอานุภาพมากอย่างนี้ พรหมเจ้านี้มีศักดิ์มากอย่างนี้ได้อย่างไร?’
เรากล่าวว่า ‘ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมโคจรส่องทิศทั้งปวงให้สว่างเท่าใด อำนาจของท่านย่อมเป็นไปใน ๑,๐๐๐ จักรวาลเท่านั้น ท่านย่อมรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มีราคะ รู้จักจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น และรู้จักการเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลาย’ ท่านพรหม.. เรารู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของท่านอย่างนี้
ท่านพรหม.. หมู่พรหมอื่นมีอยู่อีกมาก ท่านไม่รู้จักไม่เห็นหมู่พรหมนั้น แต่..เรารู้ เราเห็นหมู่พรหมนั้น หมู่พรหมที่ชื่ออาภัสสราก็มีอยู่ ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้วในที่นี้ ท่านมีสติหลงลืมไปเพราะอาศัยอยู่กับที่นานเกินไป เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ ไม่เห็นหมู่พรหมอื่น ๆ นั้น แต่เรารู้.. เห็นหมู่พรหมนั้น เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้แจ้งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

หมู่พรหมที่ชื่อสุภกิณหา ก็มีอยู่ ...
หมู่พรหมที่ชื่อเวหัปผลา ก็มีอยู่ ...
หมู่พรหมที่ชื่ออภิภู ก็มีอยู่ ท่านไม่รู้.. ไม่เห็นหมู่พรหมนั้น แต่เรารู้... เห็นหมู่พรหมนั้น เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

เรารู้จักสิ่งทั้งปวง รู้จักนิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้... ท่านพรหม เราเทียบกับท่านไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน
พรหมนั้นกล่าวกับเราว่า ‘ท่านภิกษุ ถ้าท่านพูดอ้างว่าตนเองรู้นิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง ถ้อยคำของท่านอย่าได้ว่าง อย่าได้เปล่าเสียเลย(อย่าดีแต่ปาก..)”
เราตอบว่า “ นิพพานที่ผู้บรรลุจะพึงรู้แจ้งได้นั้น เป็นสภาวะที่มองไม่เห็นด้วยตา เป็นอนันตะ มีรัศมีกว่าสิ่งทั้งปวง สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ..ฯลฯโดยความที่พรหมเป็นพรหม...” ฯลฯ

‘เราเห็นภัยในภพและเห็นภพของสัตว์ ผู้แสวงหาความปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย ทั้งไม่ยึดมั่นติดใจในภพด้วย’ ฯลฯ..

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พวกเทพพากันมากล่าวกับเราว่า ‘ท่านภิกษุ ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ก็อย่าแนะนำ อย่าแสดงธรรม (อย่าเผยแผ่คำสอน)เลย เพราะว่า(ในอดีต) ได้มีสมณพราหมณ์พวกก่อนท่าน ก็ได้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณพราหมณ์พวกนั้นแนะนำ แสดงธรรม (เผยแผ่คำสอน) หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในพวกที่เลว ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาพุทธเจ้าในโลก ..แต่ไม่แนะนำ ไม่แสดงธรรม (ไม่เผยแผ่คำสอน) หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในพวกที่ดี เพราะฉะนั้น เราจึงขอเตือนท่านว่า ‘ท่านภิกษุ ขอท่านอย่ากังวลไปเลย จงอยู่สบาย ๆ เฉย ๆ ไป เถิด เพราะการไม่พูดเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่น ๆ เลย’

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเหล่าเทพกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า “อย่าพูดเลย... เรารู้จักท่านดี... ท่านหามีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลไม่ จึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลจึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านกลัวว่า ‘ถ้าพระสมณโคดมจักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น จักล่วงวิสัยของเราไป’ ฯลฯ
มารเอ๋ย เราแม้เมื่อแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนเดิม เพราะเราละอาสวะที่ทำให้ต้องไปเกิดในภพใหม่ได้แล้ว ..ฯลฯ (เราล่วงพ้น)ความตายไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปได้อีก ต้นตาลที่ถูกตัดยอดแล้ว ไม่อาจงอกขึ้นอีกได้ แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราละอาสวะที่ทำให้ต้องไปเกิดในภพใหม่ได้แล้ว ..ฯลฯ (เราล่วงพ้น)ความตายไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีการเกิดขึ้นต่อไปได้อีก”
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2007, 11:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาเช่นกันครับ
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
human
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 พ.ย. 2006
ตอบ: 41

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2007, 10:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ใบโพธิ์
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2007, 9:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง