ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
วุฒิชัย
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2007
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 10:54 am |
  |
ผมมีเพื่อนอยู่หลายคนที่ไม่เข้าใจ
ในพุทธศาสนาหรือไม่เข้าใจความหมายของการเกิด มีชีวิตอยู่ และดับลงไป
มีคนนึงบอกว่าคนเราเกิดมาแล้วเดี๋ยวก็ตายทำไมต้องทำอะไรที่ฝืนใจตัวเอง
ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า ความสุขของเค้าก็คือการเที่ยวหาความสุขตามสถานที่อโคจร ดื่มสุราเมามาย (เมามากจริงๆ) และจะดื่มเกือบทุกวันและก็
เสพกาเมกับผู้หญิงหากิน ชีวิตของเค้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เค้ามักจะพูดบ่อยๆ
(ในวงเหล้าว่า) เวลาที่เค้าเห็นผมสวดมนต์นั่งสมาธิ เค้าจะขำก๊ากเลย ผมไม่รู้จะอธิบายให้เค้าเข้าใจกฎของธรรมชาติที่เรากำลังเผชิญอยู่ให้เค้าเข้าใจอย่างไร เพราะดูเค้าจะปฏิเสธการทำความเข้าใจทุกอย่าง (เค้านับถือศาสนาพุทธ)
กับอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจแต่ก็พร้อมจะทำความเข้าใจ ผมอยาให้ผู้รู้ช่วยผม
หาวิธีอธิบายแบบง่ายๆ ที่ไม่อิงกับปาฏิหารย์ใดๆ เพราะพวกเค้าเป็นคนของโลก
วิทยาศาสตร์ 100% เช่นทำไมถึงมีทุกข์ และทำไมต้องดับทุกข์
ตัวผมเองเข้าใจเป็นอย่างดีแต่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจอย่างผมไม่ใด้
ขอบคุณครับ |
|
_________________ ร่างกายเคลื่อนไหว ใจสงบนิ่ง |
|
     |
 |
ณุดา
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 09 ส.ค. 2007
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 1:35 pm |
  |
เหมือนกันค่ะ ดิฉันก็ถูกมองว่าเพี้ยนๆ ที่อ่านหนังสือธรรมะ อยากฟังเทศน์ เพื่อนสนิทคนนึงไม่ศรัทธาอะไรเลย ส่วนแฟนชวนทำบุญบอกบุญก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาเป็นว่าเราทำกับตัวเองให้เกิดผลก่อนแล้วค่อยบอกต่อคนรอบข้าง เริ่มที่ครอบครัวญาติๆ ก่อนดีค่ะ บางทีคนเรามีบารมีมาไม่เหมือนกันค่ะ บางคนมรรคผลเกิดไว บางคนเกิดช้า แต่ต้องใช้ความเพียรค่ะ ดิฉันยังพยายามอยู่เลย (ต่อสู้กับกิเลสและอารมณ์ตนเอง) |
|
_________________ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม |
|
  |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 2:50 pm |
  |
กราบสวัสดี คุณวุฒิชัยและกัลยาณมิตรทุกท่าน
ธรรมดาปุถุชน ผู้หลงอยู่ทางโลก ติดสุขอยู่ทางโลก ก็ย่อมเข้าใจในความหมายการเกิด มีชีวิตอยู่ และดับลงไป โดยหาสาระอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำตามความเรียกร้องของกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตใจตนมาช้านาน พุทธศาสนาไม่ได้สอนอะไรให้เข้าใจยากเย็น แต่ใจมนุษย์ไม่เคยสังเกตความเป็นธรรมชาติที่เป็นปกติมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องธรรมดาโลก ที่สุดของความเป็นธรรมดาของธรรมชาติของทุกชีวิต ก็คือ ทุกคนมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกชีวิต
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องธรรมดา แต่การที่จะเข้าใจเรื่องธรรมดาต้องผ่านการขัดเกลาอบรมจิตใจให้ปล่อยวางโดยไม่ยึดทั้งสุขและทุกข์ ที่สุดของการปฏิบัติให้เข้าใจในธรรมแท้ซึ่งเป็นธรรมดา ไม่ใช่การเข้าไปแก้ปัญหาอะไร แต่คือการปล่อยวางทางกายและจิตของแต่ละบุคคลอย่างมีสติ สัมปชัญญะ เรื่องง่ายๆที่ทำยาก แต่ทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำอะไร ธรรมแท้มีแค่นี้ ไม่มีอะไร
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 8:54 pm |
  |
ครั้งพุทธกาลมีบุรุษอยู่ 2 ท่านเป็นเพื่อนกันได้นัดกันว่าใครเห็นธรรมหรือได้รู้ธรรมก่อนกัน ให้มาบอกกับอีกคนหนึ่ง วันหนึ่งอุปติสสะได้พบพระอัสสชิเห็นกิริยาอาการน่านับถือน่าเลื่อมใสยิ่งนัก จึงได้ติดตามท่านจนท่านบิณฑบาตเสร็จแล้ว และฉันจังหันเสร็จแล้วได้เข้าไปกราบและถามว่าอาจารย์ของท่านเป็นใครและสั่งสอนมาอย่างไร พระอัสสชิตอบว่า เราเพิ่งบวชได้ไม่นานอาจารย์เราสอนมาน้อย อุปติสสะถามว่าและท่านสอนว่าอย่างไรท่านช่วยบอกหน่อยได้ไหม พระอัสสชิตอบว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้นพระองค์มีปกติตรัสอย่างนี้ อุปติสสะเมื่อได้ฟังหัวข้อธรรมนี้จบลงก็ได้บรรลุพระโสดาบัน และถามว่าพระศาสดาอยู่ที่ใดข้าพเจ้าจะไปกราบ และได้กราบลาพระอัสสชิ รับไปหาโกลิตะ และบอกธรรมนั้นแก่โกลิตะๆได้บรรลุพระโสดาบันเช่นกัน เมื่อทั้งสองได้บรรลุแล้วก็ละรึกถึงอาจารย์จึงได้ไปหาและชวนอาจารย์คือสญชัยแต่กกับได้รับคำตอบถามกลัลมาว่า ในโลกนี้ระหว่างคนฉลาดกับคนโง่อันไหนมีมากกว่ากัน อุปติสสะกับโกลิตะได้ตอบว่า คนโง่ครับ สญชัยจึงว่างั้นคนฉลาดก็ไปหาพระพุทธเจ้า ส่วนคนโง่ก็มาหาเรา คุณ วุฒิชัยว่าอย่างไร |
|
|
|
  |
 |
เสกสรรค์
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2007
ตอบ: 22
ที่อยู่ (จังหวัด): นครพนม
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 9:07 pm |
  |
ขออนุโมทนา กับจิตใจที่เป้นบุญเป็นกุศล ของคุณที่ต้องการให้เพื่อนได้พบสิ่งที่มีค่า ที่สุดในชีวิต ที่ได้เกิดเป้นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา การที่จะอธิบาย ให้คนอื่นๆเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น มีองค์ประกอปอยู่ 4 อย่าง
1ตัวผุ้ที่จะถูกสอน จิตเป้นอย่างไร หยาบหรือละเอียด เพราะวิธีการที่จะอธิบายก็ต้องหนักเบาตามสภาพของจิต เช่น บางครั้งเราอาจจะต้องตบหน้าคนเพื่อให้เขาได้สติกลับ แต่ในที่นี้คงต้องเลือกใช้คำพูดหนักเบา ตามอาการของผุ้ที่เราจะอธิบาย
2 ตัวผู้สอน สามารถใช้คำอธิบายกระเทือนในจิตเขาได้มากขนาดไหน เช่นพูดแล้วทำให้คนหัวเราะหรือร้องไห้ได้ อย่าลืมว่าจิตใจของแต่ละคนมีทิจฐิ ซึ่งต้องใช้คำพูดกระเทาะเข้าไป
3 วาสนา และบารมี ของบุคคลที่จะสอน ว่าสามรถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่
4 กรรมสัมพันธ์ ของบุคคลทั้ง 2 หากเคยสอนกันมาในชาติก่อนๆก็จะสอนได้ง่าย เพราะผู้ถูกสอนมีความเคารพอยู่ก่อนแล้ว (ทิจฐิหายไปบ้าง)
เอวังด้วยประการละฉะนี้ |
|
|
|
  |
 |
ผู้เยี่ยมชม.
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 22 พ.ค. 2007
ตอบ: 95
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 9:27 pm |
  |
จิตของเขายังไม่ถึงจุดเบื่อหน่ายครับ ยังติดอยู่ ยังฟังธรรมไม่ได้ ยังวนเวียนอยู่
พวกดื่มเหล้าแต่วงเขาอย่างเดียว ไม่ชักชวนใคร ไม่บีบบังคับใคร ให้ประพฤติตามนี่ยังดีนะครับ ดีกว่าพวกที่ชอบชักชวนให้คนอื่นปฏิบัติตาม
การชักชวนผู้อื่นให้รู้จักธรรม ต้องดูด้วยว่าเขามีความพร้อมที่จะรู้หรือไม่ เพราะธรรมถือเป็นหายนะใหญ่หลวงของผู้ที่ยังติดทางโลกอยู่
คำแนะนำให้ผู้ฟังถึงจุดเบื่อหน่ายก็มีครับ เพียงแต่ต้องชี้ให้เห็นข้อเสียของสิ่งนั้น ชี้ให้เห็นผลดีของการเลิกประพฤติในสิ่งนั้น โดยละเอียด บางคนเมื่อฟังแล้วก็เกิดความกลัว จนมีใจที่จะ ลด ละ เลิก ไปเอง |
|
|
|
  |
 |
พระครูใบฎีกาภักดี
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2007
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): ๑๘ วัดบางนานอก บางนา กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ส.ค. 2007, 10:13 pm |
  |
อยู่สมุทรปราการแวะมาบางนาหน่อยดีไหม
วัดบงนานอกรู้จักไหมอาตมาจะบอกให้ถ้าสงสัย
sutiyano@hotmail.com |
|
_________________ สุขใดเสมอความสงบไม่มี |
|
   |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2007, 1:36 am |
  |
ขออนุโมทนาด้วยค่ะกับผู้ที่ไม่เข้าใจ
แต่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้
เรื่องที่คิดว่ายาก....ก็จะไม่ยากอีกต่อไป
ส่วนผู้ปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจ
อาจเป็นเพราะ เค้ายังติดสุข
เพราะไม่เห็นทุกข์....จึงยังไม่เห็นธรรม
แค่นั้นเองค่ะ
คดข้าวราดแกงยื่นให้เค้าสักจาน....
เมื่อเห็นเค้าอดข้าวมา ๓ วัน
เค้าย่อมจำคุณได้ไม่รู้ลืม
ในทางกลับกัน...
ไฉนเลยเค้าจะเห็นประโยชน์จากข้าวหนึ่งอิ่ม
หลังจากเพิ่งหมดเป็นหมื่นจากมื้อเดียวที่เหลาสุดหรู....:  |
|
แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 10 ส.ค. 2007, 1:57 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
    |
 |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2007, 1:49 am |
  |
"เคยมีอาจารย์องค์นึงมีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ
วันหนึ่งตอนท่านเทศน์อบรมลูกศิษย์
ท่านสอนว่า การปฏิบัตินี้เหมือนเทน้ำใส่กระชอนให้มันเต็ม
ท่านพูดแค่นั่นแล้วก็จบการแสดงธรรม
โดยไม่ให้คำอธิบายใดใดเลย
ผู้ฟังก็งงทั้งนั้นว่าจะเทน้ำใส่กระชอนให้มันเต็มได้อย่างไร
น้ำที่เทเข้าไปต้องรั่วไหลออกมาตามรู
คฤหัสถ์บางคนคงคิดว่าคงล้อเลียนกระมัง
หาว่าฆราวาสเราปฏิบัติอย่างไรไม่ค่อยได้ผล
พอเกิดความรู้ความเข้าใจเข้ามานิดหน่อย
ก็ปล่อยให้มันไหลออกไปด้วยความประมาท
บรรลุธรรมชั้นสูงไม่ได้
บางคนก็ท้อจึงเขาคิดว่าพระพุทธองค์เคยตรัสสอนว่า
ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
คำพูดของอาจารย์คงไม่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรอก
เพียงแต่ว่าเรายังไม่เข้าใจความหมายของท่านต่างหาก
เดี๋ยวนี้เราจะไม่มีเวลาที่จะไม่ปฏิบัติธรรม
ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน ไม่มีเวลาที่จะขี้เกียจ
เราทำไปเรื่อยๆ ถือเป็นหน้าที่ของเรา
เราจะได้ผลน้อย เราจะได้ผลมากก็ไม่เป็นไร
เราจะไม่คาดกวังอะไร เราจะไม่ทำอะไร
จากนั้นเขาก็เลยลงมือปฏิบัติ
อาจารย์เห็นแล้วชมเชย พาไปชายทะเลแล้วอธิบายคำสอนของท่าน
ท่านไปยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ยื่นออกไปในน้ำ
แล้วเอากระชอนนั้นลงไปในน้ำทะเล ยกขึ้นมา น้ำก็ไหลออกไป
ทำสองสามครั้งให้เห็นว่าทุกครั้งที่ยกกระชอนขึ้นมา น้ำไหลออกไปมันไม่อยู่
ท่านบอกว่าการปฏิบัติของปุถุชนมักจะเป็นอย่างนี้
เอาธรรมะน้อมมาใส่ใจตน แล้วมันก็อยู่ไม่นาน มันไหลออกไป
แต่ว่าอันนี้เป็นเพราะ ปุถุชนยืนอยู่บนหินแข็ง คือ อัตตา
การปฏิบัติที่ยึดอัตตาเป็นหลักอยู่ตลอดเวลา
การปฏิบัติของฉัน ความก้าวหน้าของฉัน ความทุกข์ของฉัน
การปฏิบัติที่ยืนอยู่บนอัตตาเป็นหลักตายตัวแล้ว
ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความลึกซึ้งของพระพุทธธรรมได้
อธิบายจบแล้วท่านก็โยนกระชอนทิ้งไปในทะเล
กระชอนนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำ และจมน้ำ
เห็นไหมล่ะ อาจารย์ถาม กระชอนมันเต็มไปด้วยน้ำแล้ว
คือแทนที่จะเอาธรรมะน้อมเข้าสู่ใจเรา
เราต้องเอาใจของเราน้อมไปหาธรรมะ
เหมือนกับว่าเราเอาความยึดมั่นถือมั่นของเราไปทิ้งในทะเล
คือ ความจริงหรือสัจธรรม
ทิ้งความหวงแหนทั้งหลายเอาไว้ในความจริง
ยอมรับความจริง จงปล่อยวางความคิด
แล้วจิตใจของเรามันก็จะค่อยเต็มไปด้วยธรรมะ
จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมะ
แล้วเราก็เป็นธรรมะ
เมื่อเรามีสัมมาทิฐิอย่างเต็มที่แล้ว
เราจะทำอะไรจะพูดอะไร จะคิดอะไร
มันก็จะเป็นธรรมะหมด
ชีวิตของเรากับธรรมะจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหมือนกับกระชอนที่มันเต็มไปด้วยน้ำ
แล้วค่อยจมลงในน้ำ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทะเล"
อ ด ท น...พิ จ าร ณ า....ป ล่ อ ย ว า ง
(จากส่วนหนึ่งใน "ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรม" โดย ชยสาโรภิกขุ) |
|
|
|
    |
 |
uk
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 07 ส.ค. 2007
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
11 ส.ค. 2007, 8:29 pm |
  |
ผมก็มีความปราถนาเหมือนคุณและก็เจอปัญหาเช่นกันครับ อย่าว่าแต่เพื่อนร่วมงานเลยครับผู้มีพระคุณเปรียบเหมือนแม่คนที่สองผมยังหาทางเข้าไม่เจอเพราะท่านมีมานะมาก ก็ได้แต่คิดสงสารเท่านั้นเพราะคนส่วนใหญ่ก็ตามกระแสโลกอยู่แล้ว  |
|
_________________ ขันธ์ 5 ธาตุ 4 พอกันทีชาตินี้ |
|
  |
 |
พิทรายา
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
|
ตอบเมื่อ:
12 ส.ค. 2007, 10:15 am |
  |
สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่องบาป-บุญ จะพูดให้เขาเชื่อตามคงยากค่ะ ตราบใดที่เขายังไม่เจอกับตัวเอง บางคนอ้างเหตุผลสารพัดที่เข้าข้างตัวเองในการที่กระทำกรรมชั่ว อาจจะเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจว่าเวรกรรมไม่มีจริง และเขาก็ไม่ต้องรับผลกรรมที่เขากระทำ ขออนุโมทนาบุญกับคุณด้วยที่มีความปรารถนาดีกับผู้อื่น |
|
_________________ ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์ |
|
  |
 |
|