Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จิต กับ สมอง.... อย่างเดียวกันไหม? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 4:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็นที่มีการเสวนา ในประเด็น

1.จิต กับ สมอง อย่างเดียวกันไหม

2.ถ้าจิต คือ ทั้งหมดที่เกิดจากสมอง การทำบุญ-ภาวนาทั้งหลายไม่สูญเปล่าหรือ เมื่อตอนตาย เพราะตายแล้วก็ไม่มีอะไรต่อจากนั้นหากจิตเป็นทั้งหมดที่เกิดจากสมอง

3.มีพระคัมภีร์บางที่ กล่าวว่า จิตตั้งอยู่ใน วัตถุหทัยรูป..... โดยที่ วัตถุหทัยรูปนี้ ตั้งอยู่ใน มังสหทัยรูป(หัวใจคน)อีกที
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 4:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่พอเข้าใจบ้าง
ถูก-ผิด ประการใด ขออภัยล่วงหน้า
ยิ้ม


1.จิต กับ การทำงานของสมอง เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกออกได้ยากสำหรับคนทั่วไปหรือภาวะทั่วไป

ที่ต้องพูดถึง"การทำงานของสมอง" เพราะจะได้ความหมายที่ถูกต้องกว่า

ถ้ากล่าวถึงสมองอย่างเดียว จะกลายเป็นเฉพาะโครงสร้างที่ประกอบด้วย เซลล์ประสาท เส้นประสาท ทางเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเซลล์ประสาท สารสื่อสารระหว่างประสาท.....ซึ่งก็จริงอย่างที่หลายๆท่านกล่าว คือเมื่อคนตายก็เป็นก้อนสมองก้อนหนึ่งที่หยุดทำงานไปแล้ว

แต่ถ้าพูดถึง "การทำงานของสมอง" จะเป็นการมองภาพรวม

2.ชาติ-การเกิดนั้น หมายถึงการเกิดของขันธ์๕
นับทั้งรูป และ นาม..... ไม่ใช่เกิดเฉพาะรูป แต่นามเป็นของเก่าที่ยืนพื้นถ้าเห็นว่านามเป็นของเก่าที่ยืนพื้น "มั่นคงดุจเสาเพนียด" จัดเป็นสัสตทิฏฐิแบบสาติภิกษุ
(แต่ถ้าจะคุยให้ ลุงมี กับ ป้าสีฟัง ก็ใช้คำว่า เวียนว่ายตายเกิดก็ได้.... ขืนคุยกันอย่างที่คุยกันนี้ รับรองว่าคุณลุง-คุณป้าฟังไม่รู้เรื่อง
และอย่าไปกังวลสัสตทิฏฐิมากเกินไป เพราะอุจเฉทิฏฐิเลวร้ายกว่าสัสตทิฏฐิมากนัก
สัสตทิฏฐิปิดกั้นมรรค-ผล ไม่ห้ามมนุษย์โลก และสวรรค์-พรหมโลก
อุจเฉททิฏฐิ ท่านว่าลงนรกลูกเดียว)

เวลาตายจิตดวงสุดท้ายในภพเก่าดับ พร้อมกับมีจิตดวงใหม่เกิดใหม่ในภพใหม่ทันที เปรียบเสมือนการส่งไฟจากตะเกียงดวงเก่าที่กำลังมอดดับลงไปยังตะเกียงดวงใหม่....เพราะเชื้อไฟยังมีอยู่

สิ่งที่ข้ามภพ-ชาติได้ ไม่ใช่จิต....

สิ่งที่ข้ามภพ-ชาติได้ คือ กรรม


คนเราทำกรรม(กัมมภพ)เพราะมีความยึดมั่น-ถือมั่น(อุปาทาน)
พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า เมื่อสิ้นอุปาทานก็ไม่เกิดใหม่(ใน กุตุหลสาลาสูตร)

3.การที่จิตจะแยกจากกายในบางภาวะ เช่น ผู้เข้าสมาบัติขั้นลึก..... เป็นสิ่งที่ต้องประจักษ์ด้วยตนเอง(เรียกว่า ฌานวิสัย) เป็นอจินไตย คือ นึกคาดเดาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ถ้าไม่ทำได้ด้วยตนเอง

4.มีการผ่าตัดเอาหัวใจเดิมของผู้ป่วยโรคหัวใจโยนทิ้ง แล้วใส่หัวใจจักรกลเข้าไปแทน
ผู้ป่วยก็ยังมีชีวิตอยู่ได้..... ดังนั้น ไม่มีทางเลยที่จิตจะอยู่ในหัวใจ


5.ในยุคปัจจุบัน ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์..... ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านต้องผ่าตัดต่อมลูกหมาก แพทย์หายาชา-ยาสลบไม่ได้ ท่านกำหนดจิตแล้วให้แพทย์ผ่าตัดกว้านต่อมลูกหมากสดๆ..... ถ้ากำหนดจิตเข้าสมาบัติลึกไม่ได้ รับรองว่าช็อคแน่ๆ

6.ไม่ว่า จิต กับ สมองจะแยกจากกันยากสักเพียงใด
ถ้าปฏิบัติจิตภาวนาถูกตามหลักสติปัฏฐานแล้ว ความสุขของใจก็จะปรากฏขึ้นเป็นพยานแก่ตนเอง

7.อย่ากังวลว่าจะไม่ได้เกิดอีก หากจิตเป็นสมองทั้งหมด.....
เพราะการที่ไม่เกิดอีกนั่นล่ะดีที่สุดเลย

8.เรื่อง ของจิต ที่เป็นส่วนประกอบของขันธ์๕ ที่เป็นบุคคลขึ้นมา....

มีคำกล่าวที่ว่า กรรมจะให้ผลที่อัตตภาพ(ขันธ์๕)..... ดังนั้น กรรมสามารถให้ผลได้ทั้งร่างกาย สมอง และจิต!!!

โรคจิต-โรคประสาทหลายชนิด มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
สิ่งที่ทำให้สัตว์นั้นต้องมาเกิดในครอบครัวที่มียีนส์ที่ผิดปกตินั่น คือ"กรรม"นั้นเอง


9.มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า
การนึกคิดที่ดี(พูดง่ายๆว่า จิตดี)ช่วยทำให้สมองทำงานดีขึ้น
การนึกคิดที่ไม่ดี(จิตไม่ดี) ทำให้สมองทำงานแย่ลง .... ถ้าเป็นมากๆก็เป็นโรคจิต-โรคประสาทได้น่ะครับ
ดังนั้น ....สิ่งที่เราควรพยายามคือว่า ทำอย่างไรอารมณ์จะไม่ขุ่นมัว
เรื่องที่ว่า"จิต กับ สมอง จะแยกกันออกได้ไหม" นั้น เป็นเรื่องรอง
จะแยกออกได้ หรือ แยกออกไม่ได้ ก็ช่างมันเถิด.... ใจไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนก็ใช้ได้แล้ว


10.ทั้งจิต สมอง และๆลๆ .....ล้วนแต่ไม่ใช่เรา หรือ ของเราทั้งสิ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 4:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กระทู้เก่า การใช้"สติ"ร่วมรักษาภาวะผิดปกติทางจิต

http://larndham.net/index.php?showtopic=16004&st=0



ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันทราบข้อมูลที่ชัดเจนแล้ว ว่าการเจริญสติหรือสมาธิภาวนา นอกจากจะทำให้ใจเป็นสุข ปล่อยวางเรื่องต่างๆได้ง่ายลงแล้ว...... ยังมีการเปลี่ยนแปลงในทางบวกที่ถาวรต่อสมองได้ด้วย


ในทางตรงกันข้าม การคิดในทางลบ ความหดหู่ ความเครียด นอกจากจะเกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร แล้ว ยังน่าที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางลบอย่างถาวรต่อสมองได้เช่นกัน.....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 4:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีผลการวิจัยที่นักวิจัยอเมริกาเคยศึกษาในพระภิกษุทิเบต เกี่ยวกับเรื่องนี้เคยลงใน

http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/articles/A43006-2005Jan2.html

ใครสนใจไปอ่านฉบับเต็มเอาเองเพราะยาวมาก.... แต่เขาใช้วิธีเมตตาภาวนาแบบทิเบต.... ไม่ใช่อานาปนสติแบบของเถรวาท แต่ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก

มีที่น่าสนใจมากตรงนี้ครับ....

".....Davidson said that the results unambiguously showed that meditation activated the trained minds of the monks in significantly different ways from those of the volunteers. Most important, the electrodes picked up much greater activation of fast-moving and unusually powerful gamma waves in the monks, and found that the movement of the waves through the brain was far better organized and coordinated than in the students. The meditation novices showed only a slight increase in gamma wave activity while meditating, but some of the monks produced gamma wave activity more powerful than any previously reported in a healthy person, Davidson said.

The monks who had spent the most years meditating had the highest levels of gamma waves, he added. This "dose response" -- where higher levels of a drug or activity have greater effect than lower levels -- is what researchers look for to assess cause and effect......"


นักวิจัยท่านนี้ท่านวิเคราะห์ว่า การฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างถาวรกับสมองด้วย..... เพราะเขาพบว่าในกลุ่มพระทิเบตที่ฝึกสมาธิมานานจะมีระดับเบสไลน์ของแกมม่าเวฟสูงกว่าปกติมากแม้นแต่ในขณะที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สมาธิ.....(Davidson concludes from the research that meditation not only changes the workings of the brain in the short term, but also quite possibly produces permanent changes. That finding, he said, is based on the fact that the monks had considerably more gamma wave activity than the control group even before they started meditating. A researcher at the University of Massachusetts, Jon Kabat-Zinn, came to a similar conclusion several years ago. )

ตรงนี้อธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่มีเมตตาจิตจากการภาวนา....จะมองโลกในแง่ดี....หลับก็ฝันดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 4:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อเรื่อง จิต กับ สมอง อีกหน่อยครับ ยิ้ม


1. ความรู้ในปัจจุบันนั้น เราทราบแล้วว่าพื้นที่บนสมองส่วนไหนที่ทำให้เกิดความคิดประเภทไหน แต่ยังไม่ทราบหมดทุกส่วน..... เพราะรอยโรคบนสมองบางส่วนทำให้เกิดความผิดปกติทางความคิดบางประเภทได้จริง แต่ความคิดของคนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก แม้นแต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านนี้โดยตรงก็ยังไม่ทราบความซับซ้อนนี้ทั้งหมด.
แต่อย่างไรก็ตาม ........
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เรารู้วิธีของการรับรู้ว่า รับรู้อย่างไรแล้วไม่เป็นทุกข์ รับรู้อย่างไรแล้วเป็นทุกข์......
ในขณะที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังตอบสิ่งนี้ไม่ได้ อย่างมากก็อาจจะสามารถสังเคราะห์ยาคลายเครียดหรือยากล่อมประสาทมาช่วยบรรเทาความทุกข์ทางใจได้บ้าง แต่ก็อาจจะติดยาและมีผลข้างเคียงของการใช้ยาได้

2. อยากให้ลองอ่านเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างถาวรที่เกิดต่อสมองของพระภิกษุทิเบตที่เจริญเมตตาภาวนาจากลิ้งค์ข้างบนที่ผมทำไว้ให้...... ณ เวลาปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือสารสังเคราะห์ตัวไหนทำให้เกิดผลดีต่อสมองได้ชัดเจนอย่างนี้เลยน่ะครับ..... ดังนั้น ขออย่าลังเลเลยครับ ลงมือภาวนาเลยดีกว่า...... ความสงสัยก็ปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้นแหละ ภาวนาเลยดีกว่า.....

3.อาจจะสงสัยว่า ถ้าจิตเป็นเพียงการทำงานของสมองแล้ว...... แล้วเรา-ท่านภาวนาและเรา-ท่านทำบุญกันอยู่นี้ทั้งหมดจะไม่หมดสิ้นเพียงตอนตายแล้วหรือ??? ความจริงนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ก็เห็นผลคือความทุกข์ทางใจลดลงกันเห็นๆเลยในปัจจุบันนี้น่ะครับ...... ส่วนเรื่องความสงสัยที่ว่า ตายแล้วจะไม่เกิดอีก เพราะจิตเป็นเพียงการทำงานของสมอง(ซึ่งจะหยุดตอนตาย)นั้น ไม่ต้องกังวลหรอกครับ.....
ตายแล้วไม่เกิดซิครับ ดีที่สุด!!!.....
เพราะถ้าเกิดอีก ก็ต้องตายอีกแน่ๆน่ะครับ.....
ทั้งการเกิดและการตายเป็นทุกข์ทั้งนั้น คนทั่วไปไม่เห็นความจริงข้อนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านเห็นชัดเลยน่ะครับ.....
คุณอาจจะกลัวว่าตายแล้วจะไม่ได้เกิด แต่ผู้ภาวนาแล้วเขาไม่กลัวเรื่องไม่เกิดกันหรอกน่ะครับ.
ความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในคืนวันตรัสรู้นั้น ท่านบรรลุวิชา3ประการ ท่านเห็นตั้งแต่การเวียนว่ายตายเกิดของพระองค์เอง(บุปเพนิวาสานุสตินญาณ คือวิชาที่1) การเกิดตายของหมู่สัตว์(จุตูปปาตญาณ คือวิชาที่2) และสุดท้ายก็คือรู้การดับทุกข์ทั้งหมด คือรู้ทั้งการหมดทุกข์ในปัจจุบัน(สอุปาทิเสสนิพพาน)และตายไปแล้วไม่เกิดอีก(อนุปาทิเสสนิพพาน) ซึ่งก็คือ อาสาวักขยญาณ (คือวิชาที่3)ท่านทรงสอนไว้ว่าถ้าจะไม่เกิดก็ต้องดับกิลสในใจให้หมดเท่านั้น ถ้ากิเลสในใจไม่หมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเกิดอีกน่ะครับ.......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
aratana
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ค.2007, 9:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมองเป็นเครื่องมือของ "จิต"

สมองเป็น"รูปธรรม"
จิตเป็น "นามธรรม"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 18 พ.ค.2007, 9:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่เคยศึกษามาครับ

ส่วนที่เรียกว่า สัญญา ได้แก่ สมอง กับ บางสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึก สิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกขอเรียกว่าพวก กามธาตุ หรือ กิเลสธาตุ

กามธาตุ หรือเรียกให้เป็นคำใหญ่ว่า กิเลสธาตุ เป็นเหตุที่ทำให้มีการเกิด อันนี้ฝังอยู่ลึกกว่าสมอง เรียกว่า กรรม ก็ได้ กรรมติดตัว ติดไปทุกภพทุกชาติ

กิเลสธาตุที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเป็นส่วนประกอบหลักในการ ปรุงแต่ง ให้เกิดเป็น ขันธ์ หรือเรียกว่า สังขาร

กิเลสธาตุจะดับไปตามสภาวะของมันเอง เช่น สัมผัสและอยู่กับกิเลสนั้นมานานจนเกิดนิพพิทา และเกิดปัญญาเห็นว่าสิ่งนั้น ดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร กิเลสธาตุอันนั้นจะกลายเป็น นิพพิทาธาตุ และถึงคราวดับไปเป็น นิพพานธาตุ

เมื่อนิพพานธาตุเป็นใหญ่ในจิต ความสงบก็จะเกิดขึ้นเอง

เท่าที่ความรู้มีอยู่ก็อธิบายได้ประมาณนี้ ด้วยไม่รู้ว่าจะเอาคำวิชาการ มาใช้ผสมผสานกับวิธีคิดทางพุทธอย่างไรดี เพราะวิธีคิดทางพุทธที่ถูกคือ การคิดให้ออกมาจากสติสัมปะชัญญะ พ้นวิสัยจากการยึดติดในทิฏฐิมานะ 3 คือ ไม่ถือว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา

การจะอธิบายเรื่อง จิตแบบพุทธ ในทางวิชาการจึงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่รู้จะเอาศัพท์วิชาการคำไหนมาแทนศัพท์ทางพุทธอย่างไรให้ถูกต้อง

การอธิบายเรื่องจิตของพุทธ ควรอธิบายแบบปรัชญาจะเข้าใจได้ง่ายกว่าการอธิบายแบบจิตวิทยา

มีความรู้เกี่ยวกับหัวเรื่องนี้ก็เอามาเผยแพร่แลกเปลี่ยนกันอีกได้ครับ

สาธุ
 
ปิงปอง ม.ราม
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 22 ม.ค. 2007
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2007, 8:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตแตกต่างกับสมอง ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาบางคนหรือบางกลุ่มกล่าวว่า "จิตไม่มีสมองต่างหากเป็นผู้สั่งงานหรือควบคุมร่างกาย และแสดงพฤติกรรมต่างๆออกมา คนเราเมื่อตายแล้วก็สูญ ไม่มีอะไรเหลือ บาปบุญไม่มี เป็นเพียงเชื่อถือกันไปต่างหาก " และบางคนก็ถือว่า"จิตคือสมองนั่นเอง"

ความคิดและความเชื่อดังกล่าวข้างต้นนี้ ขัดกับความเป็นจริงและขัดต่อหลักพระพุทธศาสนา เป็นความคิดเห็นของคนที่ไม่ได้รับการศึกษาในเรื่องจิตศาสตร์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะพุทธจิตวิทยา จึงเป็นความเชื่อถือที่เป็นอันตรายต่อตนเองและสังคมโดยรวมได้มาก เพราะคนเหล่านี้ไม่สนใจต่อการพัฒนาจิต เพราะถือว่าจิตไม่มี พวกเขาสามารถทำความชี่ว ก่อความทุกข์ ความเดือดร้อนให้แก่สังคมตามที่พวกเขาต้องการ ในเมื่อพวกเขามีโอกาสและมีอำนาจที่จะทำได้ เพราะพวกเขาไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป

แท้ที่จริง จิตกับสมองไม่เหมือนกัน สมองเป็นส่วนหนึ่งของกาย แต่เป็นเครื่องมือของจิตบางคนอาจจะค้านว่า"ถ้าไม่มีสมองสั่งงาน เช่น สมองพิการ หรือได้รับกระทบกระเทือนจนสั่งงานไม่ได้ จิตก็จะไม่มีอำนาจบังคับกายได้เลย จึงแสดงให้เห็นว่า สมองต่างหากเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่จิต" ข้อนี้ขอตอบว่า" ก็เมื่อสมองอันเป็นเครื่องมือในการทำงานของจิตพิการเสียแล้ว จิตก็ขาดเครื่องมือในการสั่งงานจึงไม่อาจจะบังคับร่างกายได้ เพราะขาดเครื่องมือ ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆก็คือ กายอันประกอบด้วยประสาทรับรู้ต่างๆ เปรียบเหมือนสายโทรศัพท์ที่ต่อจากชุมสายโทรศัพท์ไปตามบ้านเรือนหรือสถานที่ต่างๆ สมองเปรียบเหมือนชุมสายโทรศัพท์ หรือโทรศัพท์กลาง จิตเปรียบเหมือนพนักงานควบคุมสายโทรศัพท์กลาง ถ้าหากชุมสายโทรศัพท์เสียใช้การไม่ได้แล้ว แม้จะมีพนักงานมาปฎิบัติหน้าที่ ก็ไม่อาจติดต่อไปถึงทางเครื่องรับได้ เพราะชุมสายใช้การไม่ได้ ข้อนี้ฉันใด มนุษย์เราก็เหมือนกัน แม้ร่างกายส่วนอื่นไม่พิการ แต่ถ้าสมองพิการเสียแล้ว จิตก็สั่งการไม่ได้ เพราะขาดเครื่องมือในการสั่งงาน"
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2007, 6:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณผู้ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความเห็นทุกท่านสาธุ



มีประเด็นเพิ่มน่ะครับ

คือว่า มีบางท่านพยายามจะโยงภาพดวงกลมๆ ที่เกิดจากการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลไปสนับสนุนประเด็นการมีอยู่จริงของภพ-ภูมิอื่น

ถ้าเรา-ท่าน มุ่งจะพิสูจน์ความดีจริงของพระธรรมของพระพุทธเจ้าโดยใช้วิธีนี้ ให้ผู้อื่นเห็น..... ก็ต้องระวังน่ะครับ
เพราะรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้แน่นอน แถมทำให้เกิดซ้ำได้อีกด้วย
ที่เหลือ ก็อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากอะไรแน่ๆ และ มีส่วนน้อยจริงๆเท่านั้นที่อาจจะบ่งชี้ไปทางการยืนยันได้ของภพ-ภูมิอื่นๆ

อยากให้ลองไปหาเรื่องที่ฝรั่งเขาถ่ายติดภาพเด็กคนหนึ่งในการถ่ายทำหนังเรื่องหนึ่งโดยบังเอิญ.....ผมจำชื่อหนังไม่ชัวร์ (แต่ตอนที่จะนำหนังเรื่องนี้ฉายเขาตัดภาพส่วนนี้ออก)
เรื่องมีอยู่ว่า กองถ่ายทำไปเช่าบ้านหลังหนึ่งเพื่อมาถ่ายทำหนัง.....ในฉากนั้น ไม่มีฉากที่ให้เด็กคนนี้เข้ามาถ่ายด้วยน่ะครับ..... จุดที่ฟิลม์บันทึกภาพนี้ได้ตอนแรกเห็นเป็น"ปืนยาว"วางพิงกับผนังอยู่ก่อน(ในหนังไม่มีปืนเข้าไปเกี่ยวเลย)...... ต่อมาฟิลม์บันทึกภาพได้เป็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงจุดที่เคยเห็นว่ามีปืนวางอยู่(แต่ปืนหายไปแล้ว)
ผู้กำกับเอาฟิลม์ตรงนี้มาดู ก็งงครับ..... เพราะในพล็อตการถ่ายทำไม่ได้จัดฉากไว้อย่างนี้
แต่สุภาพสตรีเจ้าของบ้าน เธอเห็นภาพนี้แล้วเธอร้องไห้....เธอบอกว่าภาพเด็กคนนั้นที่ติดมาในฟิลม์เป็นลูกชายของเธอที่เสียชีวิตจากเล่นปืนแล้วปืนลั่นไปเมื่อหลายปีก่อน

คือ ผมกำลังจะบอกว่าผมไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะใช้กล้องถ่ายรูปมาพิสูจน์เรื่องภพภูมิน่ะครับ

แต่ผมกำลังจะเสนอว่า เรา-ท่าน ต้องเสนอหลักฐานและข้อมูลที่หนักแน่น

ถ้าเรา-ท่านไปเอาปรากฏการณ์ที่อธิบายการเกิดขึ้นได้แน่ๆ มามุ่งยืนยันความดีจริงของพระธรรมให้คนที่เขาไม่เชื่อเรื่องภพ-ภูมิ ดู..... เรา-ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ทำให้เขาปฏิเสธขาดในเรื่องภพ-ภูมิไปเสียเองก็ได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2007, 6:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่ออีกหน่อยครับ ยิ้ม


เรื่องกล้องที่เอาไว้ถ่ายแสงรัศมีของจิตคนนั้น เป็นที่น่าสนใจในช่วงหนึ่ง

แต่ตอนนี้ ฝรั่งเขาใช้คลื่นไฟฟ้าสมองประเมินภาวะทางจิตของคนได้โดยตรงเลยน่ะครับ
คนที่จิตสงบ มองโลกในแง่ดี จะมีคลื่นไฟฟ้าสมองช่วงคลื่นหนึ่งที่เด่น

คือ เทคโนโลยีเกี่ยวกับวัดการทำงานของสมองยิ่งพัฒนามากเท่าใด ยิ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ซีกโลกตะวันตกเขาสนใจเรื่องจิตภาวนามากขึ้นเท่านั้น(นักวิทยาศาสตร์ไทยจะสนใจตามเขาอีกทีน่ะครับ..... ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของเรา ) ยิ้มเห็นฟัน

แต่ข้อมูลหลักฐานที่เอามาพูดนั้น ต้องใช้ข้อมูลที่คัดกรองมาหน่อยน่ะครับ

ถ้าเราเอาข้อมูลที่อ่อนไปเสนอ แล้วคนที่เขารับฟังเขาเกิดปฏิเสธขาดในข้อมูลนั้น แล้วเลยพาลปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องภพ-ภูมิไปด้วย....มันจะเสียหาย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2007, 8:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่อง ภพ ภูมิ ถ้าจะชี้แจงให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ คือ เกิดขึ้นตามหลักเหตุผล สามารถทำให้เกิดซ้ำได้อีกด้วยการทดลอง พิสูจน์ให้ประจักษ์แก่หมู่ชนได้ นั้น ทำได้ยากครับ

ส่วนใหญ่แล้วเรื่อง ภพ ภูมิ จะกล่าวกันในแง่ของปรัชญา เช่น ปรัชญาของพุทธสอนเรื่องความไม่สิ้นสุดมีอยู่ เรื่องการสืบต่อเนื่องของการดับ การเกิด สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เพราะฉะนั้น จุดกำเนิดของอะตอมจึงไม่มีทางหาได้ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งใดให้กำเนิด และไม่รู้ว่าสิ่งใดให้กำเนิดของจุดกำเนิด

นี้เป็นตัวอย่างการตอบแบบปรัชญา ครับ

จักรวาล กว้างใหญ่ไพศาล ไปสำรวจกันให้ถ้วนทั่วก่อน แล้วค่อยกลับมายืนยันเรื่องภพภูมิ จะดีกว่า

ทฤษฎีเปลี่ยนแปลงมาเสมอ ดูได้จากอดีต โลกแบน โลกกลม สวรรค์อยู่บนฟ้ากลับเป็นดวงเดือน ดวงจันทร์ ได้ ด้วยกล้องดูดาว

ยังมีคำถามล้วนพิศวงมากมายให้มนุษย์ค้นหา บนท้องฟ้าทะเลดาวพราวแสงกว้างใหญ่ไพศาล จนแลดูเหมือนไร้ขอบเขตมาจำกัด

สาธุ ขอบคุณที่ให้ร่วมแสดงความคิดเห็น ครับ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง