|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
วิภาดา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 เม.ย.2007, 2:15 pm |
  |
หากชีวิตของเราต้องไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีพ่อแม่ อาภัพในความรักทุกด้าน ไม่มีอะไรดีเลย ต้องต่อสู้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว ทำไมถึงมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราได้ทำอะไรไว้ในอดีตชาติหรือเปล่า ถึงได้เป็นเช่นนี้ |
|
|
|
|
 |
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
|
ตอบเมื่อ:
28 เม.ย.2007, 4:40 pm |
  |
เรื่องนี้เป็นสัจจะธรรมดาประจำวัฏฏสงสารมานานแล้ว
ไม่ใครก็อาจมีอาจเกิดได้ เพียงแต่กรรมนั้นจะส่งผลช้าหรือเร็ว
กรรมที่คุณเคยทำนั้นมีมากมายหลายแบบ ซึ่งมันเกินวิสัยของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราที่จะรู้ได้
วิบากของกรรมมันก็มีมากมายหลายแบบเหมือนกัน ซึ่งในกรณีของคุณ
อาจจะเป็นแบบตรงไปตรงมาตามเหมือนที่ทำไว้ หรืออาจจะเป็นแบบอ้อมๆไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้
ถ้าหากให้ผมสันนิษฐาน ผมก็อาจบอกได้ว่า ชาติหนึ่งชาติใดก็ดี คุณอาจจะได้อธิษฐานไว้ว่า คุณไม่อยากมีมิตร มีญาติที่ไหนเพราะหน่ายต่อ ความรับชอบเหล่านั้น หรือเบื่อก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะคุณไม่เคยได้ทำบุญสร้างบุญกับใครไว้เลย ในทางกลับกันอาจทำให้มีแต่ศัตรูด้วย ทำให้ต้องมาอยู่ในภพที่โดดเดี่ยว หรืออาจเป็นเพราะคุณเคยอาจเป็นคนที่ ทนงตน ถือตัว ในความมีฐานะสูงกว่าของตัวเอง มีคนอยากรู้จักด้วยแต่คุณพายามหลีกลี้หนีห่าง เพราะไม่อยากคบด้วย หรือเคยไปขัดขวางใครเขาไว้ไม่ให้รู้จักกันก็ได้ ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจเพราะทำไว้ทั้งหมดอย่างละนิดอย่างละหน่อย มันก็เป็นการสะสมกรรม และกรรมนั้นก็รอส่งผลอยู่ จนในที่สุดก็มาถึง ก็เป็นได้ทั้งนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผมเท่านั้น มันอาจไม่เป็นอย่างที่ผมว่าไว้ก็ เพราะอาจมีอย่างอื่นที่นอกเหนือจากนี้อีกครับ แต่คุณเองก็ได้ครับ คิดได้แล้วก็จงทำให้มันตรงกันข้ามกันครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรทำก็คือ รู้ไว้ว่าเรากำลังชดใช้กรรมเก่าอยู่ แต่ไม่ใช้ให้ไปโทษกรรม
เราจะปล่อยไปตามยถากรรมหรืออย่างไร ถ้าทุกคนคิดแบบนี้กันหมดว่าอะไรก็กรรม อะไรก็กรรม แบบนี้มันก็แย่เพราะรั้งแต่จะทำให้เราหมดกำลังใจ ไม่คิดจะทำอะไรให้มันดีขึ้นแต่การที่เราว่ามันเป็นเพรากรรมนั้นก็เพราะจะทำให้เรารู้แล้วเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้ เหตุผลของชีวิตเรา เมื่อเรารู้แล้วเราก็ควรปล่อยมัน ไม่ไปยึดมันจนคิดมาก แล้วหาโอกาสทำความดี เพื่อเป็นแรงหนุนให้เกิดเหตุเเห่งกรรมที่ดีได้ต่อไป แบบนี้ไหมครับ ถ้าคุณคิดกันแบบนี้ก็น่าจะเป็นทางออกได้ แล้วไม่ต้องไปโทษกรรมที่ไหน ให้ช้ำใจ ว่าไหมครับ?
ถ้าหากเป็นอย่างสถานการณ์ที่คุณว่า ผมว่าถ้ามองดีๆอาจจะเป็นความโชคร้ายในความโชคดีก็ได้นะครับ ทุกอย่างมีดีในเสีย มีเสียในดีทั้งหมดแหละครับ
เพราะไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับใครให้ปวดหัว ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร ไม่มีใครมารบกวน หาเลี้ยงตัวคนเดียว ยิ่งเกี่ยวข้องกันมากมีมิตรมากมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยไม่ใข้หรอครับ รั้งแต่จะพาเราไปทุกข์หนักกว่าเก่าอีก หากมิตรเหล่านั้นที่คุณต้องการไม่ใช่กัลยาณมิตร
ยิ่งอยู่มากยิ่งมากความ ใช่ว่าคนที่เขามีพ่อมีแม่ มีมิตรสหายเยอะแยะไปหมด จะดีนะครับ มันก็ต้องประสบชะตากรรมของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางทีคนที่มีมากก็คิด อยากไม่มี คนที่ไม่มีก็อยากมี มันสาระวนหาทางออกไม่ได้ใช่ไหมละครับ
ทางออกมันอยู่ในใจแล้วไงครับ เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจตัวเอง ในกรณีของคุณ อยู่เดียวคนผมว่าดีด้วย ทำให้มีสติ เพราะจิตเราไม่ต้องไปคิดถึงใครให้วุ่นวาย ถ้าหากมีมันก็วุ่นคิดถึงคนนู้นคนนี้อยู่นั้นแหละครับ
May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน |
|
_________________ ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด |
|
  |
 |
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
|
ตอบเมื่อ:
28 เม.ย.2007, 8:14 pm |
  |
|
  |
 |
คนเข้าใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 เม.ย.2007, 12:56 pm |
  |
อย่าวุ่นวายใจนักเลยนะ ในโลกใบนี้มิได้มีเราเพียงคนเดียวที่ต้องอยู่ตามลำพัง ยังมีอีกหลายคนหลายชีวิตที่ต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวและทุกข์ทรมานยิ่งกว่าคุณอีกนะ อย่างน้อยก็น่าจะมีคนที่รู้จักเราและเรารู้จักเขา ที่สามารถทำให้เรามีทั้งความสุขและทุกข์ได้
สุข-ทุกข์ใครเป็นคนกำหนด หากมิใช่เรา จะสุขก็อยู่ที่จิตใจกำหนดว่าสุขหนอ จะทุกข์ก็จิตใจเป็นตัวกำหนดว่าทุกข์หนอ หากยามเราทุกข์แล้วจิตยิ่งตอกย้ำว่าทุกข์แล้วเราก็ยิ่งทุกข์ทรมานหนัก
ในยามที่เราเป็นทุกข์แล้วหากเรารู้จักสำรวจที่มาแห่งความทุกข์เหล่านั้นได้ และเราสามารถปล่อยวางและยอมรับกับผลเห่งความทุกข์นั้นๆได้อย่างน้อยก็ช่วยบันเทาความทุกข์นั้นลงได้นะ ไม่มีคนไหนที่เกิดมาแล้วชวิตมีแต่ทุกข์ตลอดชีวิต คนเราตอนมีความสุขมักลืมความทุกข์ที่ผ่านมา
ตอนที่เรามีความสุขนั้นมักลืมความทุกข์ที่ผ่านมาจริงไหม ในชีวิตคนต้องพบและเคยผ่านทั้งความสุขและความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นจริงไหม เสี้ยวหนึ่งของความสุขย่อมมีความทุกข์นั้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย
เสี้ยวหนึ่งของความทุกข์ย่อมมีความสุขอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย จะทุกข์ขนาดไหนในบางเวลาเราก็ยังสามารถยิ้มได้ใช่ไหม ชวิตของคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร แบบไหนก็ตามอย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งจะต้องเคยยิ้มอย่างมีความสุข แล้วชวิตของคุณยิ้มมากี่ครั้งแล้วละ หากมากกว่าหนึ่งครั้งก็ถือว่าชีวิตนี้เคยมีความสุขแล้วนะ |
|
|
|
|
 |
เพื่อนชีวิต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 เม.ย.2007, 9:45 pm |
  |
สิ่งที่ผ่านมาอย่าไปคิดถึงเลย ทำชีวิตในปัจจุบันให้มีคุณค่า เจริญทาน ศีล ภาวนา ให้ชีวิต ข้างหน้าสว่างไสวเถิด |
|
|
|
|
 |
เด็กกำพร้า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 พ.ค.2007, 5:45 pm |
  |
ดิฉัน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ท่านเสียตั้งแต่ยังเล็ก แต่ระลึกถึงท่านเป็นสรณะเสมอ ว่างจากการงานก็แอบหนีห่างพวกพ้องไปถือศีลเข้าวัด เพื่อบุญกุศลนี้ให้ท่านเป็นสุข พวกเพื่อน และที่ทำงานไม่รู้เรื่องเลยที่เรามักจะไปปฏิบัติธรรม
ถ้ามัวแต่นั่งทุกข์ เสียใจ ไงก็ไม่ช่วยให้พ่อแม่ได้บุญหรอก สู้ไปเอาบุญ แถมละตัวตน ลิเสลภายในใจของตนออกไป จะพบความสุขที่แท้จริง
ต้องกราบขอบพระคุณของพ่อแม่ยิ่งนัก ที่ทำให้เราเกิดมา ลูกคนนี้ไม่เคยกล่าวโทษบุญทำกรรมแต่งเลย ลูกคนนี้ กราบพ่อแม่ที่ทำให้ได้พบพระศาสนาที่ทำให้หลุดพ้น
ทั้งที่ตอนเด็กโดนสารพัด ก็ไม่เคยโกรธโทษอะไร รู้แต่ว่า ควรทำใจให้มีความดีสู้กะสิ่งที่จะต้องเผชิญให้ได้ก็แค่นั้น  |
|
|
|
|
 |
เจน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 8:26 am |
  |
|
|
 |
ฝนตก...
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 พ.ค.2007, 9:28 pm |
  |
ในที่สุด...ธรรมะเองก็สอนให้เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิใช่หรือ
บางครั้ง...บางเวลาเราอยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวบ้าง..แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน
ความทรงจำในอดีต...มักอยู่เป็นเพื่อนเราเสมอ รอยยิ้มและหยดน้ำตาก็เช่นกัน
ฝนเริ่มตกอีกแล้ว...... |
|
|
|
|
 |
amarita
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
05 พ.ค.2007, 9:41 pm |
  |
คุณวิภาดาถ้าผ่านไปแถวปากเกร็ด ลองแวะไปเยี่ยมเด็กๆ ที่บ้านเฟื่องฟ้า หรือที่บ้านนทภูมิ เด็กๆ ที่นั้นกำลังใจดีมากๆ แล้วเราจะรู้ว่าปัญหาของเรามันเล็กนิดเดียว
อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองก่อนนะคะ
สู้คะ |
|
_________________ ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว |
|
  |
 |
เด็กกำพร้า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2007, 5:42 pm |
  |
สามีไม่เคยเห็นพ่อ-แม่ ตั้งแต่เกิด เขาโดนญาติผู้ใหญ่เอาไปอยู่สถานสงเคราะห์ ทั้งที่ลุงเป็นระดับรัฐมนตรีขณะนั้น ยังไม่รับเลี้ยงเลย เขายังไม่เคยโกรธโทษพ่อ-แม่ และโชคชะตาที่มีชีวิตแบบนี้ มีเวลาว่างก็จะเข้าวัดปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันกัน เอาบุญให้พ่อ ให้แม่ ของเรากัน ว่างๆ ก็มักจะสนทนาธรรมกัน ชี้แนะกัน ลูกได้ยิน ได้ฟังพ่อแม่คุยกันตั้งแต่เล็กจนโต เขาก็เป็นเด็กดีไปด้วย
ดิฉันเอง ก็กำพร้ามาตั้งแต่เล็ก ดีที่ยังจำหน้าท่านได้
แต่สามีไม่มีสิทธิ์เลย ได้แต่รู้ชื่อพ่อ-แม่ ของตัวเอง ต้องอยู่ในสถานสงเคราะห์จนโต
สามีทำงานเจอปัญหา เกือบโดนออก เพราะโดนใส่ร้าย
บางครั้งโดนเพื่อนแกล้ง...ไปปล่อยยางบ้าง
หนักที่สุดคือ...โดนตัดเบรครถ ดีที่สามีช่างสังเกตุเลยเห็นก่อนครอบครัวจะประสบอุบัติเหตุ ก็ปล่อยวางไม่โกรธให้อภัยเขา ถือว่าโชคดีที่เราเห็นก่อน เลยระวัง เดี๋ยวเขาก็แพ้ภัยเอง ในไม่นานก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่แกล้งเขาโดนไล่ออกจากงานเลย
ถ้าคนเราหมั่นตั้งหน้า ตั้งตา ถือศีล เป็นนิจ ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ แล้วจะมองโลกในแง่ดีหมดแหล่ะน่ะ จะให้อภัยคนอื่นเป็นกิจวัตร และช่วยเหลือคนอื่นโดนไม่หวังผล จะคิดดี แม้เจออุปสรรคต่างๆ |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |