ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:19 pm |
  |
วันปีใหม่ ควรที่จะพากันตื่นขึ้นจากความชั่ว
ทำความดีเสียจะเป็นการดีกว่า หรือพากันทำความสงบ
อบรมจิตใจให้เป็นไปเพื่อความเยือกเย็นเป็นสุข
ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตน และแก่ผู้อื่น ตลอดถึงประเทศชาติ
คิดอันใดมันเป็นประโยชน์ตนและคนอื่น เป็นของดี
ถ้าหากเป็นเครื่องเบียดเบียนตนและคนอื่น
ทำให้ตนและคนอื่นเสียหาย อันนั้นเป็นของไม่ดี
นี่แหละเป็นเครื่องวัด
 |
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 06 มี.ค.2007, 3:22 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง |
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:23 pm |
  |
ศีลห้า]เป็นรากฐานของการกระทำต่างๆ ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว
กรรมดีต้องเว้นจากโทษห้านี้
ข้ออื่นๆ เป็นเรื่องปลีกย่อยออกไปจากศีลห้าทั้งนั้น
เมื่อไม่มีศีลห้าข้อนี้กำกับอยู่กับใจแล้ว
ความชั่วนอกนั้นทั้งหมดจะหลั่งเข้ามาครองใจ
ความดีทั้งปวงไม่สามารถจะทำให้เกิดมีขึ้นมาได้
ถึงทำให้เกิดมีขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้นาน
ไม่ต้องพูดถึงสมาธิ สมาบัติ ปัญญาหรอก
เครื่องกลั่นกรองของธรรม เพื่อให้ใสสะอาดจากโลกนั้น
นอกเหนือไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วไม่มี
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:27 pm |
  |
ศีลห้าข้อนี้อยู่มีอยู่ในบุคคลใด ในหมู่มนุษย์ชุมชนใด หรือประเทศบ้านเมืองใด ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าเป็นศีลห้า แต่เขาปฏิบัติตามก็ได้ชื่อว่าเขามีศีลอยู่แล้ว และจะยังเขาเหล่านั้นให้อยู่เป็นสุขตามอัตภาพของตน
เรารักษาศีลเพื่อความบริสุทธิ์สะอาดของกาย วาจา และใจ
รักษาได้นานเท่าไร มากเท่าไร ยิ่งสะอาดมาเท่านั้น
รักษาจนตลอดชีวิตได้ยิ่งดีใหญ่
เราจะได้ละความชั่วได้ในชาตินี้ไปเสียที
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:28 pm |
  |
บางคนรู้อยู่ว่าการกระทำเช่นนั้นผิดจากศีล แล้วไม่ยอมละการกระทำชั่วนั้นหรือละได้แล้วเป็นครั้งคราวแล้วกลับทำอีก
เช่น การดื่มเหล้า ก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าผิดศีลข้อห้า
เมื่อถึงเวลาพระเข้าพรรษาก็เข้าบ้าง
พอออกพรรษาแล้วยิ่งดื่มหนักกว่าเก่า
คล้ายๆ กับว่าดื่มเหล้าบาปแต่ในฤดูเข้าพรรษา ออกพรรษาแล้วไม่บาป เลยดื่มทดแทนในพรรษาเสียให้คุ้ม
อย่างนี้เรียกว่าเครื่องกรองขาด ใช้ไม่ได้
ศาสนาตั้งต้นที่กายกับใจ เทวดา อินทร์ พรหม
ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ เพราะว่าเหตุมันสุขเกินไป
|
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:30 pm |
  |
หากว่าเราได้ทำผิดแล้ว ทีหลังรู้ตัว ไปพูดความจริงขอโทษเขาแล้ว ก็กลับจะเป็นความดียิ่งกว่าเก่าอีกด้วยซ้ำ เพราะเห็นใจซึ่งกันและกัน บาปในทางพุทธศาสนาต้องล้างด้วยวิธีนี้.. จึงจะเป็นอันว่าล้างแท้ หากว่าคนนั้นเขาไม่ยอมรับหรือไม่ยอมให้อภัย ก็หมายความว่ายังล้างไม่หมด ถ้าหากเขายอมรับอภัยกลับดีกันได้ นั้นแหละเรียกว่าล้างบาปอย่างแท้จริง
ความชั่วความดีไม่ใช่อยู่ที่ปลายลิ้นตน
แต่อยู่ที่เจตนาเป็นใหญ่ เห็นด้วยใจของตนเอง
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:31 pm |
  |
เราเกิดขึ้นมาในโลก ได้ชื่อว่าเป็นหนี้สินของโลก
ต้องพยายามทำคุณงามความดี ทำทาน รักษาศีล
ทำสมาธิภาวนาให้เจริญ
แล้วก็จะมีปัญญาเกิดความรู้ต่างๆ
ถ้าผู้มาระลึกถึงหนี้บุญคุณของโลกดังกล่าวมานี้แล้ว
คิดจะตอบหนี้บุญคุณของโลก ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี
การตอบแทนก็ไม่มีอะไรหรอก
เป็นแต่ผู้มาพิจารณาเห็นว่าเราเป็นหนี้บุญคุณของโลกอย่างไรบ้าง
แล้วมาพยายามใช้หนี้นั้นๆ ตามกำลังความสามารถของตนๆ ก็พอแล้ว ซึ่งเราจะใช้ให้หมดนั้นเป็นหมดไม่ได้แน่
เพราะบุญคุณของโลกมีมากหลาย
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:33 pm |
  |
เมื่อผู้เกิดมาในโลกนี้รู้จักคุณค่าของตน
แล้วทดแทนบุญคุณของโลก และบิดามารดาผู้ผลิตเราให้เกิดมา แม้ไม่มากมายอะไร เบื้องต้นเพียงแต่แสดงความเคารพ แลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์สุจริต เชื่อถ้อยฟังคำสอนที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดูดังได้อธิบายมาเบื้องต้นเท่านี้ โลกนี้มันก็เกิดสันติสุขแล้ว คือ จะต้องหมดหนี้สินซึ่งกันและกัน
ไม่ต้องทวงหนี้บุญคุณกันอีก
นั่นโลกเลยกลายเป็นธรรมไป
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าดีอักโขแล้ว
ขอให้รักษามนุษยธรรมไว้ก็แล้วกัน
ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ มันจะเลวลงไปกว่ามนุษย์นี้อีก
ไปเกิดเป็นสิงห์สาราสัตว์ แต่ละภพละชาติมันนานแสนนาน
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:35 pm |
  |
บิดามารดารักบุตรหลาน บุตรหลานรักบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย
สามีภรรยารักใคร่ชอบใจในกันและกัน
เรื่องเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณของสัตว์โลก ย่อมมีได้ทั่วไปแต่ยังไม่ได้จัดเข้าในเกณฑ์ของการกลั่นกรองธรรม
แต่ผู้ใดที่มีความรักใคร่ หรือเคารพนับถือในผู้มีพระคุณ หรือมีหิริ โอตตัปปะ อยู่ในใจ แล้วงดเว้นจากความชั่วบาปกรรมนั้นๆ
เพราะกลัวความดีของตนจะเสื่อมเสียไป
ผู้นั้นจัดได้ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวขึ้นสู่ชั้นความเจริญแล้ว
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:37 pm |
  |
อาการที่บิดามารดาทำกับบุตรธิดาดังกล่าวนี้ มันเป็นการเพิ่มหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยเจ้าหนี้มิได้ร้องขออะไรเลย
แต่เป็นที่น่าสงสารเจ้าหนี้ ซึ่งลูกหนี้มิได้รำลึกถึงคุณของเจ้าหนี้เลย ลงทุนทำงานบ้านงานเรือนให้ดูก็ไม่เอาใจใส่
หาหนังสือมาให้เรียนก็ไม่อ่าน
ส่งเข้าโรงเรียนก็หนีโรงเรียนไปหาคบเพื่อนเกเรเสีย พยายามลงทุนให้จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นท้าวเป็นนางขึ้นมา
ลูกหนี้บางคนเริ่มจะโกงเจ้าหนี้ขึ้นมาแล้วก็มี
พยายามอบรมให้ใช้ทุนที่ลงทุนไปแล้ว กลัวว่าจะเอาไปล่มจม
ยิ่งอบรมยิ่งแนะนำเท่าไร ลูกหนี้แทนที่จะคิดถึงบุญคุณเจ้าหนี้ว่าท่านหวังดี กลับเห็นไปว่าเจ้าหนี้หัวโบราณ ไม่ทันกาลสมัย สู้ตนไม่ได้
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:38 pm |
  |
ผู้กตัญญูรู้จักบุญคุณของผู้อื่นที่ทำประโยชน์ให้แก่ตน
จะเป็นให้กำเนิดเกิดมาเป็นคนก็ดี ให้วิชาความรู้และหาอาชีพให้แก่เรา จนเป็นหลักก็ดี แม้ที่สุดแต่ให้คำพูดด้วยวาจาในเวลาที่เราได้รับความเดือดร้อน
อันเป็นที่ระงับทุกข์ด้วยสุนทรวาทีก็ดี
เมื่อคิดจะทดแทนเพราะเป็นหนี้บุญคุณของท่านแล้ว
เบื้องต้นไม่มีอะไร ขอแต่ให้เราแสดงความเคารพเชื่อฟัง
แลพูดจาด้วยถ้อยคำซื่อสัตย์สุจริต
เชื่อถ้อยฟังคำที่ท่านสอนด้วยความเมตตาเอ็นดู เท่านี้ก็จะเป็นการตอบแทนหนี้สินบุญคุณของท่านเหล่านั้นได้อย่างมากทีเดียว
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:40 pm |
  |
เมื่อเรามาระลึกได้ว่า ตัวของเรานี้มีค่ามหาศาล
จะเป็นคน จะมีลูกมีเมีย จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี หรือเป็นเจ้าเป็นนาย
มีคนนับหน้าถือตาทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลกก็ดี
แม้จะเป็นพระเป็นสงฆ์ มีผู้คนกราบไหว้ทั่วฟ้าดินแดนก็ดี
ย่อมมาจากวัตถุของโลก มีบิดามารดาเป็นผู้ผลิตให้แล้ว
จึงไม่ควรนำเอาของมีค่าที่เราได้มาเป็นกรรมสิทธิ์นี้ไปใช้ในทางที่ไม่ควร
พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณทั้งหลาย
แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น
ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว
คนเราก็จะกลายเป็น เดรัจฉานไปหมด
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:41 pm |
  |
ไม่มีใครจะปฏิเสธได้สักคนเลยว่า
คนเราที่เกิดมานี้จะไม่เอาวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้
มาประกอบเป็นโครงสร้างตัวตนเป็นไม่มี (ธาตุทั้งสี่ นี้แหละคือธรรม)
แม้แต่สัตว์และพืชติณชาติที่เกิดอยู่บนแผ่นดินนี้ทั้งหมด
ก็ไม่พ้นเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบจึงจะเกิดแลงอกงามขึ้นได้
วัตถุของโลกนี้เป็นของกลาง มิใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ใครจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวไม่ได
ถึงจะถือเอาก็ไม่เป็นของตนได้แต่ผู้เดียว ใครมาเกิดก่อนเอาไปใช้ก่อน
และบริโภคชั่วระยะเวลาที่ยังดำรงอยู่นี้
เวลาแตกดับแล้วสละทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม
คนทีหลังเกิดมาก็จะต้องเอาของเขาทิ้งไว้นั้นมาประกอบเกิด และบริโภคต่อไป
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:43 pm |
  |
วัตถุทั้งหลายที่เราอาศัย เช่นร่างกายเป็นต้น
มันไม่ใช่ของเรา บอกไม่ได้ ห้ามไม่ฟัง
มันจะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตาย
เหตุนั้นอันนี้จึงจะต้องเป็นอนัตตา
ไม่มีสาระแก่นสารอะไร เรียกว่าอนัตตา
มนุษย์คนเราน ี้ เป็นสมบัติชิ้นเดียวอันล้ำค่าของโลกที่จะนำมาลงทุน
เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์ทั้งปวง อันมีอยู่ในโลกนี้และโลกหน้า ทั้งที่ดีแลที่เลว หากปราศจากมนุษย์คนนี้คนเดียวเสียแล้ว จะประกอบกิจใดๆ จะไม่มีผลเลย ต่างแต่ว่าถ้าลงทุนในทางที่ผิด ประกอบด้วยทุจริต จะให้ผลผลิตเป็นทุกข์
แต่หากลงทุนในทางที่ชอบ ประกอบด้วยสุจริตแล้วผลิตผลอันเป็นสุขก็จะตามมาเอง
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:44 pm |
  |
เกิดมาต้องเป็นทุกข์แน่ โยม
จะต่างกันก็ทุกข์มากทุกข์น้อยเท่านั้นแหละ
การทำบุญต้องส่งไปให้ชาติหน้าแน่ ของเราทำแล้วจะไปไหน
การทำบุญไม่ใช่หนทางพ้นจากทุกข์โดยตรง แต่เป็นทางทำทุกข์ให้น้อยลง
ภาวนานั้นซี เป็นทางนำทุกข์ให้หมดไป
เมื่อเราเข้าใจตามเป็นจริงแล้ว หากจะมีเหตุการณ์อะไรมากระทบ
ตามวิสัยของโลก ซึ่งเป็นของหวั่นไหวอยู่ตลอดกาลก็ดี
จิตของเราก็มิได้หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์นั้น เพราะสติควบคุมจิต
พิจารณาเห็นด้วยปัญญาแจ้งชัดอยู่
จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้อยู่ในโลกอันวุ่นวาย ด้วยความสันติสุข
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:46 pm |
  |
โลกกับธรรมต่างๆ ก็เดินเข้าหาจุดหมายอันเดียวกัน
คือ ความสุข แต่วิธีเดินมันผิดกันไปคนละทาง ฉะนั้น ผลมันจึงไม่เหมือนกัน
คือ โลกมีแต่จะเอาถ่ายเดียว คิดปรุงแต่งกอบโกยสะสมเอาๆ
หนักเข้าจนเป็นการเห็นแก่ตัว
อันเป็นเหตุทำความเดือนร้อนเป็นทุกข์แก่คนอื่นไปก็มี
แล้วก็ไม่มีเวลาอิ่มเวลาพอสักทีเสียด้วย
แม้อายุจะสักร้อยปีตายไป ความอิ่มความพอก็ยังไม่มีสิ้นสุด
ตายไปแล้วยังเป็นหนี้ของโลกอยู่เลย (คือความพร่องอยู่)
จึงเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนและคนอื่นด้วย
ชาวโลกทั้งหลายไม่ชอบทุกข์จึงไม่เห็นธรรม
"ทุกข์เป็นของควรกำหนด"
มิใช่ของควรทิ้ง ถึงจะทิ้ง ก็จะเอาไปทิ้งให้ใคร
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:47 pm |
  |
เรามีกรรมจึงต้องมาเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
ความเจ็บความตายป้องกันไม่ได้
แต่ที่ช่วยได้ก็คือ การระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาเป็นที่พึ่งอย่างแน่วแน่ ทำให้จิตพ้นเสียจากความเจ็บ ความตาย ด้วยการไม่ยึด
จิตมันไม่คิดถึงความเจ็บ ความตาย เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป
อันนั้นเป็นการระลึกถึงพระรัตนตรัย และระงับภัยอันตรายได้อย่างหนึ่ง
การระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ป้องกันภัยได้จริง
ไปอยู่ป่า ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ทุกข์แสนทุกข์ กลัวแสนกลัว
กลัวถึงที่สุดแล้ว มันเห็นธรรม
เพราะพึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตนเอง
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:49 pm |
  |
เราเกิดมาเป็นคน จะเป็นหญิงเป็นชาย รูปร่างจะสวยหรืองามหรือขี้เหร่อย่างไร
ก็อย่าพากันดีใจเสียใจเลย นั่นมันมิใช่ของเรา
มันเป็นของกลางของโลกดังกล่าวแล้ว
ขอแต่ให้มันครบครันใช้ได้ก็พอแล้ว
เหมือนกับธนบัตรรัฐบาล จะเก่าจะใหม่ขาดบ้างเล็กน้อย ราคาก็ยังเท่าเดิม เว้นแต่ขาดมากใช้ไม่ได้ก็เอาไปคืนรัฐบาล ท่านก็ยังรับเปลี่ยนให้ (คือตาย)
เราควรอดทนต่อเหตุการณ์ เมื่อมีจิตใจต่างกัน
มีกิริยาต่างกัน จึงควรอดอย่างยิ่ง
อย่าเอาแต่อารมณ์ของตน ควรคิดถึงอกเราอกเขาบ้าง
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:50 pm |
  |
สุขภาพทางกายเราบำรุงมามากแล้ว
แต่สุขภาพทางใจ คือ ความสงบของใจ ไม่มีการพักผ่อน
เมื่อไม่มีการพักผ่อนสุขภาพทางใจก็ไม่ดี ทำให้จิตใจหงุดหงิดวุ่นวาย เดือดร้อน
เพราะฉะนั้น เราควรพากันที่จะหาโอกาส หาเวลารักษาสุขภาพของใจ
คือ ให้ทำความสงบให้ได้ ไม่มากก็เล็กๆ น้อยๆ ได้ชั่วครู่หนึ่ง ขณะหนึ่งก็เอา
ทำใจให้ผ่องใสต้องใช้ปัญญานะซี
เหมือนกับเพชรนิลจินดาที่เขาเอามาแต่ดินเป็นของใสจริงๆ แต่มันมีเศร้าหมอง ต่อเมื่อไปเจียระไนเสียให้ละเอียดลงไป
มันจึงค่อยผ่องใสเต็มที่ ฉันใด
ใจก็อย่างนั้นเหมือนกัน
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:52 pm |
  |
ความเจ็บก็เช่นเดียวกัน เราจะพยายามรักษาสุขภาพอนามัยให้ดีที่สุด ก็รักษาได้เพียงเปลี่ยนหน้าความเจ็บเท่านั้น
เช่น เจ็บในเวลานั่ง เราจะต้องนอน
เจ็บเวลานอน เราจะต้องลุกเดิน
เจ็บในขณะเดิน เราจะต้องยืนหรือนั่ง
เปลี่ยนเจ็บอยู่อย่างนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือตลอดวันตาย
อาหารที่สัมผัสทางกาย กินอิ่มพอได้ แต่อาหารทางใจ (มโนสัญเจตนาหาร)
กินไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอสักที
 |
|
|
|
   |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:53 pm |
  |
ผู้ไม่เข้าใจในเหตุผลของความตาย
เมื่อถึงความตายจึงเป็นทุกข์ เพราะอาลัยในความตาย
แต่ผู้ตายกลับสบายแฮ เพราะไม่ต้องตายอีก
คนที่ตายไปแล้วเท่านั้น เป็นผีที่น่าเกลียด
แต่หาได้รู้ไม่ว่าตัวของเราก็เป็นผีสดศพหนึ่งดีๆ นี่เอง
นอกจากจะเป็นผีสดแล้ว ยังเป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่าง ๆ
มีหมู วัว เป็ด ไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุกๆ วัน
คนที่ตายแล้ว เขาไม่ได้เป็นป่าช้าของสัตว์อื่นอีกต่อไปแล้ว
 |
|
|
|
   |
 |
|