ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เจ๊เป็นตุ๊ด
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 60
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยสอง
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.พ.2007, 5:27 am |
  |
ผมฝึกกรรมฐาน เพื่อเอาใช้อ่านหนังสือ เพียงอย่างเดียว นักจิตวิทยาก็เคยทำการวิจัยไว้ว่า สมาธิช่วยเพิ่มพลังความคิด และยังช่วยให้ทักษะการอ่านดีมากขึ้น ไม่ทราบว่า กรรมฐาน เอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกไหม
เขาฝึกเพื่ออะไรกันบ้าง ครับ
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ |
|
_________________ ปัญญาอยู่ไหน ที่ไหนมีขายบ้าง |
|
  |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.พ.2007, 8:25 am |
  |
เป็นคำถามที่อยากรู้ด้วยคนหนึ่งเหมือนกัน ตอนนี้ฮิตกันเหลือเกิน บ้างก็ใช้คำว่า ปฏิบัติกรรมฐานบ้าง ปฏิบัติธรรมแบบนั้นบ้าง แบบนี้บ้าง ต่างกันไป แต่เท่าที่เห็นๆ ไปคนละทิศละทาง
แล้วแนวทางของพุทธะจริงๆ มันคือ อะไรกันแน่ ยังมีเหลืออยู่ในเมืองไทยมั้ย เพราะเห็นแต่อ้างกันว่า สายหลวงปู่นั้น หลวงตานี้ ไม่เห็นมีใครพูดกันเลยว่า สายพระพุทธเจ้า งงมากๆ แล้วตกลงกรรมฐานนี่สายใคร สายพระพุทธเจ้าเป็นยังไง
อยากฟังความเห็นลูกสาย/หัวหน้าสายจังเลย  |
|
|
|
|
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.พ.2007, 3:06 pm |
  |
|
|
 |
เจ๊เป็นตุ๊ด
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 60
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยสอง
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.พ.2007, 8:00 pm |
  |
กรรมฐาน สายพระพุทธเจ้า มีกี่สาย ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้แต่สายที่ปฏิบัติเพื่อให้เกิด ปัญญาทางพุทธ ( หรือปัญญาอนัตตา ) เท่าที่รู้ตอนนี้ ก็ได้แก่คำเทศของ ท่านพุทธทาสภิกขุ และ ท่านเว่ยหลาง ส่วนท่านอื่นจะมีอีกหรือเปล่านั้นไม่รู้ อาจเป็นด้วยว่าความรู้ยังไม่กว้างขวางพอ จึงยังไม่เคยศึกษา ธรรม จากอาจารย์ท่านอื่น เพิ่มเติม
ข้อความทั้งหมดไม่มีประสงสค์จะกล่าวคำ ลบหลู่ อาจารย์ท่านอื่น นะครับ ถ้าไม่ถูกใจกระไรกับข้อคิดเห็นก็ ขอความ อภัย เป็น ทาน แก่กระผมผู้ยังไม่แตกฉาน เรื่องธรรม ด้วยนะครับ |
|
_________________ ปัญญาอยู่ไหน ที่ไหนมีขายบ้าง |
|
  |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.พ.2007, 8:14 pm |
  |
ไม่มีเจตนาว่า เจ๊เป็นตุ๊ดหน่า
แค่ต้องการสื่อว่า เป็นคำถามที่ดี
เพราะเห็นว่า ตอนนี้เมืองไทยเรามักอ้างกันนักว่า สืบทอดตกทอดมา...จากนั่น จาก...นี่ ไม่ค่อยมีใครอ้างว่ามาจากพระพุทธเจ้าบ้างเลย จึงนึกสงสารพระพุทธเจ้าก็เท่านี้เอง |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2007, 1:16 am |
  |
จิตตภาวนา ๒ กรรมฐาน ๒
ในที่นี้เป็นสถานที่อบรมจิตตภาวนา หรืออบรมกรรมฐาน ทั้งสองคำนี้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน จิตตภาวนาแปลว่าการอบรมจิตให้ได้สมาธิ และได้ปัญญาในธรรม ส่วนกรรมฐานนั้นก็แปลว่าตั้งการงาน คือตั้งการปฏิบัติให้ได้สมาธิ ให้ได้ปัญญาเช่นเดียวกัน จึงแบ่งกรรมฐานเป็น ๒ ได้แก่สมถะกรรมฐาน ตั้งการงาน คือปฏิบัติทำจิตให้สงบด้วยวิธีปฏิบัติทางสมาธิ
คำว่าสมถะแปลว่าสงบ คำว่าสมาธิแปลว่าตั้งมั่นในทางที่ชอบ มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน สมาธิคือตั้งจิตในทางที่ชอบ ก็คือตั้งจิตไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน เพื่อสงบระงับนิวรณ์ จิตจึงสงบจากนิวรณ์ วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานคือทำให้ได้ปัญญาเห็นแจ้งรู้จริง ก็เป็นตัวปัญญาคือความรู้เข้าถึงธรรมนั้นเอง กรรมฐานจึงมี ๒ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
จิตตภาวนาก็มี ๒ เช่นเดียวกัน ก็คืออบรมจิตให้สงบตั้งมั่น ก็เป็นสมถะเป็นสมาธินั้นเอง อบรมจิตให้ได้ปัญญาเห็นแจ้งรู้จริงในธรรม ก็เป็นตัวปัญญานั้นเอง ปฏิบัติทำจิตตภาวนา หรือปฏิบัติทำกรรมฐานจึงเป็นอย่างเดียวกัน และบางทีก็มักจะชอบเรียกกันว่าทำวิปัสสนา บางทีก็ชอบเรียกกันว่าทำสมาธิ ก็ต้องปฏิบัติกันทั้งสองอย่างนั้นแหละ คือทั้งทำสมาธิและทำวิปัสสนา
คันถธุระ วิปัสสนาธุระ
แต่ว่าบางทีมักจะเรียกกันว่าทำวิปัสสนานั้น ก็โดยที่ได้มีแสดงธุระ
คือข้อที่จะพึงปฏิบัติไว้ ๒ อย่าง คือ คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ คันถธุระ ธุระคือการเรียนพระคัมภีร์ อันได้แก่การเล่าเรียนศึกษาพระพุทธศาสนา ดังที่มีการเล่าเรียนตามหลักสูตรของนักธรรมบาลี หรือแม้ว่าการมาฟังธรรมบรรยายนี้ ก็ชื่อว่าเป็นคันถธุระคือการเล่าเรียนพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน เพราะว่าการแสดงธรรมบรรยายก็แสดงไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เดิมผู้ฟังจำกันมา และต่อมาก็จารึกลงเป็นตัวอักษรในใบลานเป็นต้น ตลอดจนถึงมาพิมพ์เป็นเล่มหนังสือดังที่ได้ใช้อ่านเล่าเรียนกันอยู่ แต่แม้เช่นนั้นก็จะต้องมีอาจารย์เป็นผู้บรรยายแสดงอธิบายประกอบอีกด้วย การเล่าเรียนจึงใช้ตาใช้หู เดิมก็ใช้หูเป็นส่วนใหญ่ ในบัดนี้ก็ใช้ทั้งหูทั้งตา หูฟังตาอ่าน ก็เป็นคันถธุระ ธุระคือการเรียนพระคัมภีร์
สมาธิเป็นบาทของปัญญา
วิปัสสนาธุระนั้นก็คือการปฏิบัติทำจิตตภาวนา หรือทำกรรมฐานนั้นเอง ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายสมถะทั้งฝ่ายวิปัสสนา ทั้งฝ่ายสมาธิทั้งฝ่ายปัญญา แต่ว่ายกเอาวิปัสสนาเป็นประธาน เพราะว่า วิปัสสนาปัญญาเท่านั้นจึงจะกำจัดกิเลสได้เด็ดขาด เป็นเหตุละกิเลสได้เป็นอย่างดี ลำพังสมาธิหรือสมถะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาก็ยังละกิเลสไม่ได้เด็ดขาด แต่แม้เช่นนั้นจะได้ปัญญาก็จะต้องมีสมาธิเป็นบาท คือเป็นเท้าให้บรรลุถึงความสำเร็จ เหมือนอย่างที่คนจะไปไหนก็ต้องมีเท้าสำหรับที่จะเดินไปให้ถึง สมาธิก็เป็นบาทอันจะนำให้เกิดปัญญา และเมื่อเกิดปัญญาจึงจะเห็นธรรม ปัญญาที่เห็นธรรมนี้เองเป็นตัวปัญญาที่เป็นส่วนผล หรือเป็นตัวญาณคือความหยั่งรู้ อันเกิดมาจากการปฏิบัติทางวิปัสสนา โดยที่จะต้องมีสมาธิเป็นบาท
ฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยย่อจึงยกเอาแต่วิปัสสนาเพียงอย่างเดียว เรียกว่า วิปัสสนาธุระ ซึ่งก็จะต้องประกอบด้วย สมถะธุระ รวมอยู่ด้วย
อ่านต่อตามลิ้งค์ด้านล่าง
กรรมฐาน
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-021.htm |
|
|
|
   |
 |
wendy
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 06 ม.ค. 2007
ตอบ: 5
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.พ.2007, 10:34 pm |
  |
เราฝึกแบบพองหนอยุบหนอ ตามวัดอัมพวันจ๊ะ แต่จะสายไหนสุดท้ายก็อยู่ใต้คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทุกสายแหล่ะค่ะ แล้วแต่การฝึกแบบไหนจะถูกกับนิสัยของใครจ๊ะ แต่เราฝึกมา ตั้งแต่ปี37 แบบเกเร คือไม่ทุกวัน แต่ก็ทำให้เราใจเย็นมากขึ้น มีสติมากขึ้น จากที่เคยแก้ปัญหาบางเรื่องไม่ออก กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ทำให้มุมมองในชีวิตกว้างขึ้นมากขึ้น และที่สำคัญทำให้เราการดำเนินชีวิตดีขึ้น และขอบอกไม่คิดที่จะทิ้งการทำกรรมฐานอย่างแน่นอน ถึงจะเกเรเป็นบางวัน แต่ใจก็ยังรักกรรมฐาน ถ้าไม่ได้สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน แต่เวลาทำงานก็จะกำหนดพองหนอ ยุบหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เวลาเดินในที่ทำงาน หรือนั่งทำงานอยู่จ๊ะ  |
|
_________________ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ |
|
  |
 |
สมพร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มี.ค.2007, 9:21 am |
  |
การฝึกกรรมฐานควรตั้งใจทำเพื่อให้ได้พระนิพพานครับ บางท่านอาจจะคิดว่าสูงเกินไป แต่ก็ควรตั้งใจไว้แบบนั้น ถ้าเรายังทำไม่ถึง ชาตินี้ ต่อไปเราก็ทำต่อไป สักวันคงถึงเองครับ |
|
|
|
|
 |
|