Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข...พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 06 ม.ค. 2007, 5:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข

ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอก
แล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น
ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย

พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย
ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ
ทั้งความสุขภายนอกภายใน
ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน
ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ
ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ
ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา
ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส

ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่ง
คือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น
ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมา
มีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มากมาย
ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์
นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้
ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา
คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างใน
แล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ
สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้
จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม
ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม

ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ
นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน
เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลา
ด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์
จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้
ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง
ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น

สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์
มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย
ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไรๆ
ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจ
ที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี
เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น
สัตว์มันเครียดไม่เป็น
เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์

มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดาร
ปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย
สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้
แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี
มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก
แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้
ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข
มีอะไรมากระทบตากระทบหู
ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต
เวลาอยู่ว่างๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์
เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ
ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล
มีความโกรธเคียดแค้นต่างๆ
ทำให้มีความทุกข์มากมาย
แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทาง
จึงเป็นโทษแก่ตนเอง
ทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก
เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล

ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข

ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย
อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่างๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง
แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข
ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน
ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์
แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้

ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกัน
ตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์
เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ
ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
ขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ
อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร
ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา
ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน
คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ
ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง

บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น
บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง
บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด
นี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ
เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไร
ก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา

ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ
เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา
เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย
เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน
เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา
วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง
อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลกๆ
ในวันหนึ่งๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย
คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้
เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น
เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้
อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่า
นี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้
เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา
ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ
แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

http://www.dharmastation.org/blogMsg.php?BgrID=127

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง