Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พี่เล่าให้น้องฟัง ตอนที่ 2 อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ขยับกายสลายอัตตา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ธ.ค.2006, 11:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พี่เล่าให้น้องฟัง ตอนที่ 2

ขยับกายสลายอัตตา

สวัสดีน้องรัก

แม้การเล่าเรื่องสั้น ๆ ให้น้องฟังนี้ จะทำให้พี่ต้องเค้นความคิดนึกปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ออกมาตามกำลังแห่งสัญญาบ้าง พี่ก็เต็มใจที่จะทำ ลองนึกดูเล่น ๆ นะ ถ้าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วไม่สอน เราจะมีวันนี้ไหม หากสาวกของพระองค์ไม่แสดงธรรมอันงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เราจะรู้จักท่านเหล่านั้นได้อย่างไร ท่านทั้งหลายที่พี่กล่าวถึงนั้นย่อมต้องอาศัยสัญญานั้นแลมายังประโยชน์ให้กับชนหมู่มาก ด้วยจิตอนุเคราะห์เป็นปกติ ดังนั้นขอน้องจงอย่าสงสัยในคุณความดีของท่านเหล่านั้น แต่ขอให้สดัปตรับฟังธรรมที่ท่านแสดงแล้วน้อมจิตไปตามนั้นเถิด

วันนี้พี่ก็ไปทำบุญที่วัดตามปกติเหมือนทุกวัน อารมณ์หนึ่งทำให้นึกถึงพี่หมอทั้งสองคนที่พี่เคยสนทนาธรรมกับท่าน เวลาเราสนทนากันแม้ทางโทรศัพท์ พี่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งความเรียบง่าย ความเบาละเอียด ประณีต สุภาพ อ่อนโยนนั้นเป็นช่วง ๆ พี่บอกพี่หมอว่าพี่สัมผัสถึงพลังงานนั้น พี่หมอได้กรุณาเล่าถึงวิธีการให้ฟังว่า ท่านใช้วิธีการเปลี่ยนอิริยาบถ เมื่อเวลาที่จิตคิดนึกปรุงแต่งไม่เป็นกลางต่อสภาวะ ท่านบอกว่า คนเราปกติจะรับรู้สภาวะได้ทีละสภาวะ ทีละอารมณ์ ขอยกตัวอย่างพอให้น้องเข้าใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากพี่เชื่อว่าน้องก็เป็นผู้ปฏิบัติที่มีความเข้าใจได้ดีในระดับนึงแล้ว เหมือนเวลาที่เราไปทานข้าวในร้านที่เค้าเปิดเพลงให้เราฟังด้วยนั่นแหละ ถ้าน้องสังเกตตัวเองให้ดี ๆ น้องจะเห็นว่า ขณะที่น้องรับรู้ในรสอาหารว่า หวาน เค็ม อย่างไร น้องจะไม่สามารถรับรู้เสียงเพลงที่กำลังดังนั้นได้ ยามใดที่น้องเผลอไปคิดถึงเพลงที่เข้ามากระทบโสตประสาท ฟังแล้วชอบใจ ไม่ชอบใจ ยามนั้นน้องก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงรสอาหารได้เช่นกัน น้องคงพอมองออกแล้วใช่มั๊ย พี่เล่าต่อนะ

พี่หมอได้กรุณาอธิบายให้พี่ฟังต่อว่า ในวิถีแห่งการเกิดขึ้นของขันธ์ 5 หนึ่งรอบนั้นจะรับรู้ได้หนึ่งอารมณ์ การที่เรากำหนดไม่ทันกับสิ่งที่มากระทบทำให้สัญญาเกิด สังขารเกิดแล้ว นั้นเองขันธ์ 5 จึงเกิดขึ้นแบบนี้ เกิดแล้วก็ดับ แต่คนเราไม่ได้รับผัสสะแค่ครั้งเดียว มันมีการรับผัสสะตลอดเวลา อารมณ์ที่สอง สาม สี่ ... ถัดมาเรื่อย ๆ ไป มันเกิดแล้วดับอย่างนี้แบบต่อเนื่องเป็นวงรอบในทุก ๆ อารมณ์ แต่ที่เรารู้สึกเหมือนว่าเรามีอารมณ์เดียวนาน ๆ นั้น จริง ๆ เกิดจากผัสสะที่มีลักษณะเดียวกัน น้อมนำให้เวทนา และสัญญาที่มีลักษณะเดียวกันเกิดตามได้ง่าย จึงทำให้เห็นยาวขึ้น ทรงอารมณ์นั้นได้นานขึ้น หรือด้วยอำนาจแห่งสังขารคือความปรุงแต่ง ทำให้เราเผลอเพลินอยู่ในความปรุงแต่งนั้น จนลืมที่จะรับรู้ว่ามีผัสสะมากระทบทางอายตนะทั้ง 6 ของเรา ทำให้มองไม่เห็นความเกิดดับตามความเป็นจริง อันนี้พี่เป็นบ่อย นั่นคือเราขาดสติไปแล้วในเวลานั้น ท่านเล่าต่อว่า ดังนั้นเวลาท่านเผลอ แล้วระลึกได้ ท่านจะใช้วิธีที่เรียกว่า การขยับกายเพื่อสลายอัตตา คือความยึดถือในขันธ์ 5 ความปรุงแต่งนั้น โดยการเคาะ หรือให้จังหวะเบา ๆ เพื่อให้จิตไปเกาะกับอารมณ์ที่เกิดจากผัสสะที่สร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อจิตซึ่งรับได้ทีละอารมณ์มารับรู้อาการที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว กระแส วงรอบแห่งขันธ์ 5 เดิมนั้นก็จะเป็นอันดับไป เกิดขันธ์ 5 วงจรใหม่ขึ้นมาแทนอย่างมีสติระลึกรู้อยู่ ยกตัวอย่างเช่น เวลาเผลอโกรธ เมื่อระลึกได้ก็สร้างจังหวะด้วยการขยับกายเล็ก ๆ น้อย เช่น กระพริบตา หรือกระดิกนิ้ว เราจะเห็นอาการเช่นความโกรธที่ค่อย ๆ จางคลายไปทีละน้อยจนหมดไป และโดยปกติของบุคคลผู้ปฏิบัติมาดีแล้วเมื่อขณะที่มีสติไม่เผลอนั้นย่อมเสวยอารมณ์โสมนัสเวทนา และอุเบกขาเวทนาตามลำดับเป็นปกติ ทำให้พี่สามารถสัมผัสถึงพลังงานอันเรียบง่ายนั้นได้เสมอ อาการสัมผัสแบบนี้เกิดขึ้นกะพี่หมอที่พี่คุยด้วยทั้ง 2 คนเลยจ้ะ การคุยนี้ก็ไม่ได้คุยในวันเดียวกันนะ

พี่สนทนากะพี่หมอทั้ง 2 ท่าน เรามีอารมณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก คือ เราเปลี่ยนไป มีปกติใหม่คือ ทุกข์กายแต่ไม่ทุกข์ใจ มีความเปลี่ยนแปลงที่คนรอบข้าง คนในบ้านเห็นได้ชัด บ้านที่อยู่อาศัยที่เคยมีเรื่องระหองระแหงก็กลับไม่มี กลับมีความสงบสุขดี ทั้งนี้เพราะเราใจเย็นลงมาก เราเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น พี่มาคิดดูพี่เป็นอย่างนั้นเพราะ เราได้ลาขาดจากการเป็นคนเห็นแก่ตัวไปแล้วนั่นเอง เรามีพรหมวิหารประจำใจเป็นปกติ เมื่อเราพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับสภาวธรรม เราจะสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ไม่ยากเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมึนหน้าดู ถ้าคุยกันนานเป็นชั่วโมงแบบนี้ พี่แอบเห็นจิตของพี่หมอทั้งสองคนที่พี่คุยด้วย ท่านมีจิตที่ใสเป็นแก้วเลยล่ะ และท่านสามารถปิดไม่ให้พี่เห็นก็ได้ด้วย พี่บอกพี่หมอว่า ผมเห็นดวงจิตของพี่เป็นแก้วใส และมีแสงด้วย ท่านบอกว่า แสงนั้นไม่ใช่นะ นั่นเป็นสมาธิ พลังสมาธิจะเปล่งออกมาเป็นแสงสว่าง ท่านให้พี่ลองกระพริบตาดูใหม่ ซึ่งพี่ก็ลองทำ ปรากฏว่าพี่เห็นเป็นแค่ดวงแก้วใส ๆ ธรรมดาที่ไม่มีแสง ท่านก็บอกว่า ที่จริงต้องเป็นแบบนี้ นี่คือความที่จิตไม่เกาะติตอะไร มันมีสภาพเป็นสุญญากาศ ว่าง ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราทั้งหมดเป็นผู้ทำได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว เป็นเพียงแค่ชั่วขณะเดียวที่มีสติระลึกรู้อยู่ แต่เรามีความเข้าใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิว่า กายและใจนี้ไม่ใช่เราต่างหากจ้ะ

เมื่อจิตแว็บไปนึกถึงเรื่องการขยับกายสลายอัตตา แว็บเดียว พอพี่ระลึกได้ พี่จึงลองทำตามที่พี่หมอสอนดู ก็เห็นจริงตามนั้น นี้เป็นวิธีการหลบกิเลสที่ยังละไม่ได้วิธีหนึ่ง เป็นการช่วยผ่อนเบา ไม่ให้เจ้ากิเลสตัวการทำอันตรายเราได้ ดีนะ จิตจะเข้าสู่สภาวะปกติคือมีความเบาสบายและมีอุเบกขาตามมาทันที พี่ขับรถมาถึงวัด เอาข้าวที่หุงมาหม้อนึงไปถวายพระที่นั่งพิจารณาอาหารที่จะขบฉันอยู่นั้น ท่านตักอาหารใส่บาตรตามความสมควรของท่าน ญาติโยมมากันเยอะ มีญาติโยมที่มาจากกรุงเทพฯด้วยส่วนหนึ่ง พวกดาราก็มีมาด้วยนะเนี่ย มาพักค้างปฏิบัติธรรม วัดนี้น่ะพี่ชอบใจตรงที่ พอเราถวายอาหารเสร็จหลวงพ่อจะสอนธรรมะให้ญาติโยมฟัง และให้พากันนั่งสมาธิสักครู่ ท่านจะสอนให้กำหนดทำกัมมัฏฐาน ดีมาก ท่านสอนเรื่องของการรู้เกิดรู้ดับ รู้จักแยกรูปแยกนามให้ได้ รู้จักขันธ์ 5 วันนี้ท่านได้สอนพอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ว่า กิเลสตัวใดที่เรายังละไม่ได้ ก็เรารู้จักข่มมันไว้ก่อน ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือเรา ประมาณนี้แหละจ้ะ พี่แอบกำหนดตามกระแสเสียงของหลวงพ่อ เห็นดวงจิตหลวงพ่อสว่างดุจดังพระอาทิตย์เลย ดวงจิตใหญ่เบ้อเร่อเลยน้อง เหมือนพระอาทิตย์แต่แสงนวลตาดีนะ พี่ก็ยังงี้แหละถึงถูกคนดุเอาว่ามัวแต่แวะ ก็จริตมันเป็นอย่างงี้อ่ะจะให้ทำไงได้ มันเหมือนกะเราเดินผ่านบ้านคนนั่นแหละ พอมีคนเดินสวนมาใกล้ ๆ ก็อดมองไม่ได้ ถ้าเค้าไม่เข้ามากระทบเรา เราก็ไม่ได้สนใจอะไรนี่นา เราจะกลัวไปทำไมว่าจะหลง ก็คิดไปตามเรื่องน่ะ ฟุ้งอีกแล้ว เฮ้อ !

ขากลับขับรถกลับมาบ้านไปส่งน้องคนนึงด้วย กลับมาบ้านนึกถึงคำที่หลวงพ่อสอนวันนี้ กะความคิดถึงพี่หมอเมื่อเช้านี้ มันช่างพอดีกันจริงๆ นะ พี่หมอบอกวิธีขยับกายสลายอัตตา ตัวนี้ช่วยหลีกกิเลสที่มันแรง ๆ ไปก่อน เอาตัวรอดชั่วคราว กับที่หลวงพ่อบอกว่า ให้รู้จักข่มไว้ก่อน ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือเรา มันช่างเหมาะเจาะกันเสียนี่กระไร รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นี่แลที่เค้าบอกว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เห็นจะจริงดังนี้ละมัง ทำให้ฟุ้งหนักกว่าเก่าว่า เมื่อคืนนี้แอบอธิษฐานจิตกำหนดเห็นหลวงพ่อแล้วพูดลงไปว่า ขอหลวงพ่อเมตตาสอนธรรมลูกด้วยเถิด ลูกขอฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกะหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อเมตตาลูกด้วยเถิด เอ้อ ! หรือท่านจะทราบด้วยวาระจิตของท่านก็ไม่รู้

สรุปว่า การขยับกายสลายอัตตา หรือความปรุงแต่งเนี่ยมันใช้ได้นะ แต่ไม่แน่ใจว่าน้องจะทำได้มั๊ยนะ แต่พี่ว่าได้ เพราะธรรมชาติของจิตมันก็เป็นของมันแบบนี้อยู่แล้ว แค่เปลี่ยนอารมณ์ให้มันเฉย ๆ มันน่าจะไม่ต่างกันมากนัก ลองไปทำดูก็ได้ ได้ผลยังไงก็ลองเล่า ๆให้ฟังบ้างนะจ๊ะ

ห่วงน้องเสมอ

พี่เทพ
 
จำมาเล่า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ธ.ค.2006, 1:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านตั้งแต่ไม่ได้โพสตอน 1 ตอน 2 มาแล้ว พี่อ่านของคนอื่น แล้วพี่ก็จำมาโพสเป็นของพี่เอง แล้วพี่ก็เอามาต่อๆ ว่าเป็นของพี่ ตกลงพี่ก็ยังเดา คิด นึก อยู่ ตอน 2 แล้ว พี่ขยับบ้างยัง อ่านแล้วมันฉับฉน ทั้งคนเล่า คนจำมาเลย อ่านแล้วมันเลยทะแม่งๆ ตกลงขยับกันยังไงนะเนี่ย

จาก

น้องเดา นามสกุลคิดนึก
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง