Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เข้าอบรมกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กรกต
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 14 ธ.ค.2006, 4:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
เข้าอบรมกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต



พอออกพรรษาที่ 3 ได้เพียง 5 วัน ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารก็มารับข้าพเจ้านำไปฝากให้อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาอบรมอยู่กับท่าน ได้ฟังโอวาทของท่านตลอดฤดูแล้ง จนการทั่งถึงเวลาเข้าพรรษาของปีใหม่ และได้อธิฐานพรรษาอยู่กับท่านจนตลอดพรรษาที่ 4 โอวาทส่วนใหญ่ ล้วนแต่แนะนำให้ประพฤติปฏิบัติทางวินัยและธุดงค์ให้เคร่งครัด

การภาวนาท่านก็ให้พิจารณากายเป็นส่วนใหญ่ คือ กายคตานุสติ ให้มีสติน้อมเข้ามาพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ถูกกับจริตนิสัยของตน หรือถ้าหากจิตมันไม่สงบมีความฟุ้งซ่าน ท่านก็ให้น้อมนึกด้วยความมีสติระลึกคำบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ-พุทโธ เมื่อสงบแล้ว ท่านก็ให้พักพุทโธไว้ให้อยู่ด้วยความสงบ แต่ก็ต้องให้มีสติ ทำให้ชำนิชำนาญ เมื่อชำนาญด้วยการบริกรรม หรือชำนาญด้วยความสงบแล้ว ท่านให้มีสติ น้อมเข้ามาพิจารณาส่วนใด ส่วนหนึ่งที่ถูกจริตนิสัยของตนด้วยความมีสติ เมื่อพิจารณาพอสมควรแล้วก็ให้สงบ เมื่อสงบพอสมควรแล้ว ก็ให้พิจารณาด้วยความมีสติทุกระยะ มิให้พลั้งเผลอ เมื่อจิตมันรวมก็ให้มีสติระลึกรู้ว่า จิตของเรารวมอยู่เฉพาะจิต หรืออิงอามิส คืออิงกรรมฐาน หรืออิงอารมณ์อันใดอันหนึ่งก็ให้มีสติรู้ และอย่าบังคับจิตให้รวม เป็นแต่ให้มีสติรู้อยู่ว่า จิตรวม เมื่อจิตรวมอยู่ก็ให้มีสติรู้ และอย่าถอนจิตที่รวมอยู่ ให้จิตถอนเอง

พอจิตถอน ให้มีสติน้อมเข้ามาพิจารณากายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ตนเคยพิจารณาที่ถูกกับจริตนิสัยของตนนั้นๆ อยู่เรื่อยไปด้วยความมีสติมิให้พลั้งเผลอ ส่วนนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นนิมิตแสดงภาพภายนอกก็ตาม หรือเป็นนิมิตภายในซึ่งเป็นธรรมะผุดขึ้น ก็ให้น้อมเข้ามาเป็นอุบายของกรรมฐาน ของวิปัสสนา คือ น้อมเข้ามาให้สู่ไตรลักษณ์ ให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งหมดคือให้เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงก็ย่อมมีความดับเป็นธรรมดา...ดังนี้ ด้วยความมีสติอยู่เสมอๆ อย่าพลังเผลอหรือเพลิดเพลินลุ่มหลงไปตามนิมิตภายนอกที่แสดงภาพมา หรือนิมิตภายในที่ปรากฏผุดขึ้น เป็นอุบายเป็นธรรมะก็ดีอย่าเพลิดเพลินไปตาม แล้วให้มีสติน้อมเข้ามาพิจารณากายให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม เป็นอนัตตา มิใช่ตน มิใช่ของตน มิใช่ของแห่งตน ด้วยความมีสติอยู่อย่างนั้น เมื่อพิจารณาพอสมควรแล้วก็ให้พักสงบ เมื่อสงบพอสมควรแล้ว ก็ให้พิจารณาด้วยความมีสติ อยู่อย่างนี้

นี้เป็นโอวาทคำสอนของพระอาจารย์มั่น โดยมากท่านแนะนำโดยวิธีนี้ แล้วข้าพเจ้าก็ตั้งอก ตั้งใจทำความพากความเพียรไปตามคำแนะนะของท่าน การอยู่ใกล้ผู้ใหญ่ ทำให้มีสติระมัดระวังตัว ไม่กล้าพลั้งเผลอ โดยเฉพาะการอยู่ใกล้ผู้ใหญ่อย่างท่านพระอาจารย์มั่น อันที่จริงสมควรจะเล่าถึงความขายหน้าของพระผู้น้อยผู้หนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์ ณ ที่นี้ด้วย จะได้ทำให้เข้าใจได้ง่ายเข้าว่า พระที่เข้ารับการอบรมกับท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นนั้น ควรจะต้องยิ่งสำรวมกาย สำรวมใจ ตั้งสติระมัดระวังมิให้พลั้งเผลอเพิ่มขึ้น เมื่อพระน้อยองค์นั้นไปอยู่วัดป่าหนองผือใหม่ๆ ใจก็อดคิดตามประสาปุถุชนไม่ได้ว่า เขาเล่าลือกันว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่ของเราเป็นพระอรหันต์ เราก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ ถ้าเป็นอรหันต์จริง คืนนี้ก็ให้มีปาฏิหาริย์ให้ปรากฏด้วย ในคืนวันนั้นเอง พอพระน้อยผู้นั้นภาวนา ก็ปรากฏนิมิตเห็นท่านพระอาจารย์ใหญ่ เดินจงกรมอยู่บนอากาศและแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และเวลานอนหลับก็ยังฝันเห็นท่านเดินอยู่บนอากาศเช่นเดียวกัน พระน้อยผู้นั้นจึงยกมือไหว้ท่านและว่าเชื่อแล้ว...!

อย่างไรก็ดี หลังจากวันนั้น พระน้อยก็เกิดคิดขึ้นมาอย่างคนโง่อีกว่า เอ...เขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคนจริงไหมหนอ...? เราจะทดลองดู ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตเรา ขอให้ท่านอาจารย์ใหญ่มาหาเราที่กุฏิคืนวันนี้เถอะ พอคิดไปประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะใกล้เข้ามา และกระแทกเปรี้ยงเข้าที่ฝากุฏิของพระน้อยองค์นั้น พร้อมกับเสียงของท่านเอ็ดลั่นว่า “ท่าน...ทำไมจึงไปคิดอย่างนั้น นั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ รำคาญเรานี่ !”

คืนนั้น แม้จะตัวสั่น กลัวแสนกลัวแต่ต่อมาพระน้อยองค์นั้นก็ยังดื้อไม่หาย คืนหลังก็เกิดความคิดขึ้นอีก “ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้รู้วาระจิตของเรา เราบิณฑบาตได้อาหารมา ขอให้ท่านรอเราทุกวันๆ ขออย่างเพิ่งฉันจนกว่าเราจะหย่อนบาตรท่านก่อน”

เป็นธรรมดาที่พระทั้งหลาย พอบิณฑบาตได้ก็จะเลือกสรรอาหารอย่างเลิศอย่างดีที่สุดที่บิณฑบาตได้มา สำหรับไปใส่บาตรพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพ วันนั้นพระน้อยหัวดื้อ องค์นั้นก็พยายามประวิงเวลากว่าจะนำอาหารไปใส่บาตรท่าน ก็ออกจะล่าช้ากว่าเคยจนกระทั่งหมู่เพื่อนใส่บาตรกันหมดแล้ว จึงค่อยๆ ไปใส่บาตรต่อภายหลัง ท่านอาจารย์ใหญ่ก็มักจะมีเหตุช้าไปด้วย จนพระน้อยองค์นั้นหย่อนบาตรแล้ว ท่านจึงเริ่มฉัน เป็นเช่นนี้หลายวันอยู่ และพระน้อยองค์นั้นก็ชักจะได้ใจ มักอ้อยอิ่งอยู่ทุกวัน

จนเช้าวันหนึ่งท่านคงเหลืออดเหลือทนเต็มที ท่านจึงออกปาก “ท่านจวน อย่าทำอย่างนั้น ผมรำคาญ ! ให้ผมรอทุกวันๆ ทีนี้ผมไม่รออีกแล้วนะ !!” เล่ามาแค่นี้ คงจะทราบแล้วว่าพระน้อยหัวดื้อผู้นั้นคือใคร...!!!

ในพรรษาที่อยู่ร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น คืนหนึ่งข้าพเจ้าตั้งใจภาวนาทำความเพียรอย่างเต็มที่ตั้งแต่ปฐมยามคือยามค่ำเป็นต้นไป หลังจากสวดมนต์แล้ว ก็เข้าที่นั่งในกลด อธิษฐานนั่งในกลดตั้งใจจะภาวนาไม่นอนปรากฏในใจเป็นตัวอักขระบาลีอย่างชัดแจ้งว่า “ปททฺทา ปททฺโท” ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตแปลอยู่ 3 ครั้ง จึงแปลได้ว่า “อย่าท้อถอย ไปในทางอื่น” แล้วปรากฏว่า กายของตนไหวไปเลย จากนั้นจิตก็รวมลงสู่ภวังค์ ถึงจิตเดิมทีเดียว ความจริงขณะนั้น ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าจิตสู่ภวังค์และจิตเดิมเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อจิตรวมลง ใสบริสุทธิ์หมดจด หาสิ่งที่เปรียบได้ยาก และแสนที่จะสบายมากที่สุด เพราะจิตชนิดนั้นเป็นจิตที่ปราศจากอารมณ์ อยู่เฉพาะจิตล้วนๆ ไม่มีอะไรเจือ จิตรวมอยู่อย่างนั้นตลอดคืนยันรุ่ง จนรุ่งเช้า จิตจึงถอนออก รู้สึกเบิกบานทั้งกายและใจ มีความปีติเหมือนกับคนลอยอู่ในอากาศ เวลาเดินไปเดินมา ก็รู้สึกเบากาย เบาใจที่สุด ในระยะที่จิตรวมลงไปพักอยู่เฉพาะจิตไม่มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดเจือปนนั้นเป็นจิตที่ใสบริสุทธิ์ วางเวทนา ความเจ็บปวดรวดร้าวไม่มีปรากฏแก่จิตเลย คือจิตแยกออกจากธาตุไม่เจือปนธาตุ อยู่เฉพาะจิตล้วนๆ จึงไม่มีเวทนา จิตรวมอยู่ตลอดทั้งคืนจนสว่างจึงถอนพอดี ได้เวลาทำกิจวัตรในตอนเช้า จัดเสนาสนะเตรียมเรื่องการบิณฑบาต แม้จิตจะถอนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกเบากาย เบาใจ ปลอดโปร่งโล่งสบาย ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม ข้าพเจ้าเดินไปมา มีความรู้สึกคล้ายกับเดินอยู่บนอากาศเย็นกายเย็นใจ เป็นอยู่อย่างนั้นหลายวัน

ได้โอกาสวันหนึ่งตอนพลบค่ำ พระเณรทั้งหลายทยอยกันขึ้นไปรับโอวาทท่านพระอาจารย์มั่น ข้าพเจ้าก็เลยขอโอกาสกราบเรียนเล่าเรื่องที่เป็นมาถวายให้ท่านฟังทุกคืนจิตมันเป็นอย่างนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นฟังแล้วก็ทดสอบดู โดยนั่งกำหนดจิตพิจารณาพักหนึ่งพอสมควร คือท่านจะตรวจจิตของข้าพเจ้าว่าจะเป็นจริงหรือไม่ พอตรวจดูพักหนึ่งท่านก็เปล่งอุทานว่า “อ้อ...จิตท่านจวนนี่รวมทีเดียวถึงฐีติจิต คือจิตเดิมเลยทีเดียว”

ท่านชมเชยว่า ดีนัก ถ้ารวมอย่างนี้จะได้กำลังใหญ่ แต่ถ้าสติตัวนี้อ่อน กำลังก็จะไม่มี ข้าพเจ้าก็เลยกราบเรียนต่อไปว่า ก่อนจิตรวม ได้เกิดนิมิตคาถาว่า “ปททฺทา ปททฺโท” ขอนิมนต์ให้ท่านแปลให้ฟัง ท่านพระอาจารย์มั่นเลยบอกว่า “แปลให้กันไม่ได้หรอก สมบัติใครสมบัติมัน คนอื่นแปลให้ไม่ได้ ต้องแปลเอง” ท่านว่าอย่างนั้น ความจริงเป็นอุบายของท่านต้องการให้เราใช้ปัญญาแปลให้ได้เองนับว่าท่านใช้อุบายคมคายหลักแหลมมากที่สุด

ต่อจากนั้นท่านได้ย้อนมาพูดถึงเรื่องจิตรวมว่า ก่อนที่จิตจะรวม บางคนก็ปรากฏว่า กายของตนหวั่นไหวสะทกสะท้านไป บางคนก็จะมีภาพนิมิตต่างๆ ปรากฏขึ้น เป็นภาพภายนอกก็มี แสดงอุบายภายในให้ปรากฏขึ้นก็มี แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นผู้ไม่มีสติก็จะมัวเพลิดเพลินลุ่มหลงอยู่ในนิมิตภาพนั้นๆ จิตก็จะไม่รวม หากถอนออกเลย ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ ไม่มีกำลัง

แต่ถ้าเป็นผู้มีสติดีหากมีนิมิตภายนอก หรือธรรมผุดขึ้นภายในก็ให้น้อมเข้ามาเป็นอุบายของวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตก็จะรวมลงถึงฐีติจิต เมื่อจิตรวมลงก็ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม และให้รู้ว่าจิตของเรารวมลงอิงอามิสคือกัมมัฏฐานหรือไม่ หรืออยู่เฉพาะจิตล้วนๆ ก็ให้รู้ อย่าไปบังคับให้จิตรวม และจิตรวมแล้ว อย่างบังคับให้จิตถอนขึ้นปล่อยให้จิตรวมเอง ปล่อยให้จิตถอนเอง และเมื่อจิตถอนหรือก่อนจะรวมชอบมีนิมิตแทรกขึ้นทั้งนิมิตภายนอกและนิมิตภายใน ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่านั่นเป็นเรื่องของนิมิตเป็นเรื่องของอุบาย อย่าไปตามนิมิตหรืออุบายนั้นๆ ให้น้อมเข้ามาเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยกขึ้นสูงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ให้พิจารณากำหนดกัมมัฏฐานที่ตนเคยกำหนดไว้อย่าละเลยละทิ้งด้วยความมีสติอยู่ทุกระยะที่จิตรวม จิตถอน ถ้าหัดทำให้ได้อย่างนี้ ต่อไปจะเป็น “สันทิฏฐิโก” คือเป็นผู้รู้เอง เห็นเอง แจ้งชัดขึ้น จะตัดความเคลือบแคลงสงสัย ไม่สงสัยลังเลในพระรัตนตรัยต่อไป นี่เป็นโอวาทคำแนะนำของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

เมื่อข้าพเจ้าได้รับโอวาทจากท่านเช่นนั้น ก็ยิ่งทวีความตั้งใจทำความเพียรเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น รู้สักเหมือนกับว่า ได้มีผู้วิเศษมาชี้ประตูสมบัติทิพย์ให้เราแล้ว ที่เราจะเปิดประตูเข้าไป หยิบเอาสมบัติทิพย์มาได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ความเพียร ความตั้งใจเอาจริงเอาจังของเราเท่านั้น ตลอดเวลาหนึ่งปีเต็มที่อยู่ร่วมกับท่าน ตั้งแต่หลังออกพรรษา 5 วันปีหนึ่ง ไปบรรจบหลังออกพรรษาของอีกปีหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เร่งทำความเพียรอย่างเต็มสติกำลังของตน เข้าใจว่าท่านพระอาจารย์มั่นก็คงจะเฝ้าดูการปฏิบัติและจิตของข้าพเจ้าอยู่เหมือนกัน วันหนึ่งท่านก็ได้กล่าวว่า ท่านได้กำหนดจิตดูท่านจวนแล้วได้ความเป็นธรรมว่า “กาเยนะ วาจายะ วะเจตะวิสุทธิยา ท่านจวนเป็นผู้มีกายและจิตสมควรแก่ข้อปฏิบัติธรรม”

เมื่อออกพรรษา เสร็จกิจทุกอย่างข้าพเจ้าก็กราบลาท่านอาจารย์ออกวิเวกธุดงค์ท่านก็เลยแนะนำให้ไปอยู่ถ้ำยาง บ้านลาดกะเณอ จังหวัดสกลนคร ทางสายกาฬสินธุ์ สมัยนั่นบ้านลาดกะเณอ ยังเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีเพียงสิบกว่าหลังคาเรือน ชาวบ้านเป็นพวกชาวป่า ชาวเขา การคมนาคมติดต่อกับโลกภายนอกไม่มีทางรถ เป็นทางเดินด้วยเท้าเท่านั้นข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปสู่ถ้ำนั้น ปรากฏว่าตัวถ้ำยางอยู่ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตร เป็นที่อับชื้น อากาศเยือกเย็นมาก ปากถ้ำหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ข้าพเจ้าได้ปรารถความเพียรอยู่ในถ้ำนั้นถึง 7 วัน 7 คืน โดยไม่ได้หลับนอนเลย อาหารที่ฉันลงไปกลางคืนก็ถ่ายออกหมด เพราะอากาศเย็นชื้นมาก จิตมักจะรวมโดยง่าย เกิดภาพนิมิตต่างๆ มากมาย บางครั้งเดินจงกรมอยู่ จิตจะรวม ก็หยุดเดิน ยืนกำหนดจิตปล่อยให้รวม เมื่อจิตถอนจากการรวมแล้วก็เดินจงกรมต่อไป ส่วนนิมิตภาพภายนอกและภายในที่ปรากฏในถ้ำนั้น ก็มีเกิดขึ้นเสมอ

เมื่อกำหนดพิจารณาดูจิตของตนเองแล้ว จึงรู้ว่านิมิตที่เกิดขึ้นนี้ เกิดเนื่องจากพลังของจิตที่แส่ส่ายไปนั่นเอง แม้ต่อมาออกจากถ้ำมาพักอยู่ที่วัดล่างวัดหนึ่ง ขณะที่ภาวนาก็ปรากฏนิมิตเห็นหญิงมาเปลือยกายนั่งอยู่ใต้กุฏิ ครั้งแรกข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเปรต ก็สวดมนต์อุทิศส่วนบุญกุศลให้ แต่ภาพนั้นก็ยังไม่หายไป ยังคงปรากฏอยู่ เลยกำหนดจิตพิจารณาใหม่ ก็รู้ว่าเกิดจากพลังงานของจิตจึงพิจารณาเพ่งดูจิตของตน ภาพนั้นก็เลยหายไป จึงรู้และเข้าใจว่า ภาพต่างๆ ที่แสดงทั้งภาพภายนอกและภาพภายในที่เป็นนิมิตปรากฏนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของจิตที่แสดงรัศมีหรือพลังออกไปหลอกลวงต่างๆ เท่านั้น ผู้ไม่มีสติปัญญา ก็อาจจะลุ่มหลงไปตามภาพนิมิตนั้นๆ เป็นเหตุให้พลั้งเผลอ และที่สุดก็สำคัญตนว่าได้ญาณมีความรู้อย่างนั้น อย่างนี้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์เกิดขึ้น เกิดเป็นทิฎฐิวิปลาสไปก็ได้ อาจจะเป็นเหตุให้ธรรมะแตกไปก็ได้

จากถ้ำยาง บ้านลาดกะเณอ ข้าพเจ้าก็ออกธุดงค์ไปแถวภูพาน จังหวัดสกลนครไปพบท่าน พระอาจารย์มหาทองสุข สุจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส สมัยนั้นและได้ชวนท่านไปฟังเทศน์ ท่านพระอาจารย์กงมา จริปฺญโญ ซึ่งกำลังอยู่ที่บ้านห้วยหีบพักอยู่กับท่านพระอาจารย์มหาทองสุก และท่านพระอาจารย์กงมา ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมรับการอบรมจากท่านพอประมาณแล้ว ข้าพเจ้าก็กราบลาท่านออกธุดงค์ต่อไป โดยเที่ยวตามแถวภูพาน พักผ่อนวิเวกไปโดยลำดับมุ่งหน้าไปทางจังหวัดบ้านเกิด คืออุบลราชธานี ถึงอุบลราชธานีแล้ว กลับเกิดความคิดอยากจะไปเที่ยวรุกขมูลทางภาคเหนือ คือจังหวัดเชียงใหม่บ้าง จึงได้เดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟอำเภอวารินชำราบ ก่อนออกเดินทางนั้นได้ไปพักที่วัดป่าริน ได้พบ ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร จึงเข้ากราบนมัสการและฟังธรรมจากท่านพอสมควรแล้วก็ลาท่าน รุ่งเช้าจึงขึ้นรถไฟสายอุบลฯ จากวารินชำราบ มาต่อที่บ้าภาชีไปถึงจังหวัดเชียงใหม่



>>>>> จบ >>>>>
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
TIIIIIPPPPPP
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 ธ.ค.2006, 11:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ ขอโมทนาบุญนี้ เถิด
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง