|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
08 ธ.ค.2006, 10:42 pm |
  |
นิพพานธาตุของพระอรหันต์
เพราะไม่แจ้ง ว่าไม่- ใช่ตัวตน
จึงพาวน ปรุงแต่ง แห่งสังขาร
นำให้เกิด ตัณหา อุปาทาน
อหังการ มมังการ อยู่ร่ำไป
เมื่อใจแจ้ง ว่าไม่- ใช่ตัวตน
สิ้นบุคคล สุญญๆสิ่ง ทิ้งมั่นหมาย
ก็จะเหลือ แต่ธรรม ที่ไม่ตาย
ไม่วุ่นวาย ดับเย็น เห็นนิพพาน
สอุปา ทิเสสะ นิพพานธาตุ
ธรรมประกาศ งดงาม ด้วยความหมาย
ดับกิเลส เย็นใจ ให้สบาย
พ้นเกิด-ตาย ถึงผ่องผุด วิมุติธรรม
อนุปา ทิเสสะ นิพพานธาตุ
ไม่มีชาติ เพราะขาดจบ ภพทั้งหลาย
ไม่ต้องมา เวียนเกิด และเวียนตาย
ขอบรรยาย กราบธรรม ด้วยคำกลอน ฯลฯ
ตรงประเด็น
8 ธ.ค. 2549 |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
08 ธ.ค.2006, 10:44 pm |
  |
จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
สอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ;
เทียบ อนุปาทิเสสนิพพาน
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สอุปาทิเสสนิพพาน
อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ,
ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต หมายถึง พระอรหันต์สิ้นชีวิต,
นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพ;
เทียบ สอุปาทิเสสนิพพาน
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อนุปาทิเสสนิพพาน |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
08 ธ.ค.2006, 10:47 pm |
  |
ขออนุญาต นำบทความมาลงเพิ่ม
เพื่อชวนให้เพื่อนสมาชิก เจริญซึ่งนิพพานุสติ โดยทั่วหน้ากัน
นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้
พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว
อันนิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่าสอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้าชื่อว่าอนุปาทิเสส
ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลสเพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ
จาก http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=25&lstart=5242&lend=5274&word1=อนุปาทิเสสนิพพาน
จาก มหาปรินิพพานสูตร
http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=10&lstart=1888&lend=3915&word1=พระอนุรุทธ&word2=อนุปาทิเสสนิพพาน
..อานนท์ ในกาลทั้งสองกายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก
ในกาลทั้งสองเป็นไฉน คือ
ในราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑
ในราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ในกาลทั้งสองนี้แล กายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก
ดูกรอานนท์ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แล ความปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันอันเป็นที่แวะพักของมัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ในเมืองกุสินารา
และเคยอ่านเจอกรณีที่พระอนุรุทธเถระท่านกล่าวว่า
จักนิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
..
จาก http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=26&lstart=7834&lend=7898&word1=พระอนุรุทธ&word2=อนุปาทิเสสนิพพาน
.เราได้ทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้วเป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภายใต้พุ่มกอไม้ไผ่ใกล้บ้านเวฬุวคามแห่งแคว้นวัชชี
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2006, 8:36 pm |
  |
" เมื่ออุปาทาน ยังเป็นสิ่งที่ตัณหา และ ทิฏฐิอาศัยอยู่ได้
ความหวั่นไหวได้ก็ยังมีอยู่
เมื่ออุปาทานเป็นสิ่งที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ได้
ความหวั่นไหวก็ไม่อาจมี
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ความระงับแห่งจิตย่อมมี
เมื่อความระงับแห่งจิตมี ความน้อมไปในทางใดทางหนึ่งของจิตย่อมไม่มี
เมื่อความน้อมไปทางใดทางหนึ่งของจิตไม่มี การมาการไปก็ไม่มี
เมื่อการมาการไปไม่มี การจุติและการเกิดใหม่ก็ไม่มี
เมื่อการจุติและการปรากฎในโลกไม่มี การปรากฎในระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ "
จตุตถสูตร, ปาฏลิคานิยวรรค, อุทาน |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2006, 8:38 pm |
  |
จิตที่พ้นเกิด-พ้นตาย
โอวาท ธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท
".........พระศาสดาเห็นอาการจิตของท่านเป็นอย่างนี้ นี่แหละท่านว่า ภพยังอยู่ ชาติยังอยู่ พรหมจรรย์ยังไม่จบ ท่านจึงยกสังขารขึ้นพิจารณาตามธรรมชาติ
เพราะมีปัจจัยอยู่นี่จึงมีเกิดอยู่นี่ตายอยู่นี่ มีอาการที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่นี่ ท่านจึงยกสิ่งนี้พิจารณาไปให้รู้เท่าตามเป็นจริงของขันธ์ห้า ทั้งรูปทั้งนาม.....
สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร จิตเป็นเสรีรุ่งโรจน์โชติการ
ไม่มีเรื่องราวต่างๆเข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เองหลงอัตตานี่เอง ....." |
|
|
|
  |
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |