ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:04 pm |
  |
อนัตตา หมายถึง ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง......
ไม่ได้แปลว่า ไม่มีอะไร
สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่ เพราะเหตุ-ปัจจัย ยังคงมีอยู่
เมื่อเหตุ-ปัจจัยดับไป สิ่งทั้งหลายจึงดับไปตาม
เรียกว่า อิทัปปัจจัยยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท
มันจึงเป็นเรื่องของ เหตุ-ปัจจัย และผล
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา......
คือไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ
ศาสนาพุทธจึงเป็นเรื่องของ เหตุ-ปัจจัย และผล
ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อ เหตุ-ปัจจัยแห่งทุกข์(สมุทัย)ยังดำรงอยู่ ทุกข์จึงยังดำรงอยู่.....
เมื่อเหตุ-ปัจจัย แห่งทุกข์ดับไป ทุกข์ก็ดับตามไปด้วย
พระสารีบุตร ท่านฟังหัวใจอริยสัจจ์จากพระอัสสชิ ที่ว่า
"เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณฯ
ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด (เกิดแต่เหตุ)
พระตถาคตเจ้า ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น"
พระสารีบุตรท่านเป็นผู้มีปัญญามาก ท่านแจ้งชัดในทันทีในใจความนี้ บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยคาถาบทเดียว........
มีพระพุทธโอวาทที่ว่า
"กล่าวโดยย่ออุปาทานขันธ์5เป็นทุกข์"ในสัจจบรรพ มหาสติปัฏฐานสูตร
ขันธ์5ที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็คือ ขันธ์5 ที่ใจเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่า เป็นเรา หรือ ของเรา(เรียกว่า อุปาทานขันธ์5)
ขันธ์5ที่ไม่เป็นทุกข์ต่อไป ก็คือ ขันธ์5ที่พ้นจากความสำคัญมั่นหมายว่า เป็นเรา หรือของเรา
ถ้ามีความรู้สึกว่าเป็น"เรา"หรือ"ของเรา"(อุปาทาน)เข้าไปรองรับในเรื่องต่าง ๆ ทุกข์ก็จะเกิด......
ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าเป็น"เรา"หรือ"ของเรา"เข้าไปรองรับในเรื่องต่างๆ ทุกข์ก็จะดับ......
อุปาทาน หรือ ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา-ของเรานั้น มีสิ่งใดเป็นเหตุ-ปัจจัย....
อุปาทานนั้นมีตัณหาเป็นปัจจัย
ตัณหานั้นก็คือการที่ใจอยากจะให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามใจเรา สิ่งไหนชอบก็อยากให้อยู่ต่อไป(ภวตัณหา) สิ่งไหนไม่ชอบก็อยากให้หายไปเร็วๆ(วิภวตัณหา) หรือชอบเพลิดเพลินในกามคุณ(กามตัณหา)
ย้อนกลับไปเรื่อยๆตามวงจรปฏิจจสมุปบาท
ตัณหานั้นมีเวทนาเป็นปัจจัย
เวทนามีผัสสะเป็นปัจจัย
ๆลๆ.......
ย้อนไปจนถึง สังขาร(จิตปรุงแต่ง)นั้นมีอวิชชา(ความไม่รู้ในความจริงของไตรลักษณ์ ของอริยสัจจ์)เป็นปัจจัย
ตามวงจรปฏิจจสมุปบาท
ถ้าอวิชชาดับ หรือ วิชชาเกิด สังขารจะดับ
สังขารดับนี้หมายถึงการปรุงแต่งในใจดับ
เมื่อการปรุงแต่งในใจดับ(สังขารดับ) การรับรู้ที่จะทำให้เกิดทุกข์ก็ดับ(วิญญาณดับ)
วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
นามรูปดับ สาฬยตนะจึงดับ
สาฬยตนะดับ ผัสสะจึงดับ
ผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
ตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เมื่อปราศจากอุปาทานไปแล้ว อุปาทานขันธ์5จึงไม่มี
จึงหลุดพ้นจากทุกข์ใจในปัจจุบัน ณ วินาทีนั้น
สรุป การเห็นขันธ์5ว่า ไม่ใช่ เรา หรือของเรา.....ทุกข์ใจในปัจจุบันจึงดับ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:06 pm |
  |
ขอเพิ่มเติม เรื่อง ผลของอุปาทานในวงจรปฏิจจสมุปบาทต่ออีกน่ะครับ
อุปาทานนี้นอกจากจะทำให้ใจเราเป็นทุกข์ในปัจจุบันนี้แล้ว
ยังเป็นแรงผลักดันให้หมู่สัตว์ไปเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย
1. อุปาทานทำให้เป็นทุกข์ใจในปัจจุบัน
เช่นในอัตตทีปสูตร
ที่กล่าวไว้ว่า
เมื่อขันธ์5ที่จิตเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา หรือของเรา แปรไป เป็นอื่นไป ทุกข์ใจจึงเกิด.....
ความจริงขันธ์5ในที่นี้ มันครอบคลุมสิ่งที่ใจเข้าไปสัมผัสทั้งหมด เช่น รถยนต์ของเรา(รูปภายนอก) ถ้ารถคนอื่นพังเราอาจจะเฉยๆ แต่ถ้ารถ"ของเรา"พังล่ะก็เราจะเป็นทุกข์.นั่นเพราะเราเข้าไปยึดมั่นว่าเป็นรถของเรานั่นเอง
2. อุปาทานเป็นแรงผผลักดันให้หมู่สัตว์ไปเกิดใหม่
เช่นในกุตุหลสาลาสูตร
ที่กล่าวว่า อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดใหม่
(ที่ว่า ".....พระสมณโคดมก็ทรงพยากรณ์สาวกรูปนั้น ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ......". คำว่ากระทำกาลกิริยาคือ ตายจริงๆน่ะครับ)
ทีนี้ ถ้าเกิดไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแบบ เกิดเป็นคนเป็นสัตว์จริงๆล่ะ....
การดับอุปาทานนั้นก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี เพราะทุกข์ทางใจในปัจจุบันนี้ดับ(หรือลด)กันให้เห็นๆ ถ้ารู้จักปล่อยวางเรื่องราวทั้งหลายลงได้ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:08 pm |
  |
ตรงคำถามที่ว่า แล้วทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้น มันครอบคลุมแค่ไหน ระหว่าง
1.ทุกข์ใจในปัจจุบันเท่านั้น หรือ
2.ทุกข์ใจในปัจจุบัน รวมถึงทุกข์ในวัฏฏะสังสารที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด(แบบเป็นคนเป็นสัตว์ )
ผู้ที่เชื่อว่าทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้น นับเฉพาะทุกข์ใจในปัจจุบันเท่านั้น .....ท่านเหล่านั้นมีความเชื่อว่า เรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด(แบบเป็นคนเป็นสัตว์)นั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้..... ก็จะแปรส่วนที่เหลือของวงจรปฏิจจสมุปบาท ไปในรูปแบบที่อธิบายเฉพาะการเกิด-ดับของทุกข์ใจในปัจจุบันเท่านั้น
ผู้ที่เชื่อว่าทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้น นับรวมทั้งทุกข์ใจในปัจจุบัน รวมถึงทุกข์ในวัฏฏะสังสารที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด(แบบเป็นคนเป็นสัตว์ ).... ก็คือ เชื่อ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเป็นคนเป็นสัตว์) ก็จะแปรส่วนที่เหลือของวงจรปฏิจจสมุปบาท ตามกุตุหลสาลสูตร คือ ว่า...... ถ้าดับอุปาทานได้แล้ว นอกจากทุกข์ใจในปัจจุบันนี้จะดับไปแล้ว ถ้าร่างกายแตกดับไปแล้ว ก็จะไม่มีการเกิดใหม่อีกไม่ว่าจะในภพใดๆ
สรุปว่า ไม่ว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ )...... ถ้าดับอุปาทานเสียได้ ทุกข์ก็จะดับด้วยกันทั้งสองความเชื่อ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:10 pm |
  |
ประเด็นเรื่องที่ว่า ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดับนั้นครอบคลุมแค่ไหนนั้น.....
เป็นประเด็นที่ชาวพุทธเห็นไม่ตรงกันมาก
1.บ้างก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ดับทุกข์ใจในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้ตรัสสอนเรื่องเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเป็นคนเป็นสั ตว์ไว้เลย.....
โดยยังแยกย่อยออกเป็น
1.1เชื่อว่า การเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ(แบบเป็นคนเป็นสัตว์)เป็นเรื่องงม งาย พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้
1.2.เชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเป็นคนเป็นสัตว์ไว้จ ริง แต่ปฏิจจสมุปบาทไม่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้.....ปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวข้องเฉพา ะการเกิด-ดับของทุกข์ใจในปัจจุบันเท่านั้น
2.บ้างก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้าสอน((แบบในธาตุสูตร กุตุหลสาลสูตร หรือที่ตรัสไว้ในวิชชาสามประการ) ให้ดับทั้งทุกข์ใจในปัจจุบันและทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชา ติแบบเป็นคนเป็นสัตว์ด้วย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม.....
การดับอุปาทานย่อมทำให้ทุกข์ดับลงได้ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:13 pm |
  |
เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีโอกาสฟังบทสัมภาษณ์ของ คุณ ดังตฤณ....
คุณดังตฤณ ท่านเล่าให้ฟังว่า มีชาวพุทธฝรั่ง ท่านจะมาคุยเรื่องANGER MANAGEMENT(การบริหารจัดการกับความโกรธ). ท่านถามคุณดังตฤณเรื่องที่ว่า คุณดังตฤณเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ไ หม.....ลองอ่านดูน่ะครับ ว่ามันจบลงแบบไหน
".....มีคนนึงนะ คุยกับผมนะ
พอบอกว่าผมเป็นพุทธนะ เขาถามก่อนเลย
ยูเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่า?
ยูเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิดหรือเปล่า?
ผมก็ตอบไป... คือตอบไปแบบ
เรียกว่า ไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
แต่บอกว่า เออ ไอชอบเรื่องของที่เห็นด้วยตัวเอง
ถ้าหากว่าเรื่องไหน ไอไม่เห็นด้วยตัวเอง ไอไม่เชื่อหรอก
แล้วถ้าไอเชื่อ หมายความว่าไอเห็นแล้ว บางส่วน
อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดตลอดสาย
แต่อย่างน้อยที่สุด รู้แล้วว่า
ในส่วนที่เห็น มันอิงกันได้ มันยันกันได้ กับความจริง
บอกไปแค่นั้นนะ
คือเขาไม่ฟังคำอื่นเลย คือพูดไปซะยาวนะ
สรุปลงคำเดียว... ยูเชื่อ (ผู้ร่วมสนทนาหัวเราะ)
ปิดการสนทนาเลย
.
คือเขาจะมองว่าเป็นพวกเหลวไหลทันที
แต่ก็จะมีนะ ฝรั่งที่เขา.....
เออ เดี๋ยว ๆ .... เดี๋ยวเท้าความไปก่อนว่า
ก่อนที่จะคุยเรื่องนี้เนี่ย ผมคุยเรื่อง anger management กัน
คือหมายถึงว่า วิธีการที่จะจัดการกับความโกรธ
....เขาสนใจ เพราะว่าเขาบอกเขาเป็นพวกโทสจริต
คือเวลาโมโหอะไร ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
มันจะหลุดอยู่เรื่อย เขาก็สนใจน่ะ
พอผมพูดถึง anger management
พอสนใจขึ้นมา พูด ๆ ๆ กัน ตอนแรกก็พูดกันดี ๆ
แต่สรุป ยูเชื่อเรื่องชาติหน้าหรือเปล่า
พอเราพูดนิดเดียว เราเชื่อ เขาปิดการสนทนาเลย
คือจบเลย มันไม่ต้องฟังกันอีก......."
แต่ก็มีฝรั่งระดับศาสตรจารย์หลายท่าน ทั้งที่ประกาศตนเป็นชาวพุทธและไม่ประกาศตนเป็นชาวพุทธ ที่เชื่อเรื่อง reincarnation
Dr. Ian Stevenson, Reincarnation Pioneer
http://www.childpastlives.org/childrenspastlives.htm
Ajahn Brahmavamso
อดีตTheoretical Physics at Cambridge University
http://www.bswa.org/modules/icontent/index.php?page=51
พารากราฟแรกกล่าวถึงเรื่องที่เขาพูดถึง"การเกิดใหม่"
Some misguided scientists maintain the theory that there is no rebirth, that this stream of consciousness is incapable of returning to a successive human existence. All one needs to disprove this theory, according to science, is to find one instance of rebirth, just one! Professor Ian Stevenson, as some of you would know, has already demonstrated many instances of rebirth.
The theory of no rebirth has been disproved.
Rebirth is now a scientific fact!
(การเกิดใหม่ในปัจจุบัน เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์แล้ว) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:17 pm |
  |
ปฏิจจสมุปบาทนั้น มีความเห็นที่แตกแยกออกเป็นสองทิศทาง.....โดยเริ่มแตกออกตรงอุปาทาน.....
กลุ่มแรก คือเห็นว่าปฏิจจสมุปบาทอธิบายเฉพาะการเกิดและดับของทุกข์ในใจเท่านั้น....
แนวทางนี้ขอเรียกว่า คำอธิบายแบบประยุกต์
คือเห็นว่า อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นคำอธิบายเฉพาะของ เรื่องที่เกี่ยวกับ ทุกข์ทางใจเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเป็นคนเป็นสัตว ์(ตัวอย่าง เช่นฝรั่งที่คุณดังตฤณเล่าให้ฟัง).
คำอธิบายในแนวทางนี้ จะอธิบายว่า ความรู้สึกที่ยึดมั่นว่าเป็นเรา-ของเรานี้ ซึ่งต่อไปจะขอใช้คำว่า"ตัวกู-ของกู"นั้น เริ่มต้นในอุปาทาน มาเริ่มแก่ตัวในภพ และมาเต็มขีดขั้นเอาในคำว่าชาติ.....
เปรียบเสมือนการต้มน้ำร้อน เมื่อน้ำเริ่มร้อนก็เป็นอุปาทาน น้ำเริ่มเดือดก็เป็นภพ น้ำเดือดเต็มที่เป็นไอน้ำก็เป็นชาติ....
เช่น คำอธิบายว่าตุ๊กตาของฉันแตกทำลาย ทำไมฉันจึงเป็นทุกข์. คำว่าชาตินั้น หมายถึงอาการที่จิตเข้าไปยึดเอาตุ๊กตาเป็นของฉันอย่างเต็มที่(ตรงอุปาทานยัง ไม่มีกูและของกูอย่างเต็มที่)..... เมื่อตุ๊กตา"ของฉัน"เสื่อม หรือแตกทำลายไป จึงเป็นชรา(เสื่อม) และมรณะ(แตกดับ)..... ความทุกข์ใจคือ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส จึงตามมา....
แนวทางแบบนี้เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดข ้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์จริงๆ เพราะปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเป็นเรื่องของการเกิดทุกข์ทางใจในปัจจุบันนี้เท่าน ั้น.....
แต่หาพระสูตรในพระไตรปิฎกที่กล่าวว่า ชาติคือการเกิดขึ้นของตัวกู-ของกูยาก....
มิหนำซ้ำบางพระสูตร เช่น ธาตุสูตรนั้น(อ่านจากลิ้งค์ข้างบน) อธิบายด้วยคำอธิบายแบบนี้ไม่ได้ และสวนทางกันเลย...
ในธาตุสูตรนั้น กล่าวนิพพานธาตุสองประการของพระอรหันต์ไว้ว่า
1.สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ
1.1มีในปัจจุบัน(นับตั้งแต่วินาทีที่ตรัสรู้)
1.2เพราะสิ้นตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ(สิ้นอุปาทานนั้นเอง)
2.อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ
2.1มีในอนาคต(หลังจากการตรัสรู้ไปแล้ว)
2.2เป็นที่ดับสนิทของภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
ทีนี้ ถ้าเราตีความว่า การเกิดขึ้นของตัวกู-ของกูนั้น จะครอบคลุมจากอุปาทาน มาภพ และมาเต็มขั้นที่ชาติ..... นั้นก็แสดงว่า เมื่อพระอรหันต์บรรลุอรหัตตผล ซึ่งตัวกู-ของกูจะต้องดับหมดแล้วนั้น อุปาทาน ภพ ชาติ(ตัวกู-ของกู)ก็ต้องดับหมด ณ วินาทีนั้นเลย.....ใช่ไหมครับ
ลองย้อนกลับไปอ่านธาตุสูตรดีๆ ตรงที่ว่า ภพจะดับสนิทโดยประการทั้งปวงเมื่อใด....
คำตอบคือ ภพจะดับสนิทโดยประการทั้งปวง เมื่อพระอรหันต์ดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ....
ซึ่ง ธาตุสูตรนี้ จะขัดแย้งอย่างแรงกับแนวทางอธิบายนี้.....เพราะตามแนวทางนี้ ภพซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการเกิดขึ้นของตัวกู-ของกู จะดับสนิททันทีในวิณาทีที่บรรลุอรหัตตผล
แนวทางอธิบายแบบนี้ มีประโยชน์อยู่จริงๆ แต่ขาดหลักฐานสนับสนุนจากพระไตรปิฎก
ส่วนกลุ่มที่สองนั้น อธิบายว่า อุปาทานนั้นมีผลที่สำคัญสองอย่างคือ
หนึ่ง การเกิดทุกข์ใจในปัจจุบันโดยตรงเลย เช่นในอัตตทีปสูตร
สอง การเกิด(ใหม่)อีก เมื่อตัณหาและอุปาทานยังไม่สิ้น เช่นในหลายต่อหลายพระสูตร
แนวทางนี้ขอเรียกว่า คำอธิบายแบบดั้งเดิมของพุทธเถรวาท
แนวทางนี้ ปฏิจจสมุปบาทจึงอธิบายครอบคลุมทั้งการเกิดและดับของทุกข์ใจในปัจจุบัน และการเวียนว่ายตายเกิดของหมู่สัตว์
แนวทางนี้มีข้อเด่นตรงที่ว่า สอดรับกับพระไตรปิฎก ในพระสูตรต่างๆมากมาย
แต่มีข้อด้อยตรงที่ว่าคนรุ่นใหม่ที่ปฏิเสธขาดในเรื่องการเกิดตายข้ามภพชาติแบบเป็นคนเป็นสัตว์นั้นยอมรับได้ยาก |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 10:19 pm |
  |
อุปาทาน ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส มี ๔ คือ
๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม
๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฏฐิ
๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต
๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นวาทะว่าตน
อัตตวาทุปาทาน การถือมั่นวาทะว่าตน
คือ ความยึดถือสำคัญมั่นหมายว่า นั่นนี่เป็นตัวตน
เช่น มองเห็นเบญจขันธ์เป็นอัตตา,
อย่างหยาบขึ้นมา เช่น ยึดถือมั่นหมายว่า นี่เรา นั่นของเรา จนเป็นเหตุแบ่งแยกเป็นพวกเรา พวกเขา และเกิดความถือพวก
(ข้อ ๔ ในอุปาทาน ๔)
........................................................................ .....
อุปาทานข้อ4เป็นรากของอุปาทานอีก3ข้อต้น
........................................................................ ....
ตามแนวที่หนึ่งนั้น อุปาทานนั้นยังมีตัวกู-ของกูไม่เต็มขั้น ตัวกู-ของกูจะมาเต็มขั้นตรงชาติ.....จึงอธิบายว่า ชาติ คือการเกิดขึ้นของตัวกู-ของกู
ตามแนวทางที่สองนั้น อุปาทาน(เน้นตรงอัตตวาทุปาทาน)มีตัวกู-ของกูเต็มขั้นแล้ว...... ชาติจึงหมายเอาถึงการเกิดแบบเป็นคนเป็นสัตว์จริงๆ |
|
|
|
  |
 |
เจ๊เป็นตุ๊ด
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 60
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยสอง
|
ตอบเมื่อ:
29 พ.ย.2006, 6:00 pm |
  |
ความเป็นอนัตตาที่ศึกษามาตอนนี้ รู้แค่ 3 แบบ คือ
1.ธาตุ 4 ประกอบเป็นอัตตา อัตตาจึงเป็นอนัตตา
2.สรรพสิ่งเป็นอนิจจตา สรรพสิ่งจึงเป็นอนัตตา
3.อัตตาไม่ใช่ของเรา เราไม่มีอำนาจในอัตตา อัตตาจึงเป็นอนัตตา
คำว่า อนัตตา ถ้าจะให้เข้าใจง่ายควรแปลเสริมไปว่า ไม่มีตัวตนให้นำมายึดมั่น
สำหรับผู้สนใจแนะนำให้อ่านหนังสือ 3 เล่มต่อไปนี้ ซึ่งเป็นผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุ
1.อิทัปปัจยตา ( อ่านเรียงลำดับไปจาก 1-3 )
2.ปฏิจจสมุปบาท
3.ปรมัตถสภาวธรรม
ทั้ง 3 เล่มนี้มีเนื้อหาเชื่อมโยงกันถึงเรื่องอนัตตา ว่างๆลองหามาอ่านดูนะครับ สนุกดี
ส่วนหนังสือของอาจารย์ท่านอื่นนั้นผมยังไม่รู้กว้างขวางนัก จึงไม่นำมาบอกกล่าว
สวัสดีหรรษาในทางธรรม |
|
_________________ ปัญญาอยู่ไหน ที่ไหนมีขายบ้าง |
|
  |
 |
|