Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สิ่งที่ควรรู้ในพุทธศาสน์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
gorn_666
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 22

ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2006, 8:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีคนจำนวนมากที่ถือเอาเรื่องนี้เป็นสาระ ของพระพุทธศาสนา ตัวอย่างคำถามเช่น

เรื่องการเกิดมาใช้กรรม
จำนวนวิญญานที่เพิ่มขึ้นมาจากไหน ,
วิญญานดวงแรกมาจากไหน
กรรมของดวงวิญญานดวงแรกมาจากไหน เป็นต้น

ผมก็ไม่ได้มีความรู้อะไรลึกซึ้งมากมาย แต่ในฐานะพุทธมามกะ คนหนึ่ง เป็นชาวพุทธโดยจิตใจ ไม่ใช่เป็นแค่ชาวพุทธในทะเบียนบ้าน และ บัตรประชาชน ก็พอจะบอกได้ว่า สิ่งที่คุณถามและสงสัยนั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา แต่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือ เรียกว่า”ไม่ใช่แก่นแท้ของศาสนาพุทธ” เพราะว่าแก่นของศาสนาพุทธนั้น คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ คือสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสอนเรา นั้นก็คือเรื่องทุกข์ และ การดับทุกข์ ฉะนั้น เรื่องอะไรก็ตามที่ไม่ใช่เรื่องทุกข์และวิธีดับทุกข์ จึงไม่ใช่แก่นของศาสนาพุทธ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ

ไม่ใช่ว่าคำถามเหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรงไม่รู้ ท่านรู้แต่ไม่ให้สนใจกับมัน เพราะมันไม่จำเป็น ซึ่งดูได้จากเรื่องราวในพระสูตร ซึ่งอยู่ใน สังยุตนิกาย ว่า

“ณ ป่าไม้ประดู่ลายนี่เอง สมัยหนึ่งพระตถาคตเจ้าประทับอยู่ด้วยหมู่ภิกษุนักจำนวนร้อย พระองค์หยิบใบไม้มากำพระหัตถ์หนึ่ง แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบไม้ในกำพระหัตถ์ของพระองค์ กับใบไม้ในป่านี้ทั้งหมด ไหนจะมากกว่ากัน เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ใบไม้ในป่ามีมากกว่าเหลือหลาย ใบไม้ในกำพระหัตถ์มีน้อยนิดเดียว พระพุทธองค์จึงตรัสว่าฉันเดียวกันนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมที่เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลายนั่นเพียงเล็กน้อย เหมือนใบไม้ในกำมือของเรา ส่วนธรรมที่เรามิได้แสดงมีมากมายเหมือบใบไม้ในป่า ภิกษุทั้งหลาย! ทำไมเราจึงไม่แสดงสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจอีกมากมายเล่า ภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตแสดงแต่ธรรมที่จำเป็นเพื่อระงับดับทุกข์เท่านั้น สิ่งนอกจากนี้รู้ไปก็ทำให้เสียเวลาเปล่า”

และสิ่งนั้นที่พระพุทธเจ้าบอกว่าควรรู้และควรนำมาปฏิบัติคือสาระสำคัญหรือแก่นของศาสนาพุทธ คือ เรื่องทุกข์ และ วิธีดับทุกข์ สิ่งใดที่ไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์ พระองค์จะไม่ต้องสอนหรือรับรู้
ฉะนั้นคำถามข้างต้นนั้นจึงไม่เป็นสาระ ไม่ใช่ไม่มีสาระ แต่ไม่เป็นสาระในเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้ทราบ ไม่เป็นสาระในเรื่องของการดับทุกข์
ดังพุทธวจนะที่ว่า

อสาเร สารมติโน
สาเร จ อสารททสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจํฉนฺติ
มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ11ฯ

ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระ ว่าไร้สาระ
ผู้นั้นมีความคิดผิดเสียแล้ว
ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ

สารญฺจ สารโต ญตฺวา
อาสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ
สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ12ฯ

ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
และสิ่งที่ไร้สาระว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ

จึงอยากชาวพุทธแค่ในทะเบียนบ้านบางท่านทราบว่าสิ่งทีท่านสงสัยและนำมาตั้งคำถามนั้น ไม่ใช่พุทธศาสนา อย่างคุณเข้าใจ แม้ว่าจะมีคนตอบคุณได้ แต่เค้าก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้คุณได้ ซึ่งมันก็เหมือนกับที่ความเชื่อของศาสนาอื่นก็ไม่สามารถพาไปดู หรือ นำมาพิสูจน์ได้ว่ามีจริงเช่นกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้

แต่สาระของศาสนาพุทธ นั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เมื่อคุณปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างถูกต้องและเคร่งครัด คุณก็จะสามารถ รู้จักทุกข์ และ ดับทุกข์ ได้ ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องร้องขอหรือสวดมนต์อ้วนวอน เทพหรือเทวดาองค์ไหน หรือ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เพราะพระองค์ เป็นเพียงผู้แนะแนวทางให้เท่านั้น ไม่สามารถทำแทนได้ ดังพุทธวจนะที่ว่า

ตุมฺเหติ กิจฺจํ อาตปฺปํ
อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ๒๗๖ ฯ

พวกเธอจงพยายามทำความเพียรเถิด
พระตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญฌานเดินตามทางสายนี้
ก็จะพ้นจากเครื่องผูกของพญามาร


ขอยกตัวอย่างในเรื่องที่ ชาวพุทธบางท่านคิดว่าเป็นสาระของพระพุทธศาสนา เช่น

การไหว้ต้นไม้ การไหว้จอมปลวก การไหว้สัตว์พิการ การไม้เจ้าที่ การไหว้ศาลเจ้าพ่อ เจ้าแม่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั้งการดูกฤษ์ดูยาม การเลี้ยงกุมารทอง ขอหวย ไหว้ฤาษี ไหว้ปลัดขิก พกขุนแผน สาริกาลิ้นทอง ทำเสน่ห์ ย่างเด็ก น้ำมันพราย เป็นต้น

ยังมีชาวพุทธอีกมากที่คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพุทธศาสนา เพราะบางทีก็มีพระภิกษุที่หลงผิด ทำเรื่องเหล่านี้ ทำให้ยิ่งเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมขอเปรียบเทียบว่า พระพุทธศาสนา เป็นต้นโพธิ์ ต้นหนึ่ง สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ก็คือ พวกผ้าสีต่างๆ ริบบิ้นที่นำมาผูกต้นโพธิ์ ไว้ แม้ว่ามันจะผูกพันกับศาสนาพุทธมาช้านาน แต่มันไม่ได้เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเลย ไม่ใช่เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรง ให้สนใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ ดับทุกข์ได้ ดูได้จากพุทธวจนะที่ว่า

พหู เว สรณํ ยนฺติ
ปพฺพตานิ วนานิ จ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ
มนุสฺสา ภยตชุชิตา ฯ ๑๘๘ ฯ

คนเป็นจำนวนมาก เมื่อภัยมาถึงตัว
พากันยึดเอาสิ่งต่างๆเป็นที่พึ่ง
อาทิ ภูเขา ป่าไม้ สวน
ต้นไม้ และเจดีย์

เนตํ โข สรณํ เขมํ
เนตํ สรณมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๘๙ ฯ

นั่นมิใช่ที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด
อาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ก็ไม่พ้นทุกข์ทั้งปวงได้

ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ
ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ
ทุกฺขูปสมคามินํ ฯ ๑๙๑ ฯ

ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจด้วยปัญญาชอบ คือ
ทุกข์, เหตุของทุกข์, ความดับทุกข์ และ
อริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางดับทุกข์

เอตํ โข สรณํ เขมํ
เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๙๒ ฯ

นั่นแลคือที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด
คนเราอาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

และมีพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า

นกฺขตฺตํ ปฎิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา.
ประโยชน์ได้ล่วงเลย คนโง่มัวถือฤกษ์อยู่

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่คนบางคนเข้าใจ ว่าเป็นศาสนาพุทธสอนนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง
ยังมีคำถามที่ว่า ใครเป็นคนสร้างวิญญาน
ใครเป็นคนกำหนดโทษในนรกว่า ใครจะโดนใช้กรรมเท่าไหร่
ใครเป็นผู้กำหนด ว่าดวงวิญญานที่จะเกิด ไปเกิดที่ไหน หรือกำหนดว่าใครต้องตาย
ใครเป็นผู้ควบคุมวัฏจักรนี้
ใครเป็นคนกำหนดจำนวนบุญ และ บาป ในการกระทำแต่ละอย่าง ว่าได้บุญและบาปมากน้อยแค่ไหน
และยังเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธเป็น อเทวนิยม ซึ่งหมายถึง ไม่มีพระเจ้าหรือเทวดา งั้นแล้วใครเป็นผู้ควบคุมสิ่งต่างๆ ในเรื่องของโลกหลังความตาย

มีท่านบางท่าน สงสัยในเรื่องเหล่านี้ สงสัยในเรื่องที่ไม่เป็นสาระของพุทธศาสนา ผมจึงอยากจะ
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดว่า

ถึงแม้ว่า ศาสนาพุทธ จะเป็นแบบ อเทวนิยม แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเทพ หรือ เทวดา แต่เทพและเทวดาเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งสูงสุดของพระพุทธศาสนา สิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงให้ยึดถือ คือ พระธรรม ที่ทรงตรัสรู้ และให้ปฏิบัติตาม นั้นก็คือ เรื่องทุกข์ และวิธีดับทุกข์

ฉะนั้น ศาสนาพุทธ จึงเป็น อเทวนิยม ก็คือ ไม่มีเทพหรือเทวดา หรือพระเจ้า เป็นสิ่งสูงสุดของศาสนา แม้ว่าคุณจะไม่ไหว้เทพ หรือ เทวดา พยายม หรือ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง แต่ถ้าท่านทำตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะแนวทางไว้ คุณก็สามารถพ้นทุกข์ ได้เช่นกัน

ส่วนใครจะเป็นผู้กำหนดสิ่งต่างๆ ในโลกหลังความตายนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นสาระของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้รู้ ไม่ใช่ใบไม้ในกำมือของพระองค์ เพราะรู้ไปก็ไม่สามารถทำให้คุณพ้นทุกข์ได้

ผมสมมุติง่ายๆนะครับว่าเหมือนเราขับรถบนท้องถนน คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่า
ตำรวจจราจรที่ควบคุมไฟเขียวไฟแดง และโบกรถ ให้คันนี้หยุด ให้คันนี้ไป นั้นชื่ออะไร มียศ อะไร สังกัดอยู่สถานีตำรวจอะไร
สารวัตรชื่ออะไร ยศอะไร มีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง
ถ้ารถทำผิดแล้ว คุณจะถูกดำเนินคดียังไง
ใครเป็นอัยการ
ใครเป็นผู้พิษากษา
โทษหนักเบาเท่าไหร่
จะถูกส่งไปเรือนจำไหน
พัสดี ชืออะไร
ผู้คุมชื่ออะไร
ต้องโทษกี่ปี

สิ่งเหล่านี้ที่ผมยกตัวอย่างมันก็เหมือนกับคำถามข้างต้น คุณไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่คุณต้องรู้คือ จุดหมายปลายทางคุณอยู่ที่ไหน ถนนเส้นไหนที่นำคุณไปยังจุดหมาย และ กฏจราจร ต่างๆ ที่คุณต้องทราบ
คุณต้องรู้มีแค่นี้ เพราะว่า ถึงคุณจะไม่รู้ชื่อ ตำรวจจราจรที่ 4 แยกไฟแดงนั้น คุณก็ไปถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน ถ้าคุณรู้จักทาง และ กฏจราจร

คุณจะได้ข้องเกี่ยวกับเค้าเหล่านั้น ก็ต่อเมื่อ คุณทำผิดกฏจราจร ซึ่งตอนนั้น คุณก็จะได้รู้ด้วยตนเองว่า ใครเป็นคนจับคุณ ขั้นตอนที่คุณจะถูกดำเนินคดีเป็นยังไงบ้าง คุณจะได้ได้รับโทษแค่ไหน ถูกส่งไปที่ไหน

และไม่ว่าการกระทำอะไรที่ทำแล้วได้บุญแค่ไหน ทำแล้วได้บาปแค่ไหน ไม่ว่าจะได้บุญเล็กน้อยแค่ไหน มันก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ แม้ว่าการกระทำใดๆ มีบาปแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่เราควรจะละเสียไม่กระทำ ดังพุทธวจนะ ที่กล่าวถึงบุญและบาปไว้ดังนี้

มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๒ ฯ

อย่าดูถูกบุญเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
นักปราชญ์สะสมบุญทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยบุญได้เช่นกัน

มาวมญฺเญถ ปาปสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๑ ฯ

อย่าดูถูกความชั่วเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
คนพาลทำความชั่วทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยความชั่วได้เช่นกัน

ฉะนั้นเรื่องว่าใครเป็นคนกำหนดจำนวนบุญและบาป จึงไม่เป็นสาระของผู้ที่จะ “ทำความดี ละเว้นความชั่ว” ครับ

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า พระพุทธศาสนามีองค์ประกอบมากมาย แต่แก่นแท้ที่พระพุทธเจ้าสอน และต้องการให้รู้ มีแค่ใบไม้กำมือหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าคุณศึกษาสิ่งที่นอกเหนือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้รู้ จะทำให้คุณสับสนได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากสับสนหรือรู้สึกวกวน ซึ่งอาจจะทำให้คุณเสียเวลา และอาจทำเบื่อหรือท้อแท้ใจที่จะศึกษาต่อไปได้

ฉะนั้นคุณควรศึกษาแก่นของศาสนาพุทธโดยตรง นั้นก็คือ รู้จักทุกข์และวิธีดับทุกข์ ซึ่งถ้าคุณศึกษาแค่การอ่านหรือฟังคนอื่นพูด ก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้บรรลุธรรมได้ คุณต้องปฏิบัติให้มาก เหมือนดังพุทธวจนะที่ว่า

“ อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย”

ควรจะปฏิบัติให้ครับ ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา
และ ควรรีบทำซะเดียวนี้ ดังพุทธวจนะที่ว่า

“วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เจ้าทำอะไรอยู่”

ขอนำปัจฉิมโอวาท มากล่าวในที่นี้ครับ

"สิ่งทั้งปวง มีความเสื่อมสิ้นไป เป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด..."




ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ

เอวัง
 

_________________
วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่

แก้ไขล่าสุดโดย gorn_666 เมื่อ 01 ธ.ค.2006, 9:35 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
gorn_666
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 22

ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2006, 9:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมได้แก้ไข ข้อความไปบางส่วนแล้ว หวังว่ากระทู้ คงไม่โดนลบเพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนมีคุณมากกว่า ขอบคุณครับ
 

_________________
วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 04 พ.ย.2006, 8:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขึ้นชื่อว่ากรรมชั่วแล้ว.... อย่าทำเลยจะดีกว่า

สา....ธุ
 

_________________
พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง