Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ร่วมสร้างพุทธสถานอุโบสถ วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2006, 12:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



pp-07.jpg


ที่แท้จริง เมื่อเรามีสมาธิ กายก็ไม่ค่อยรู้สึก เมื่อไม่รู้มันก็
ว่าง เมื่อว่างก็ดูไม่ออก ไม่มีอะไรให้ดู มีแต่ว่าง อย่างนี้ก็เป็นสมถะอยู่
แต่ถ้าดูจิตใจเป็น ในภาวะที่ว่าง มันก็มีตัวรู้ มีสภาพ
รู้ มีสภาวะของจิตของเจตสิกที่ปรุง ถ้าดูจิตเป็นก็จะเห็น
สภาวะเกิดดับอยู่เรื่อยๆ มีสภาวะให้ดูให้รู้อยู่ตลอด มีสภาวะ

การเปลี่ยนแปลงเกิดดับตลอดเวลา วิปัสสนานั้นจะว่างเปล่า
ไม่มีอะไรให้ดูเลยไม่ได้ ต้องมีรูปนามให้ดูให้ตลอด มีรูป
นามป้อนให้เห็นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา สติต้องอยู่กับรูปนาม
อยู่ตลอดไป ถ้าตกจากรูปนามตกจากปรมัตถ์ ก็ไปสู่บัญญัติก็
ไปอีกทางหนึ่ง บัญญัติไม่ใช่การเดินทางของวิปัสสนา ทางเดิน
ของวิปัสสนาต้องเป็นปรมัตถ์ ต้องเป็นรูปนาม

แต่คนที่ฝึกหม่ๆ ยังดูรูปนามไม่เป็นก็ต้องเอาบัญญัติ
มาใช้ก่อน เช่นเราเพ่งดูมหายใจเข้าออก ดูเข้าออก ยาวสั้น
ดูพองดูยุบ ดูท่าทางรูปร่างของกาย ยืน เดิน นั่ง นอน เรา
เอามาใช้ก่อนเพื่อให้เรามีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว เกิดสมาธิตัด
บัญญัติภายนอกออกไป เสร็จแล้วจึงเชื่อมเข้ามาสู่สภาวะ

ปรมัตถ์ มาสู่ความไหว ความตึง ความแข็ง ความอ่อน ความ
สบาย ไม่สบาย ทิ้งรูปร่างคือสมมติหรือ ความหมายออกไป มา
ดูความรู้สีกที่กาย มาดูความู้สึกที่จิตใจ มาดูผู้รู้ มาดูความรู้สึก
เรยกวามาสู่ปรมัตถ์ได้ ก้ไม่จำเป็นต้องเอาบัญญัติ คัด
บัญญัติออกไปให้หมด
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2006, 12:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



tree3_size400.jpg


เวลาจิตจะไปสู่บัญญัติคือคิดไปสู่เรื่องราว ก็รู้ความคิด
ตัดบัญญัติออกไป ให้มารู้ที่กายแค่ความไหว เมื่อรู้ความไหวที่
กายก็รู้จิต ทำให้ไม่ขยายออกไปเป็นรูปร่างสัณฐาน ถ้าดูกาย
อย่างเดียว เพ่งไปที่กายก็จะขยายเป็นรูปร่างสัณฐานเป็น
บัญญัติขึ้นมาอีก ดังนั้นต้องดูเบาๆ ถ้าเพ่งไปจะหนักไปจุดใด

จุดหนึ่ง จะขยายออกเป็นรูปร่างเป็นบัญญัติ ดูจึงต้องระลึก
ให้มันสัมผัสกับจิต ดูความรู้สึกที่กายพร้อมดูจิตใจ ดูจิตใจ
พร้อมดูกาย ให้มันอยู่ในกรอบที่สัมผัสกัน ควบกันไปทั้งหมด
ทั้งรูปต่างๆ นามต่างๆ มันจะดูแค่รูปเดียวนามเดียวไม่ได้
ถ้าไปจ้องแค่รูปเดียว เดี๋ยวมันก็ไปบัญญัติ มันต้องรับ

อารมณ์ต่างๆ รับสภาวะปรมัตถ์ต่างๆ วิปัสสนาจึงมิใช่ระลึก
แค่อารมณ์เดียวต้องระลึกที่รูปต่างๆ นามต่างๆ แล้วแต่ละ
รูปอันใดเกิดก็รู้ นามอันใดเกิดก็รู้ เกิดตรงไหนก็รู้ตรงนั้นดับ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2006, 12:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ตรงไหนก็รู้ไปตรงนั้น ดูอันใหม่ ดูอันใหม่ เรื่อยไป เรื่อยไป
หมดไป หมดไป หมดไป ให้ได้ปัจจุบันสั้นที่สุด ชั่วขณะนิดเดียว
แว๊บเดียวไม่ต้องไปพยายามไปคิดนึกอะไร
หากกลัวจะไม่นามรู้เวลารับรูปนามอันใดก็ไปคิดนึก นี่คือรูป
นี่คือนาม นี่ไม่เที่ยงนะ นี่เป็นทุกข์นะ อย่างนี้มันไปสมมติหมด

ที่จริงรู้เพียงแค่นิดหนึ่งก็พอแล้ว แล้วก็รู้อันใหม่ รู้อันใหม่ แต่
บางทีเราเห่วงกลัวจะไม่รู้ กลัวไม่รู้จักรูปนามก็ไปคิดเอาเองว่า
นี่นะคือรูป นี่นะคือนาม นี่คือรูปนามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อย่าง
นี้เราคิดเอาเอง ก็เป็นความหมายไปหมด เป็นชื่อหมด คำว่า
รูปที่เกิดขึ้นในใจ ก็เป็นภาษาเป็นชื่อ เป็นสมมติ คำว่านามก็
เป็นสมมติ รูปจริงๆ ไม่ใช่ชื่อ นามจริงๆ ไม่ใช่ชื่อแต่เป็น
สภาวธรรมที่ไม่มีชื่อ ถ้าเราไปเรียกชื่อก็เป็นสมมติ

ผู้ที่รู้จักรูปนามจริงๆ อาจจะพูดไม่ถูก ว่านี่เรียกรูปนี่
เรียกว่านาม นี่เรียกว่าเวทนา สัญญา แต่เขาได้รับประโยชน์
ที่เขารู้แจ้ง รู้สภาวะจริงๆ ละกิเลสได้แต่พูดไม่ถูก เหมือนกิน
ข้าวไป กินอาหารอะไรต่างๆ ก็บอกไม่ถูกว่าชื่ออาหารอะไร แต่
อิ่มสบายแล้ว หรือกินยาที่ถูกต้องไป ไม่รู้ว่ายาชื่ออะไร แต่
กินเป็นกินถูกต้องโรคหาย ประโยชน์จริงๆ มันอยู่ที่หายจาก
โรคภัยไข้เจ็บ หรือประโยชน์จากได้อิ่มหนำสำราญ ไม่ใช่
ประโยชน์ตรงที่ว่าเราเรียกชื่อมันได้

ดังนั้นเราปฎิบัติอย่าไปมัวเรียกชื่ออยู่ แต่ก็อดไม่ได้ ถ้า
มันเป็นขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้จงใจ ตามที่จิตมันคอยจะ
นึกถึงปริยัติ มันก็คอยจะพูดว่านี่เป็นกุศล นี่เป็นเวทนา สัญญา
แต่เราอย่าไปตั้งใจพูดเสียเอง หรือตั้งใจเรียกเสียเอง แต่ถ้า
มันเรียกเองก็รู้มันซะ รู้จิต รู้ความตรึกนึก รู้ความจำ มันก็จะ
สลัดสมมติออก ไม่เพลินไปคิดให้ยาว ถ้าจิตเผลอไปตรึกไปนึก
ก็จะไปสู่บัญญัติ ก็ระลึกรู้ที่ความปรุงแต่งรู้ความตรึก
ความนึกมันก็ตัดบัญญัติออกไปไม่ยาวไกล แต่ถ้าเราไม่เข้าใจไปทำเสีย
เอง ไปตั้งใจที่จะเรียกเสียเอง อย่างนี้ก็เป็นบัญญัติหมด

วันนี้ก็พูดเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาจะต้องทำให้ถูกตรง
ต่อสภาวะปรมัตถ์ โดยเฉพาะการกำหนดจิต ให้จิตรู้จักจิตได้
ต้องทำอย่างไร ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์พอสมควร ขอความ
สุขความเจริญในธรรม จงมีแก่ทุกท่านเทอญ

จบเรื่องจิตคืออะไร

Image
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2006, 9:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



8c11-350.jpg


นิวรณ์ ๕ ( ปฏิบัติการทางจิต หน้า ๕๓-๖๔ )


ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา กยิรา มาลา คุเฬ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ
ช่างร้อยดอกไม้ ร้อยพวงมาลัยได้มากมาย
จากกองดอกไม้กองหนึ่งฉันใด
คนเราเกิดมาแล้วก็ควร ใช้ชีวิตชาติหนึ่งนี้
สร้างความดีงามให้มากฉันนั้น

นมัตถุ รัตตนตยัสสะ ขอถวายความนอบน้อมแด่
พระรัตนตรัย ขอความผาสุกความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติ
สัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต่อไปนี้จะได้ปรารถธรรมะตาม
หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา

ขอให้ได้ตั้งใจฟังด้วยดี เจริญสติสมาธิในการฟังธรรม
โดยเฉพาะผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งวันนี้
เป็นวันที่สองของการเข้าอบรมปฏิบัติ ถ้าหากว่าได้ใช้ความ
พากเพียรในการเจริญสติติดต่อกัน ก็เริ่มมีผลของการปฏิบัติ
เกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ในช่วงระยะวันแรกๆ ของการปฏิบัติ
นั้น ก็ย่อมจะมีนิวรณ์ต่างๆ เกิดขึ้น นิวรณ์แปลว่า เครื่องกั้น

ความดี มีอยู่ ๕ ประการด้วยกันที่จะเกิดขึ้นในช่วงปฏิบัติแรกๆ
แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้มีความเข้าใจ มีความฉลาด ก็สามารถ
เอานิวรณ์เหล่านั้นเป็นประโยชน์ สิ่งที่จะกั้นความดีก็กลาย
เป็นประโยชน์ต่อความดี ต่อการเจริญสติ คือระลึกรู้นิวรณ์ที่
กำลังปรากฏ เพราะว่านิวรณ์นี้เป็นสภาวะ เป็นปรมัตถธรรม

คือเป็นธรรมที่ปรากฏอยู่จริงๆ ไม่ใช่ตัวตน สักแต่ว่าเป็น
ธรรมชาติ หรือเป็นนามธรรม ที่มีสภาพเปลี่ยนแปลง เกิดดับ
บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น นิวรณ์ที่กำหนดรู้ ก็จะ
กลายเป็นข้อมูลเป็นหลักฐานที่จะป้อนให้เกิดสติปัญญาได้ หรือ
อย่างน้อยก็เป็นเครื่องฝึกจิต หรือว่า เป็นธรรมชาติ
ที่จะป้อนให้เกิดสติปัญญา เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติอย่าได้
รังเกียจนิวรณ์
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2006, 9:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



bd3d-400.jpg


นิวรณ์มีอยู่ ๕ ประการคือ
๑.กามฉันทะนิวรณ์ เครื่องกั้นความดี คือ ความ
ต้องการ ติดใจ ในกามคุณอารมณ์

กามะ แปลว่า ความใใคร่ความต้องการ กามคุณอารมณ์
ก็คือ อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา อารมณ์ที่น่าใคร่น่า
ปรารถนาก็คือ รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัส
ที่ยวลใจ อันนี้เป็นอารมณ์อันเป็นที่ตั้งให้เกิดความใคร่ ความ
ต้องการ ความติดใจ ความกำหนัดยินดี ตัวกามะ คือความ
ต้องการติดใจนั้นเกิดขึ้นที่ใจ ส่วนอารมณ์นั้นก็มาปรากฏทางตา ตา
หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้ทางใจที่เป็นส่วนธรรมารมณ์ ที่จิต
ตรึกนึกขึ้นก็สามารถจะทำให้เกิดกามฉันทะได้

ฉะนั้น ในชีวิตของปุถุชน กิเลสประเภทนี้ย่อมจะเกิด
ขึ้น ซึ่งเมื่อมาเก็บตัวเก็บอารมณ์ ก็ย่อมจะผุดขึ้นมาได้ ผู้ฉลาด
ก็เอานิวรณ์เป็นกรรมฐาน มีสติสัมปชัญญะกำหนกรู้ อาการ
ลักษณะของกามฉันทะทีเกิดขึ้นในจิต มันมีอาการมันมีปฏิกิริยา
มีความรู้สึกอย่างไรในจิต ก็กำหนกดูไป ดูว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
อย่างไร เขากำลังแสดงอาการเป็นไปอยู่ หรือเขาจางคลายลง
หรือเขาหมดไปอย่างไร เอาสติสัมปชัญญะเข้าไปดูไปรู้ กาม
ฉันทะนิวรณ์ก็ช่วยสร้างสติสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นมีขึ้นได้

กามฉันทะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็เกิดมาจากความดำริ
หรือความคิด เรียกว่า กามวิตก การตรึกไปในอารมณ์ที่
น่าใคร่น่าปรารถนา กามฉันทะนิวรณ์เกิดขึ้นเกิดจากดำริ
เกิดจากความปรุงแต่ง การตรึกนึกคิดขึ้น เพราะฉะนั้น
สติสัมปชัญญะ ถ้ารู้เท่าทันต่อกระแสของจิต คือกำลังตรึกนึก
ปรุงแต่งในแง่มุมต่างๆ สติรู้เท่าทัน ถ้าไม่มีความดำริหรือ
รู้เท่าทันที่จิตจะดำริ มันก็สลายไป กามฉันทะก็เกิดขึ้นไม่ได้

หรือว่าจิตเผลอปรุงแต่งตรึกนึกดำริไปมาก กามฉันทะนิวรณ์
เกิดขึ้น ก็กำหนดรู้อาการดูปฏิกิริยาที่มันเกิดขึ้นในกระแสจิต
ดูสภาพเขาเป็นไปต่างๆ ว่าเขาเกิด เขาจาง หรือว่าเขาแรง
ขึ้นหรือเขาหมดไป การกำหนดรู้ก็คือ พยายามรู้อย่างวางเฉย
รู้อย่างไม่ไปร่วมวงด้วย คือไม่ไปร่วมมีปฏิกิริยาด้วย ให้ตัวรู้
สภาพรู้นั้นแยกตัวออกมา เป็นเพียงผู้ดู เป็นเพียงผู้รู้ รู้อย่าง
วางเฉยอยู่
 
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2006, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒ พยาปาทะนิวรณ์ ความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย
ความไม่พอใจ ความคับแค้น มีปฏิฆะ ไม่ชอบ ไม่พอใจ เกิดขึ้น
เมื่อประสบอารมณ์ที่ไม่พอใจ ขาดสติในการที่จะระลึกรู้อารมณ์
ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เผลอตัวปรุงแต่งไปในความหมาย ไปในสมมติไปในความเป็น

สัตว์เป็นบุคคล ก็เกิดปฏิฆะ ความไม่พอใจ หรือว่าไม่ได้
ประสบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ว่า ตรึกนึกขี้นมา
เอง นึกย้อนหลังไป ในเรื่องที่ผ่านไปแล้วบ้าง ในเรื่องที่ยังมา
ไม่ถึงบ้าง แล้วก็เกิดความไม่พอใจในเรื่องนั้นๆ ที่ว่าเรื่องไม่ดี
อย่างนั้น คนไม่ดีอย่างโน้น คือคิดไปว่าคนนั้นเคยทำไม่ดีกับ
เราหรือกำลังทำไม่ดีกับเรา หรือจะทำอะไรไม่ดีกับเรา หรือ

ทำไม่ดีกับคนรักคนเป็นมิตรกับเรา หรือเขาไปทำดีกับคนที่เรา
ไม่พอใจ เหล่านี้ ก็ทำให้เกิดปฏิฆะความไม่พอใจหรือแม้แต่ไม่
พอใจในตัวของตัวเอง อยากจะทำให้มันได้อย่านั้นอย่างนี้ พอ
มันไม่ได้อย่างใจก็ไม่พอใจ

ฉะนั้น สติก็ต้องระลึกรู้ความไม่พอใจ ความโกรธ ความ
แค้น ความอาฆาตมาดร้ายที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็น
กรรมฐาน ป้อนให้เกิดสติ เกิดปัญญา เกิดความฝึกฝนของจิต
จิตเมื่อได้รับการฝึกฝน จิตได้สร้างสมรรถภาพ จิตได้มีการฝึก
ความสามารถขึ้นตามลำดับ ฉะนั้น เมื่อเกิดนิวรณ์ในข้อนี้ ก็

อย่าไปหักล้างด้วยความคิดที่จะทำให้มันหายไป ด้วยการไป
กำจัดหรือไปเกลียดชัง แต่ให้ฝึกเป็นเพียงผู้ดู ผู้รู้อยู่เท่านั้น
อยากจะเกิดก็เกิด ก็ดูไป จะเกิดขึ้น แรงขึ้น เบาลงหรือหมดไป
เรียนรู้ศึกษาสภาพธรรมเหล่านี้อย่างปล่อยวาง วางเฉย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2006, 10:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๓. อุทธัจจะกุกุจจะนิวรณ์ ได้แก่ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ
อุทธัจจะ แปลว่าฟุ้งซ่าน ก็คือ จิตที่ซัดส่ายไป
ในอารมณ์ต่างๆ รับอารมณ์ไม่มั่น มันส่ายในอารมณ์ไปหมด
กุกุจจะ ก็คือ รำคาญใจ หงุดหงิด เช่น จะทำให้
ได้แล้วไม่ไได้อย่างใจ มันก็เกิดหงุดหงิด หรือรำคาญในสิ่งที่ไม่
ดีที่ตัวเองทำไปแล้วบ้าง รำคาญในความดีที่ยังไม่ไดทำบ้าง

โดยเฉพาะความฟุ้งซ่านที่มันเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติ ก็มัก
จะเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกไม่พอใจ อยากจะสงบ ความฟุ้งซ่าน
มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก็เกิดมาจากความคิด เราปล่อยให้
มันคิดซะมากมาย ปล่อยจิตเผลอคิดไปในเรื่องอดีต อนาคต

คิดไปต่างๆ ความฟุ้งก็เกิดขึ้นได้ หรือว่าความฟุ้งเกิดมาจาก
การปฏิบัติที่มีตวามทะยานอยาก อยากจะสงบ อยากจะสำเร็จ
อยากจะได้อย่างนั้น ให้มันได้อย่างใจ ความอยากนี้ก็จะไปบีบ
ไปเร่ง ไปดัน ก็ทำให้มันฟุ้ง

เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะต้องวางฐานจิตใจของ
ตนเองให้เป็นปกติ คือ อย่าทำด้วยความอยาก ให้หัดทำไป
เรื่อยๆ ปฏิบัติธรรมให้เป็นปรกติ แล้วก็จะไม่ฟุ้ง ทีนี้ถ้ามันฟุ้ง
ขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ความฟุ้งซ่านที่ปรากฏ มัน
มีอาการฟุ้ง มีอาการที่กำลังแสดงอยู่ ก็ให้กำหนดดูว่ามันมี
ปฏิกิริยาอาการอย่างไร แต่ว่ากำหนดดูอย่างปล่อยวาง ตัวดู

นั่นแหละให้มันวาง ไม่เข้าไปร่วมฟุ้งกับเขาด้วย ตัวดูตัวรู้นี่ จะ
รู้อย่างวางเฉย ไม่ฟุ้งด้วย อยากฟุ้งก็ฟุ้งไป ฟุ้งก็ดีจะได้ดูว่ามี
ลักษณะอาการอย่างนี้ๆ ฉะนั้นเมื่อมีความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด
เกิดขึ้นให้มีสติกำหนดรู้อาการต่างๆ เหล่านี้ไปด้วยความวางเฉย
ความฟุ้งซ่านก็กลายเป็นประโยชน์ เป็นกรรมฐาน สร้าง
สติสัมปชัญญะไห้เกิดขึ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2006, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๔. ถีนนะมิทธะ ความหดหู่ท้อถอยใจในอารมณ์ ความ
หดหู่ง่วงเหงาหาวนอน ท้อถอยท้อแท้ในอารมณ์ย่อมเกิดขึ้น
กับนักปฏิบัติ โดยเฉพาะข้อนี้จะมาก่อนเมื่อเราเก็บตัว
ปฏิบัติใหม่ๆ นั่งไปแล้วมันง่วง นั่งง่วงนั่งหลับ สัปหงกอยู่ นั่ง
ที่ไหนก็ง่วง ต้องกำหนดพิจารณาดูว่า มันเกิดขึ้นจากเหตุอะไร

ความอ่อนเพลียของร่างกายหรือเปล่า เกิดจากความเมา
อาหารหรือเปล่า ถ้าร่างกายไม่ได้อ่อนเพลีย พักผ่อนก็พอเพียง
อาหารก็ย่อยหมดแล้ว เมื่อยังมานั่งง่วงอีก ก็เป็นเรื่องนิสัย เป็น
เรื่องกิเลส เป็นความเคยชินของกิเลส ก็เกิดขึ้นได้

วิธีแก้ไขอาการง่วงนอน
วิธีแก้ไข หากมันเกิดความง่วงก็ให้ลืมตาปฏิบัติ ถ้า
เรานั่งหลับตาไป รู้สึกว่าสู้ไม่ไหวนั่งหลับตาจะสัปหงก ก็ให้
ลีมตาขึ้น ลืมตาเจริญสติ ทำความระลึกรู้สึกตัวในขณะลืมตา
หรือว่าลุกขึ้นเดิน ถ้านั่งแล้วง่วงก็ให้ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม ถ้า
เดินแล้วยังรู้สึกง่วงก็ให้มองแบบสบายๆ ให้ทอดสายตา
มองไปข้างหน้าสบายๆ มองเป็นธรรมดา บางทีเราจดจ้องที่
เดียวมันง่วง เราก็ปรับ มองแบบธรรมชาติ มองแบบธรรมดา

ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะปฏิบัติเดินหน้า ทั้งๆ ที่ง่วงอยู่ไม่หลบไม่หนี
ไม่ใช้อุบายอื่นก็ได้ ก็คือ การกำหนดรู้ อาการของความง่วงที่
เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่มันท้อถอยท้อแท้ สติสัมปชัญญะเข้าไป
ระลึกสังเกตอาการของความท้อถอย หรือว่าทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น

มันง่วงมันมีทุกข์ตรงไหน เช่นสมองมันล้ามึนซึม เอา
สติสัมปชัญญะเข้าไปกำหนดรู้ที่มันล้าที่มันทุกข์ หรือมันจะ
มึนซึมที่ศรีษะ ก็กำหนดดูไป ดูไป ดูไปเรื่อยๆ จิตรวมตัวเป็น
สมาธิก็จะทำลายอาการของความง่วงนั้นกระจายไป แล้ว
เวลากำหนดต้องพยายามสร้างความตื่นตัวหรือถ้าหากว่าเรา
นั่งคอยแต่สัปหงกง่วง วิธีแก้อีกอย่างคือ นั่งระวังตัวนั่งระวัง
ตัวไว้

โดยเราตั้งใจว่า เราจะต้องรู้ตัวทุกขณะเวลาที่กานจะ
เคลื่อนไป ตั้งใจว่าเราจะต้องรู้กายที่มันขยับไปดคลื่อนไป กาย
จะเคลื่อนโดยที่เราไม่รู้ไม่ได้ ตั้งกติกาไว้ว่ากายจะเคลื่อนไหว
โดยไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้ จะขยับตัวไปต้องรู้ ตัวจะเอียงไปต้องรู้
จะพยายามรู้ตัว ทรงตัวอยู่นิ่งๆ กายมันเคลื่อนเมื่อไหร่จะต้องรู้

อย่างนี้ก็ทำให้ตื่นตัวได้ เหมือนเราอยู่ที่หมิ่นๆที่สูงๆ แบบนั้นนะ
ถ้าเรานั่งหลับมันก็ตกลงไป และความกลัวมันก็จะคอยระวังตัว
ไม่ให้เผลอสัปหงก นี่ก็เป็นวิธีหนึ่ง สรุปแล้วก็คือ ใช้หลายๆวิธี

ลุกขึ้นเดินจงกรม ลืมตาปฏิบัติ ทำจิตใจให้สว่าง พิจารณาใน
ธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง นำมาขบคิดพิจารณา หรือเดินหน้าไป
เลยก็คือกำหนดดูอาการของจิตที่มันกำลังง่วงกำลังท้อถอย
มีปฏิกิริยาทางจิตอย่างไร ทางกายอย่างไร มันเป็นทุกข์มันมึน
มันซึม มีทุกข์เวทนาเกิดขึ้นอย่างไรตรงไหน ก็ให้กำหนดดูไป

โดยเฉพาะกำหนดสภาพของจิตที่มีความเคลื่อนตัว
หมดความรู้สึกมีความรู้สึก คือจิตที่หลับๆตื่นๆ เมื่อ
สติสัมปปัญญามีกำลังเข้มแข็งขึ้น ก็สามารถกระจายความ
ง่วงให้สิ้นไปได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 22 ต.ค.2006, 10:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๕.วิจิกิจฉานิวรณ์ ความสงสัยลังเลใจ ไม่ตกลงใจว่า
อย่างนั้นจะถูก หรือย่างนี้จะถูก พระพุทธเจ้า พระธรรม พระ
สงฆ์ จะมีจริงไหม การปฏิบัติแบบนี้มันเป็นเรื่องดับทุกข์ได้
จริงหรือเปล่า ก็ถือว่าเป็นนิวรณ์ ถ้ามัวสงสัยก็เดินไปไหนไม่ได้
ปฏิบัติก้าวไปไม่ได้ เหมือนคนที่ไปถึงทางแยกสี่แพร่งก็ไม่รู้จะ
ไปทางไหนดี ก็เลยยืนงงอยู่ตรงนั้น วิธีแก้ไข ก็คือ

กำหนดดูความสงสัยที่กำลังปรากฏ ความสงสัยเป็นสภาพธรรม
ชนิดหนึ่ง เป็นอกุศลธรรมเป็นนิวรณ์แต่ก็เป็นปรมัตถธรรม
เกิดขึ้นในดวงจิต สติระลึกรู้ ความสงสัยก็ขาดลง ถ้า
เผลอมันสงสัยอีก ก็ระลึกรู้อีก

หลักการของวิปัสสนานั้นก็ถือหลักไว้ว่า สภาวธรรม
อันใดกำลังปรากฏ ก็ให้กำหนดรู้สภาวธรรมอันนั้น สภาวะก็คือ
สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตธรรมที่กำลังปรากฏเรียกว่าปัจจุบัน
ปรากฏขึ้นมาก็ระลึกรู้ ระลึกพิจารณาสังเกตสภาวะที่กำลัง
ปรากฏ ฉะนั้น ในกระแสจิตมันมีสภาวธรรมอันไหนปรากฏก็
กำหนดรู้ เช่นมีราคะ กำลังปรากฏก็ระลึกรู้ มันมีโทสะปรากฏ
ก็กำหนดรู้ มันมีความฟุ้งซ่านรำคาญใจปรากฏก็กำหนดรู้ การ
กำหนดรู้สภาวธรรมเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการศึกษาธรรมะ
เป็นการเจริญสติในข้อธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติที่ระลึกรู้
ธรรมในธรรม

นิวรณ์ก็เป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมฝ่ายอกุศล ธรรมะก็
คือธรรมชาติ คำว่าธรรมชาติก็คือ สิ่งที่ปฏิเสธความเป็น
สัตว์เป็นบุคคล แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์
เรียกว่าธรรมชาติ ธรรมชาตินี้มันก็มีทั้งที่เป็นอกุศล คือไม่ดีมี
โทษให้ผลเป็นความทุกข์ และมีทั้งธรรมชาติที่เป็นกุศล คือเป็น
ธรรมชาติที่ดี ให้ผลเป็นความสุข คือจะว่าเป็นบุญก็ไม่ใช่เป็นบาปก็ไม่ใช่

เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นผลของบุญของบาป และสภาพ
ธรรมที่เรียกว่า รูปธรรม เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องกำหนดรู้ เช่น สี เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านี้เป็นรูปธรรม แต่ต้องกำหนดรู้ เสียง
ดังมากระทบหู ได้ยินก็เกิดขึ้นสติก็ระลึกรู้ กลิ่นมากระทบจมูก
รู้กลิ่นเกิดขึ้นสติก็ระลึกรู้ เย็นมากระทบ ร้อนมากระทบ แข็ง
ปรากฏ ไหวปรากฏที่กายก็กำหนดรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะ เย็น
ร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง เป็นรูปธรรมแต่ละอย่าง

ความรู้สึกหรือว่าธาตุรู้หรือจิตเป็นนามธรรมเพราะฉะนั้น
การปฏิบัติจะต้องรู้สภาวธรรมที่ปรากฏ สภาวธรรมที่เป็น
อกุศลเป็นสิ่งไม่ดี ก็ต้องกำหนดพิจารณาไป ดูอาการเหล่านั้น
ไปมันจะฟุ้งก็ฟุ้งไป จะดูอย่างปล่อยวางเฉย สักแต่ว่า ไม่
ว่าอะไร จะดูซิว่ามีอาการลักษณะอย่างไร มันจะเกิดขึ้น
เปลี่ยนแปลง ดับไป บังคับไม่ได้ แต่ว่าในขณะที่กำหนดดูนิวรณ์ไปนั้น

ก็ไม่ใช่บังคับดูนิวรณ์เท่านั้น ก็ดูสลับอย่างอื่นได้ เช่น
สลับการดูลมหายใจ สลับการดูความรู้สึกที่กาย สลับการระลึก
รู้นึกคิด สลับการระลึกรู้การเห็น การได้ยิน เป็นต้นได้ เช่น ขณะ
หนึ่งก็ไปสังเกตความฟุ้งซ่านที่กำลังปรากฏ อีกขณะหนี่งก็รู้
ความตรึกนึก รู้ความไหวที่กาย ไม่ได้จดจ้องบังคับอย่างเดียว

สำหรับผู้ฝึกใหม่ๆ สติยังไม่ช่ำชองก็กำหนดรู้เป็นอย่างๆ
ไปก่อน รู้จักสภาพธรรมเป็นอย่างๆ ในเมื่อนิวรณ์เหล่านี้เกิด
ขึ้น ก็ให้ยอมรับมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกคน
ไม่มากก็น้อย ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่เฉพาะแต่เราเท่านั้น
ถ้าเกิดก็รู้ไปไม่ท้อแท้ท้อถอย ถึงมันจะท้อบ้างแต่เราก็ไม่ถอย
เพียรปฏิบัติทั้งๆ ที่มันไม่สงบ ทั้งๆ ที่มันฟุ้งก็ทำไป ปฏิบัติไป
นั่งไม่ติดก็เดินจงกรม เดินบ้าง นั่งบ้าง ถ้าเราปฏิบัติต่อเนื่องซัก
๓ วันผ่านไปแล้ว เราก็จะผ่านสิ่งเหล่านี้ได้ ที่เราเคยง่วงก็จะ
คลี่คลายไป ที่มีความฟุ้งซ่านก็จะคลี่คลายไป นิวรณ์เหล่านี้ก็
จะคลี่คลายหมด

ฉะนั้น ระยะนี้เราก็ต้องสู้ไป คือกำหนดรู้ไปไม่ยอมล้ม
ถ้าเป็นนักมวยถึงจะโดนเขาต่อยอยู่เรื่อยๆ ก็แข็งใจไม่ยอม
แพ้ยอมพับให้กรรมการเขานับเสียก่อน แข็งใจสู้ ไม่ยอมนอน
ลงไปง่ายๆ จะเจ็บตัวอย่างไรก็สู้นะ แล้วในที่สุดเราก็จะ
สามารถเอาชนะได้

เพราะฉะนั้นก็ขอฝากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติว่า
ให้วางพื้นฐานของการปฏิบัติ อย่าให้มีความอยาก ให้เคลียร์
จิตใจของตนเองให้เป็นปกติที่สุด แล้วจะทำให้ไม่ไปสู่ความ
ฟุ้งซ่าน ทำความเพียรให้ต่อเนื่องกันไปไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่
ในอิริยาบถย่อยทั้งหมด ต้องทำความระลึกตัวไว้เสมอ
มิเช่นนั้นกิเลสมันจะแทรกตัวเข้ามา ต้องรู้ไว้ตลอด ให้ละเอียด
ทุกระยะ สติปัญญาของเราก็จะค่อยเจริญไปตามลำดับ บัดนี้
ก็เห็นว่าพอควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอ
ความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่านเทอญ

จบเรื่องนิวรณ์ ๕
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 29 ต.ค.2006, 10:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ชั้นเชิงการปฏิบัติทางจิต
(จากหนังสือปฏิบัติการทางจิต หน้า 26- 51

นมตฺถุ รตฺตนตยสฺส ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขอความผาสุก ความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติทั้งหลาย ต่อไปนี้จะได้ปรารถธรรม ตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แด่ทุกท่านที่ประพฤติปฏิบัติธรรม

ตอนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ต่างก็มีสภาวะ มีปัญหามีสิ่งต่างๆอะไรเกิดขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ๆส่วนมากก็จะเกิดนิวรณ์มารบกวนจิตใจ เราจะแก้ไขได้อย่างไร

นิวรณ์แปลว่า เครื่องกั้นความดี หากเกิดขึ้นก็ทำให้ความดี คือสติ สมาธิ ปัญญา ถูกตัดรอนไป เพราะว่านิวรณ์นั้น เป็นธรรมฝ่ายอกุศล คือฝ่ายไม่ดี ส่วนสติ สมาธิ ปัญญา
เป็นธรรมฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายดี เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้น ก็จะมาทำลายมาตัดรอนสติ สมาธิ ปัญญา
ในการเจริญภาวนาไป

แต่หากว่าเราเป็นผู้ฉลาด ปฏิบัติตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ ก็สามารถจะเอานิวรณ์มาเป็นประโยชน์ได้ แม้ว่าแม้ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายอกุศลก็ตาม ถ้าฉลาดก็สามารถเอาอกุศลเหล่านั้น มาเป็นคุณมาเป็นประโยชน์ได้

เป็นคุณได้อย่างไร ก็เป็นคุณโดยที่เอามาเป็นกรรมฐาน เมื่อนิวรณ์เกิดขึ้นก็เอานิวรณ์มาเป็นกรรมฐาน กรรมฐาน คือ ที่ตั้งของสติ พอมาเป็นที่ตั้งของสติ มาเป็นที่อาศัยระลึกรู้ของสติ คือเจริญสติ ให้ไประลึกรู้นิวรณ์ต่าง ๆ ที่กำลังปรากฏ นิวรณ์เหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ หรือเป็นที่ตั้งของสติ สติตามระลึกรู้ในนิวรณ์ต่าง ๆ ที่กำลังปรากฏ เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สติตามระลึกรู้เท่าทันนิวรณ์ หรือธรรมที่กำลังปรากฏอยู่เนือง ๆ นิวรณ์จะเกิดขึ้นกับผู้ที่เริ่มฝึกฝนอบรมใหม่ ๆ

นิวรณ์ มี ๕ ประการ คือ

•กามฉันทะนิวรณ์ ได้แก่ ความกำหยัดยินดีในกามคุณ
อารมณ์ จิตใจเลื่อนไหล ใฝ่ฝัน ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ที่น่าใคร่น่าปรารถนา
• พยาปาทะนิวรณ์ ได้แก่ ความพยาบาทอาฆาต มาดร้าย
เกิดปฏิฆะ ความคับแค้นในจิตขึ้นมา
•อุทธัจจะกุกุจจะนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ฟุ้งซ่านก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง รำคาญใจ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ฟุ้งซ่านด้วยรำคาญใจด้วย ฟุ้งซ่านก็คือ ความซัดส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ รำคาญก็คือ หงุดหงิด
•ถีนมิทธะนิวรณ์ คือ ความหดหู่ท้อถอย ง่วงเหงาหาวนอน
•วิจิกิจฉานิวรณ์ ได้แก่ ความสงสัยลังเลใจ

นิวรณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ สำหรับปุถุชนที่จิตยังไม่มีสมาธิมากไม่มีสมาธิพอหรือสติสัมปชัญญะยังไม่มีกำลังพอ ก็มีนิวรณ์เกิดขึ้นได้เสมอ[url][/url][img][/img]
อ้างอิงจาก:
[list=][/list]
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 29 ต.ค.2006, 10:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

วิธีแก้นิวรณ์

ในส่วนของการเจริญสมถะ ก็มีอุบายได้หลายอย่าง แต่
ในที่นี้จะกล่าวเน้นไปในส่วนการเจริญวิปัสสนา คือแก้ในทาง
ของวิปัสสนา การแก้ด้วยวิปัสสนานั้นมีหลักวิธีอยู่ว่า เมื่อสิ่ง
ใดเกิดขึ้นให้กำหนดรู้สิ่งนั้น นิวรณ์ใดก็เจริญสติระลึกรู้
นิวรณ์อันนั้น ที่กำลังปรากฏ การการเข้าไปรู้จะต้องมีท่าทีที่ถูกต้อง
คือรู้อย่างปล่อยวางวางเฉย รู้อย่างปรกติมิใช่รู้อย่างเกลียดชัง
ไม่ใช่รู้อย่างผลักไส ไม่ใช่รู้ด้วยการบังคับ ไม่ใช่รู้ด้วยการ
อยากให้มันหายไป หรืออยากให้มันเป้นอย่างนั้นอย่างนี้

จะต้องวางท่าทีที่ถูกต้อง คือระลึกรู้ด้วยความปล่อยวาง
ด้วยความวางเฉย ระลึกรู้ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่ยินดี
ไม่ยินร้าย นี้เป็นส่วนสำคัญที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ตัวรู้ใจ รู้การ
ปฏิบัติว่าเจริญสติเข้าไประลึกรู้ตรงไหม ถูกต้องไหม ตรง
หมายถึงตรงตัวของนิวรณ์ ของสภาพธรรมนั้นๆที่กำลัง
ปรากฏเรียกว่าเข้าไปจรดลักษณะสภาวะ ของธรรมชาติ
จรดอาการปฏิกิริยาความจริงตามธรรมชาติของสิ่งนั้น ตรงตัวถูกต้อง
พร้อมการวางจิตปรกติ เป็นกลางได้

จะต้องคอยสังเกตดูจิตใจตนเอง และคอยปรับคอย
ผ่อนให้ถูกต้องอยู่เสมอ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความ
เปลี่ยนแปลง มีความไม่คงที่ ตัวสติสัมปชัญญะก็เป็นธรรม
ชาติที่ต้องเปลี่ยนแปลงเกิดดับไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้น
จะต้องมีการเฝ้าระวัง ต้องคอยปรับคอยดูรู้เท่าทันอยู่เสมอ
คอยสังเกตคอยพิจารณาอยู่ตลอดเวลา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 29 ต.ค.2006, 10:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

หลักการทางวิปัสสนาไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ไม่ต้องไปคิด
นึกหาอุบายอะไรทั้งหมดเพียงแค่ระลึกรู้สิ่งต่าง ๆ ที่กำลัง
ปรากฏด้วยความปรกติเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ข้อไหน
เกิดขึ้นก็เข้าไปรู้ตัวนั้น ดูอาการดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขาจางลง
เขาคลายลงหรือเขาสลายหายไป ไม่ว่าจะเป็นราคะ ความรัก
ความใคร่ความกำหนัดยินดี ก็เข้าไปรู้อาการความรู้สึกที่กำลัง
ปรากฏ มันเกิด มันแรงขึ้น หรือมันเบาลง จางลง หรือมัน
คลายลงหรือสลายหายไป

โดยปรกติแล้วเมื่อสติสัมปชัญญะเข้าไปดูเข้าไปรู้เขา
ก็จะแก้ไขกันเองโดยธรรมชาติ เรียกว่าเอาธรรมฝ่ายดีเข้าไป
สลับ การเข้าไปรู้ นั้นคือเข้าไปเกิดแทน แต่ว่าความรู้สึกของ
ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่หาย เข้าไปดูแล้วก็ยังไม่หาย
เช่น เราเกิดโทสะ เกิดความแค้น เกิดความรู้สึกไม่พอใจ

สติสัมปชัญญะเข้าไปดูลักษณะว่ามันยังโกรธอยู่ ยังคับแค้นอยู่
ยังไม่สบายใจ ก็ต้องพิจารณาว่า ดูนั้นดูอย่างปล่องวางไหม
ดูแบบวางเฉยไหม ถ้าปรับถูกต้องก็จะพบว่าอาการของความ
โกรธความแค้นจะจางคลายให้ดู คือสติสัมปชัญญะที่เข้าไปดู
ยังไม่มีความคมกล้า ยังไม่มีความถูกต้องสมบูรณ์แบบ หรือ
ว่ายังไม่เกิดต่อเนื่อง มันเหมือนกับว่านิวรณ์เหล่านั้นยังเกิดอยู่

ยังแสดงอาการอยู่ แต่เมื่อเราใช้ความพากเพียรดูไป รู้ไป อดทน
อดกลั้น วางเฉย ก็จะเห็นธรรมเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลง
มีความจางคลายให้ดู มีความเกิดและความดับไปให้เห็น บางที
มันก็ดับวู๊บลงไปทันที ถ้าสติสัมปชัญญะของเรามีความคมกล้า
รู้ได้ตรงตัวมันจริง ๆ ปล่อยวางจริง ๆ ความโกรธเหล่านั้นก็
จะแสดงอาการดับหายไปทันที จะพบว่าสิ่งเหล่านี้มีความหมด
ไป ไม่เที่ยงเหมือนกัน หมดไปก็หมดไป บังคับไม่ได้เช่นเดียวกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 29 ต.ค.2006, 10:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image Image Image


เพราะฉะนั้นเวลาฟุ้ง กำหนดดูความฟุ้งซ่านด้วยความ
ปล่อยวาง ต้องสังเกตให้ดีว่ากำหนดด้วยความปล่อยวางให้เป็น
ดูเขาไปเฉย ๆ เท่านั้น ที่เขาแสดงอาการฟุ้งซ่าน เร่าร้อน ดู
เขาไปด้วยความวางเฉย ส่วนมากเราจะทนไม่ไหว กระสับกระ
ส่ายโกรธ เกลียดชัง ฉะนั้นเราต้องอดทนในระยะแรก ๆ แล้ว
จะดับไฟได้ เหมือนกับว่า ไฟมันกำลังลุก เราจะดับไฟเราก็
ต้องหันหน้าเข้าไป มันก็ย่อมต้องเจอความร้อน ถ้าเราหลบ
ลี่ยงไม่อดทน มันก็ดับไม่ได้

เช่นกันเมื่อหันไปดูกิเลส ไปดูโทสะดูความฟุ้งซ่าน รู้สึก
ว่าเป็นทุกข์ร้อนก็ต้องอดทนวางเฉย ทำใจควบคุมให้เป็นปรกติ
ไม่กระวนกระวาย ไม่กระสับกระส่าย ไม่เกลียดชัง ก็จะ
เป็นการดับไฟที่ถูกต้อง ไฟก็จะคลี่คลายคือจะมอดให้ดู ใจเรา
มันเร่าร้อน เหมือนไฟลุกมามากแล้ว จะให้มันดับทันทีก็ไม่ได้
ต้องค่อย ๆ ดับลง ก็อาจยังมีความร้อนอยู่ จนกว่ามันจะดับ
สนิทจนเย็นสนิท

การปฏิบัติจึงต้องมีขันติความอดทน มีวิริยะความ
พากเพียร มีการพิจารณาการใส่ใจ ปล่อยวาง วางท่าทีอย่าง
ถูกต้อง ท่าทีที่ถูกต้องคือความรู้จักวางเฉยรู้จักปล่อยวาง รู้จัก
ทำให้เป็นปรกติ กำหนดเข้าไปรู้ทุกข์ต้องทำใจวางเป็นปรกติไม่
กระวนกระวาย ไม่กระสับกระส่าย ไม่ยินดียินร้าย แล้วสภาว
ธรรมเหล่านั้นเขาก็จะคลี่คลายให้เห็น เปลี่ยนแปลงให้เห็น
และดับไปให้เห็นเอง

หน้าที่ของการปฏิบัติคือการเข้าไปรู้สภาพธรรม
ตามความเป็นจริง ไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับ จริงอยู่ว่า เป้าหมาย
หรือผลลัพธ์ผลสุดท้ายก็คือสามารถจะดับไปสิ้นนเชิง แต่ว่าวิธี
การปฏิบัติไม่ต้องไปคิดให้มันดับ แต่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง คือ
เรียนรู้กับสภาพธรรมเหล่านั้นตามความเป็นจริง เขาเกิด
อย่างไร เขาปรากฏอย่างไร เขามีเหตุมีปัจจัยอย่างไร

แสดงอาการอย่างไร ก็ดูเขาไปอย่างนั้น ดูเขาด้วยความวางเฉยเป็น
วิธีการดับ แต่ถ้าดูด้วยความไม่วางเฉย ก็จะไม่ใใช่เอาน้ำไปดับ
อย่างเดียวแต่เอาเชื้อเพลิงเติมเข้าไปด้วย น้ำด้วย น้ำมันด้วย
ก็เลยดับได้ยากหรืออาจดับไม่ได้ ฉะนั้นต้องดูด้วยความวางเฉย
การดูด้วยความวางเฉยจะเป็นเหมือนน้ำล้วนๆ เป็นสิ่งที่
จำเป็นสำหรับการดับไฟ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง