Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
เรื่องการกลับชาติมาเกิด เชื่อได้แค่ไหนคับ
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ไผ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 ต.ค.2006, 12:03 am
คือว่าคนในคุ้มหมู่บ้านของผม ไปนอนเล่นใต้ถุนบ้าน ( บ้านของลุง ป้า ยาย ที่เสียชีวิตหมดแล้ว บ้านไม่มีคนอยู่หน่ะ ) แล้วแกฝันว่า ลุงมาเข้าฝันบอกว่า " ตัวเองจะไปเกิดแล้ว เลยจะมาร่ำลา จะไปเกิดเป็นลูกของครูสาวคนหนึ่งแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนป้า ตอนนี้อยู่ในนรกใช้กรรมอยู่เพราะเคยทำใว้กับยาย ส่วนยายได้ไปเกิดที่บ้านปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จ.สกลนคร เกิดเป็นผู้ชาย เป็นลูกของครูสาวกับตำรวจนายหนึ่ง "
บ้านปลาโหล เป็นหมู่บ้านพื้นเพเดิมของยาย จริง ๆ ไม่ค่อยมีคนรู้หรอก ลองให้ญาติที่อยู่หมู่บ้านปลาโหลถามดู ปรากฏว่ามีครอบครัวนี้จริง ๆ ส่วนป้าที่บอกว่าอยู่นรก เพราะทำกรรมใว้กับยายนั้น จริง ๆ คนภายนอกครอบครัวไม่มีคนรู้เลยนะว่า ป้านี้ชอบด่า ชอบว่า ตะหนี่กับยายมาก อยุ่นอก้านแกจะดูปกติ ภายนอกดูดี แต่แกทำกับยายใว้เยอะเหมือนกัน ยายคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด เลยอยากจะขอสอบถามท่านว่าเรื่องนี้ ควรเชื่อได้มากแค่ไหนครับ
พรเทพคนงาม
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 ต.ค.2006, 7:21 pm
พระพุทธศาสนาเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดครับ ถ้าตายแล้วไม่มีเกิด ทำไมต้องปฏิบัติกันให้ถึงนิพพานด้วย
ชัย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ต.ค.2006, 3:28 pm
โดยส่วนตัวของผมเชื่อในเรื่องที่คุณเล่ามาครับ ถ้าตายแล้วไม่มีการเกิดอีก แล้วที่เกิดมามากๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ประเสริฐเช่นมนุษย์เรานี้ มีมาจากไหนเล่าครับถ้าไม่เกิดมาอีกจากอดีตชาติ เพียงแต่เราจำเรื่องในอดีตหรือชาติก่อนไม่ได้เท่านั้นเอง ลองคิดดูถ้าเราจำชาติก่อนได้ แล้วเรารู้ว่า เมืยคนอื่นชาติก่อนเคยเป็นเมียเรา ก่อนที่เราจะตาย มันจะวุ่นวายขนาดไหน และพระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้เราทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน อนาคตเป็นเพียงจินตนาการ ส่วนปัจจุบันเป็นความจริงที่สุด ถ้าปัจจุบันดี อนาคตก็ต้องดีแน่นอน
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 16 ต.ค.2006, 5:14 pm
*** หลักฐานมีแสดงชัด ในประวัติของพระพุทธเจ้า ***
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าถึง
ในคืนวันวิสาขะบูชา พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรจนได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า
๑. ในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
คือ
ระลึกชาติได้จำนวนชาติมากมายนับไม่ถ้วน
๒. ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ
คือ การรู้การตาย การเกิดของเหล่าสัตว์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ทิพยจักษุญาณ คือ ตาทิพย์
๓. ในปัจฉิมยาม พระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท คือ
ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นเหตุและเป็นผลเนื่องกันเหมือนกับลูกโซ่
จนได้รู้แจ้งอริยสัจ๔
*** แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ด้วยพระองค์เองว่า
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (คือ ระลึกชาติได้)
และ จุตูปปาตญาณ (คือ การรู้การตาย การเกิดของเหล่าสัตว์)
มีจริง ทำให้เกิดขึ้นจริงได้
และ
การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
ครับ
*** แต่ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
ชาวพุทธที่ดี อ่าน/ฟังแล้ว ก็ไม่ควรเชื่อตามทั้งหมดทันที
ต้องลงมือฝึก/ทำด้วยตนเอง พิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตนเอง
จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประโยชน์ และ วิธีฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ / อตีตังสญาณ
คัดมาจากบางส่วน ของคำสอนของพระราชพรหมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ในเรื่อง วิธีฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ อตีตังสญาณ มีดังนี้.....
ประโยชน์ของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณนี้ เป็นญาณระลึกชาติได้ คือถอยหลังชาติต่างๆ ที่เกิดมาแล้ว เป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนชาติ ฝึกระลึก ตามลำดับชาติตามลำดับ คือตั้งแต่ชาติที่หนึ่ง เป็นลำดับไปจนถึงชาติที่หมื่นแสน แล้วก็ย้อนจากชาติปลายสุดกลับมา หาชาติปัจจุบัน แล้วพยายามฝึกระลึกชาติสลับชาติ คือคิดว่าจะระลึกชาติในระดับไหนก็ให้ได้โดยฉับพลันทำอย่างนี้ ให้คล่อง จะมีประโยชน์มาก เพราะ.....
๑.จะกำจัดมานะทิฏฐิ ความถือตัวถือตนว่าเป็นผู้วิเศษเสียได้เป็นอย่างดี
เพราะ เมื่อพบสัตว์เดียรัจฉานเราก็เอา ญาณนี้ช่วย โดยคิดว่าเราเคยเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างนี้บ้างหรือไม่ ? เราก็จะพบว่า สัตว์อย่างนี้เราเคยเป็น และ อาจจะเคยเกิดเป็นสัตว์อย่างนี้มาแล้วตั้งหลายครั้งหลายหน
เมื่อพบตัวเองว่า เคยเป็นสัตว์เราก็คิดค้นคว้าหากฎของ ความเป็นจริงต่อไปว่า สัตว์อย่างนี้ เราเคยเป็นมาก่อน บัดนี้เราเป็นมนุษย์ เขายังเป็นสัตว์เขาเอากำเนิดมาจากไหน คิดทบทวนไปก็จะพบว่า เรานี้เองเป็นต้นตระกูลสัตว์
บัดนี้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นี้ก็ไม่ใช่ใคร คือทายาทของเราเอง เราจะมารังเกียจทายาทของเรา เพื่อประโยชน์อะไร เรารังเกียจเขา เราควรรังเกียจเราเองดีกว่า เพราะเราเลวมาก่อน
ถ้าเราไม่เลวมาก่อนจนกระทั่งเป็นต้นตระกูลสัตว์แล้ว สัตว์พวกนี้ก็จะไม่มีในโลก นี่เราเลวมากจนลืมทายาทของตน เอง รังเกียจทายาทของตนเอง พบคนที่น่ารังเกียจโดยสุขภาพ ทุพพลภาพ ชาติ ตระกูล ก็จงระลึกชาติถอยไปหาสมัย เมื่อเราเคยเกิดเป็นอย่างนั้น
๒. ป้องกันความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเห็นท่านที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยฐานะหรือชาติตระกูล
เมื่อเห็นเขาทรง อำนาจราชศักดิ์ เราก็ถอยไปหาชาติที่เคยดำรงความดำรงชีวิตอย่างนั้น เมื่อพบแล้ว ก็สอบต่อไปถึงความสุขความ ทุกข์ที่ได้รับผลในชาตินั้นๆ ตลอดจนต้องพลัดพรากจากฐานะความเป็นอยู่ในสมัยที่ต้องตายจากอัตภาพนั้นๆ ก็จะ
เห็นว่าความเป็นผู้ทรงเกียรติทรงอำนาจมีเงินมีทองของให้มาก ๆ ไม่ได้ช่วยให้สิ้นทุกข์ ไม่มีทางจะกีดกันความป่วยไข้ ไม่สบายและห้ามความตายก็ไม่ได้ ต้องมีทุกข์มีความป่วยไข้ไม่สบาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตายจาก อัตภาพนั้นๆ
ความจริงเป็นอย่างนี้เราจะทะเยอทะยานไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรากับเขาก็ตายเหมือนกัน ก่อนตายก็ต้อง แก่ต้องป่วยไข้ ต้องประสบกับความกลัดกลุ้มขัดข้องเหมือนเรา เรามีฐานะน้อย ก็มีห่วงกังวลน้อย คนที่มีฐานะใหญ่ ก็มีห่วงมีกังวลมาก เราสบายกว่า เพราะกังวลน้อยกว่า
ในเมื่อเกิดมาเพื่อตายจะสะสมไปเพียงไหนให้หนัก เราพอใจ ในความเป็นอยู่ของเรา เรามีเท่านี้พอแล้ว คนที่เขายากจนกว่าเราถมไป แต่ทว่าเราหรือใครก็ตามในโลกนี้ ตาย เหมือนกันหมด เราจะมัวมาหลงติดโลกามิสอยู่เพื่ออะไร
*** เราเกิดมาก็มาก ตายมาก็หลายครั้งหลายคราเกิดแต่ละ คราวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ จะกินข้าวสักคำ กินน้ำสักอึก ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ อาหารก่อนจะได้กิน ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะการแสวงหาทรัพย์มาเป็นค่าอาหาร กว่าจะได้มาแต่ละบาทก็ต้องทรมานตน
ทนหนาวทนร้อน คอยหลบหลีกอันตราย นี้เพียงค่าของอาหารมื้อเดียว ทุกข์อย่างอื่นของมนุษย์ยังมีอีกมาก คิดทบทวนถึงค่าเสื้อผ้า ค่าของใช้ ค่ายารักษาโรค รวมความแล้วโลกนี้เป็นโลกของความทุกข์ หาความสุขสดชื่นไม่ได้เลย เมื่อคำนึงถึงทุกข์
*** เพราะอาศัยญาณนี้เป็นตัวค้นคว้า อย่างนี้เป็นเหตุให้เห็นอริยสัจได้โดยง่าย เมื่อคนใดเห็นอริยสัจคนนั้นก็เป็นคนพ้นทุกข์ เพราะหมดกิเลส มีผลให้เข้าถึงพระนิพพานอย่างไม่ยากนัก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
อตีตังสญาณ
อตีตังสญาณ ญาณนี้เป็นญาณรู้เรื่องในอดีต คือเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วทั้งในชาติปัจจุบัน และหลายแสนหลาย ล้านชาติ อาการของญาณนี้ดูเป็นญาณที่มีสภาพ เช่นเดียวกันกับปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
แต่ทว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของตนเอง
อตีตังสญาณนี้ ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของคน สัตว์ และสิ่งของ สถานที่ ภายนอกตนออกไป
สำหรับกฎการกระทำเพื่อรู้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพียงแต่กำหนดจิตถามในเรื่องของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่นั้นๆ เท่านั้น การกำหนดรู้นั้นในขั้นแรกให้กำหนดจิตเพื่อรู้ก่อน ถ้ากำหนดรู้ยังรู้ไม่ชัดเจน ท่านให้กำหนดจิตถาม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ อตีตังสญาณ
การกำหนดจิตเพื่อรู้และถามก็ทำดังที่กล่าวมาแล้ว คือ
เข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔มาหยุดอยู่เพียงอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดรู้หรือกำหนดถาม
แล้วเข้าฌาน ๔ (ซ้ำอีกครั้ง) ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน
เท่านี้ก็จะรู้เรื่องละเอียด คือภาพในอดีตจะปรากฏแก่จิตคล้ายดูภาพยนต์
และรู้เรื่องไปตลอดเหมือนกับเราร่วมความเป็น ไปกับภาพนั้น
สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอันมาก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่ทว่าท่านมีความเพลิดเพลินรื่นเริงในส่วนที่เป็นกุศล
คือเพลิดเพลินในญาณเป็นเครื่องรู้ ท่านสามารถสังคมกับเทวดาและพรหม
สนทนาปราศรัยโดยธรรม มีความชื่นบานในการรู้เรื่องในอดีตและกาลต่อไปในอนาคต รู้ความเกิดขึ้นและความสูญสลายตน ของสรรพวัตถุและสิ่งที่มีชีวิต เอาสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตนเพื่อความรู้ แจ้งในอนัตตา
*** เป็นการฝึกฝนสั่งสมอารมณ์วิปัสสนาญาณให้แจ่มใส
ตัดกังวลภายในและภายนอก คือตัดกังวลความห่วงใยในร่างกายจนเกินพอดี รู้สภาพว่า กายนี้ต้องพังทลายแน่นอน และเห็นสภาพภายนอกที่เป็นสรรพวัตถุที่จะต้องสลายตัวเช่นเดียวกัน ตัดความมัวเมา ในตนและสรรพวัตถุภายนอกเสียได้โดยสิ้นเชิง มีความหวังในพระนิพพานได้อย่างแน่นอน
ผลของอตีตังสญาณ สร้างความเพลิดเพลินในการรู้เรื่องราวในอดีต และสร้างพลังจิตให้เกิดปัญญาในส่วนวิปัสสนาญาณได้อย่างนี้ ฉะนั้น ท่านจึงนิยมสร้างสมาธิให้ได้ฌาน ๔ และสร้างญาณให้เกิดแก่จิตเพื่อหวังในมรรคผลนิพพาน
*** เพราะการได้ ทิพยจักษุญาณแล้ว ถ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ย่อมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง
ไม่หลงผิด ทั้งนี้ถ้าคิดสงสัยใน ปฏิปทาของตนว่า จะผิดหรือถูกประการใด ก็เข้าฌาน ออกฌานอธิษฐานถามได้ เป็นการศึกษาโดยตรงจากท่านที่บรรลุแล้ว เป็นแนวทางที่ถูกที่ตรงและไม่มีอะไรยากอย่างพวกเราสอนกันเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
*** ในบทพระพุทธคุณตอนหนึ่งว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีผลเป็นปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติที่มีอารมณ์จิตเข้า ถึงทิพยจักษุญาณแล้วจะรู้เอง ฉะนั้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
*** ถ้าจะนั่งพรรณนาให้คนที่ไม่มีญาณฟังพูดไปก็เหนื่อยเปล่า มีผลไม่คุ้มเหนื่อย ดีไม่ดีก็จะพลอยทำให้อารมณ์เศร้าหมองขุ่นมัว
ฉะนั้น ใครอยากรู้ว่าพุทธบารมีเป็นอย่างไร ยังจะช่วยอะไรผู้ที่ปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบได้อยู่หรือประการใด ก็ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติในฌาน และสร้างญาณให้บังเกิดแก่จิตก็จะทราบ ชัดแก่ตนเอง
*** ถ้ายังขืนคิดว่า ไม่ต้องทำฌานให้เกิดก็รู้ได้จากตำราแล้ว ท่านก็เป็นคนที่น่าสงสารมาก
เพราะท่านจะ ไม่มีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนชนิดเนื้อแท้จริงจังตามปากท่านพูดเลย วาจาที่ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นพุทธศาสนิกนั้น อาจเป็นวาจาที่พูดกันจนติดปากมากกว่า การพูดด้วยความจริงใจ พูดกันตามภาษาไทยๆ ก็เรียกว่าพูดส่งเดชไป ตามเขาอย่างนั้นเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอให้โชคดี ครับ
[/b]
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th